บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 442
โสวฝู่ฉู่มองไท่ซ่างหวง “พระองค์คงหวังอยากจะให้เป็นลูกชายกระมัง”
ไท่ซ่างหวงพูดว่า “ไม่สำคัญ ลูกชายลูกสาวก็เหมือนกัน ”
“ไม่จริงใจเลย”เซียวเหยากงยิ้มเย้ยหยัน “ไม่รู้ว่าใครเคยพูดเอาไว้ แม้แต่ฝันยังฝันเห็นลูกชาย”
ไท่ซ่างหวงพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ฝันก็ส่วนความฝัน ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ข้าคิดในใจ”
โสวฝู่ฉู่มองเขา “ไม่ใช่ว่า คิดตลอดทั้งวันจึงได้ฝันในตอนกลางคืนหรอกหรือ ที่ทรงฝันถึง ไม่ใช่สิ่งที่ทรงตั้งตารอคอยหรือ”
ไท่ซ่างหวงโต้กลับอย่างเบาๆว่า “เมื่อคืนข้ายังฝันเห็นเจ้าทั้งสองต้องกลายเป็นขอทานไปขอข้าวกินอยู่เลย”
“ใจร้ายจริงๆ ”โสวฝู่ฉู่กับเซียวเหยากงพูดออกมาพร้อมกัน
ไท่ซ่างหวงเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส “ตอนนี้ขอให้กำเนิดอย่างราบรื่น ค่อยขอเรื่องอื่น สุดท้ายจะได้เลี้ยงลูกชายหรือไม่ ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว มาขอร้องตอนนี้แล้วมีประโยชน์อะไร ”
เซียวเหยากงพูดว่า “ไม่ใช่กระมัง ก่อนหน้านี้มีหลวงจีนผู้ทรงคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า หากกราบไหว้บูชาต่อหน้าพระโพธิสัตว์ด้วยความจริงใจ สามารถทำให้ทุกสิ่งเป็นอย่างที่ใจคิดได้มิใช่หรือ”
“คำพูดเช่นนี้เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ”ไท่ซ่างหวงทำเสียงเยาะเย้ยขึ้นจมูก เอ่ยอย่างตำหนิว่า “การไหว้พระขอพรเดิมก็เป็นเรื่องที่พูดโดยไร้มูลความจริง หากพระท่านมีจิตวิญญาณ ทำไมจึงไม่เห็นบ้านเมืองสงบสุข คนอื่นเชื่อเรื่องนี้ก็แล้วไปเถอะ นี่พวกเจ้าก็เชื่อตามไปด้วย เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี”
ทั้งสองคนรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก ยังคงเป็นไท่ซ่างหวงที่มีปัญญาล้ำเลิศ
ดื่มกันพอสมควรแล้ว ทั้งสองคนก็กล่าวลากลับไป
ไท่ซ่างหวงหรี่ตากึ่งเมามาย มองไปยังฉางกงกงและถามขึ้นว่า “พระชายาฉู่ไปแล้วหรือ”
“เรียนไท่ซ่างหวง ได้ยินว่าไปแล้ว”ฉางกงกงเดินเข้าไปข้างหน้าเพื่อประคองเขา “พระองค์จะกลับไปพักก่อนหรือไม่”
“วันนี้อากาศไม่เลว ข้าจะไปเดินเล่นที่ตำหนักไทเฮา”ไท่ซ่างหวงบิดขี้เกียจ เมาแล้ว รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย “ไปก็ดีแล้ว แม่บ้านตัวน้อยเห็นข้าดื่มเหล้าไม่ได้ พอดื่มละก็ ปากนั่นก็จะเริ่มบ่นอะไรไม่รู้มากมาย ไม่อยากฟังเอาเสียเลย”
ฉางกงกงพูดยิ้มๆว่า “พระชายาหวังดีต่อพระองค์”
“เจ้าไม่เข้าใจ คนที่มีอายุอย่างข้า จุดสิ้นสุดนั้นได้มองเห็นแล้ว ปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบสามารถทำให้เจ้ามีชีวิตเพิ่มขึ้นได้อีกสองวัน แต่การทำตัวให้มีความสุขตามอำเภอใจก็ไม่เห็นจะทำให้ตายในทันที เป็นคน ก็ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขสบาย อยากทำอะไรก็ทำ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาภายหลัง”
ฉางกงกงไม่กล้าจะโต้เถียง ได้แต่ยิ้มบางๆและพูดว่า “ทำไมวันนี้พระองค์จึงได้คิดจะไปที่ตำหนักของไทเฮาเล่า”
เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้ไป ตั้งแต่หลังจากที่บอกว่ามีโรคหัวใจ เห็นได้ชัดว่าตอนที่มีชีวิตชีวาก็ไม่เห็นเขาไป
“มีปัญหาบางอย่าง ต้องการไปขอคำชี้แนะจากนาง”
“เอ๋ ทรงยังมีเรื่องต้องขอคำชี้แนะจากไทเฮาด้วยหรือ”ฉางกงกงประหลาดใจ นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่มาก
ไท่ซ่างหวงไม่ชอบฟังคำพูดนี้ ทำหน้าบึ้งตึงและพูดว่า “ที่ว่ากันว่าคนหลายๆคนเดินมาด้วยกันต้องมีใครสักคนในนั้นที่จะเป็นครูของเราได้ ไทเฮาแม้จะเป็นสตรี แต่ก็มีความรู้อย่างละเอียดในด้านหนึ่งโดยเฉพาะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ”ฉางกงกงหัวเราะ ประคองเขาค่อยๆเดินไป “ไม่รู้ว่าทรงจะไปขอคำชี้แนะเรื่องอะไร”
“ไหว้พระขอพร”ไท่ซ่างหวงท่าทีหยิ่งยโส
ฉางกงกงนิ่งอึ้ง “ไหว้พระขอพร ขอเรื่องอะไร ที่เซียวเหยากงพูดมาเหล่านั้นหรือ พระองค์บอกว่าไม่สนใจมิใช่หรือ”
“นี่แสดงว่าเจ้าไม่เข้าใจ พบปะผู้คนเวลาพูดจาต้องเก็บไว้สามส่วน ไหนเลยจะสามารถเหลือจุดอ่อนไว้ให้พวกเขาหัวเราะเยาะข้าได้”
ฉางกงกงยิ้ม นิสัยของไท่ซ่างหวงตอนนี้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเหมือนเด็กเข้าไปทุกที
การปรากฏตัวขึ้นของไท่ซ่างหวงอย่างกะทันหันในตำหนักของตัวเอง ทำให้ไทเฮารู้สึกดีใจมาก
ช่วงนี้นางอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย หลานชายมีเรื่องติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า กระทบจิตใจนางเป็นอย่างใหญ่หลวง
ตอนนี้เห็นพระสวามีมาแล้ว ก็ราวกับผืนฟ้าถูกค้ำยันขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เห็นความสว่างบ้างแล้ว
ได้ยินเขาพูดว่าต้องการไหว้พระขอพรให้กับลูกในท้องของพระชายาฉู่ ไทเฮาก็หัวเราะออกมา “พระองค์ไม่จำเป็นต้องไหว้พระ ข้าไหว้อยู่ทุกวัน”
ไท่ซ่างหวงพูดว่า “เจ้าไหว้ก็ส่วนเจ้า ข้าไหว้ก็ส่วนข้า”
ไทเฮาจึงตามเขาเข้าไปในอุโบสถ
ในอุโบสถ หลังม่านสีเหลืองอร่ามมีองค์พระโพธิสัตว์ตั้งเอาไว้เพื่อบูชา บนแท่นบูชามีของบูชาวางไว้หลายอย่าง ผลไม้สดกับดอกไม้และน้ำชา กลิ่นของจันทน์หอมอบอวลไปทั่ว
“บอกเถอะ ว่ามีขั้นตอนอย่างไร”ไท่ซ่างหวงไม่เข้าใจ เขาเป็นคนที่แม้แต่งานบวงสรวงสวรรค์ก็ไม่ค่อยอยากจะไป ตลอดช่วงระยะเวลาที่เขาบริหารราชการ ทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดหาวิธีในการบริหารบ้านเมืองให้สงบสุข การปฏิบัติตนสามารถเอาชนะสวรรค์ได้ คิดเช่นนี้ตลอดมา
“ก็แค่คุกเข่าลงไปกราบไหว้ พูดสิ่งที่ใจท่านต้องการจะขอ”
“ขออะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ”
ไทเฮาพูดว่า “แน่นอน เพียงแต่ครั้งหนึ่งอย่าได้ขอมากไป เกรงว่าพระโพธิสัตว์จะว่าท่านโลภมาก”
ไท่ซ่างหวงบ่นพึมพำ “คนไม่โลภมากจะไหว้พระขอพรทำไม”
พึมพำก็ส่วนพึมพำ เขายังคงคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง
ฉางกงกงช่วยเขาปักธูปในกระถางธูป จากนั้นก็มองไปทางเขา
ไท่เฮาพูดว่า “พระองค์ต้องพูด มีอะไรจะขอให้พูดออกมาเสียงดังๆ”
“คิดในใจก็เหมือนกันมิใช่หรือ ”ไท่ซ่างหวงพูด
ไทเฮาหัวเราะ“ไท่ซ่างหวงเอ๋ย พระองค์พูดมาตลอดมิใช่หรือ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องใช้เสียงดังข่มเอาไว้ก่อน พระองค์ไม่พูดสิ่งที่ใจตัวเองคิดออกไปดังๆ งานของพระโพธิสัตว์มีมากมาย ไหนเลยจะได้ยินเสียงในหัวใจของท่านแต่เพียงผู้เดียว นี่พระองค์ก็มาแล้ว จะไม่ขอได้อย่างไร เหลือแค่ขั้นตอนนี้ขั้นตอนเดียวแล้ว ”
ไท่ซ่างหวงอิดออดอยู่เป็นนาน ถามขึ้นว่า “ขอได้แค่เรื่องเดียวหรือ”
“ขอเรื่องเดียวก่อน”ไทเฮาพูด
ไท่ซ่างหวงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พูดว่า “ขอพระโพธิสัตว์คุ้มครอง ให้พระชายาฉู่ได้ให้กำเนิดอย่างราบรื่น ปลอดภัยทั้งแม่ลูก”
ฉางกงกงได้ยิน ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ได้ขอลูกชายหรอกหรือ
เขายื่นมือออกไปประคองไท่ซ่างหวงให้ลุกขึ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “พระองค์บอกว่าอยากจะขอให้พระชายาฉู่ให้กำเนิดซื่อจื่อมิใช่หรือ”
ไท่ซ่างหวงไอหนึ่งเสียง ก้มหน้าเดินออกไปข้างนอก “ขอเรื่องความปลอดภัยก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ”
ไทเฮาฟังอยู่ข้างหลัง ก็ยิ้มขึ้นมา ไท่ซ่างหวงก็รู้จักรักเอ็นดูคนอื่นเป็นเหมือนกัน
หลังจากไท่ซ่างหวงกลับตำหนักพักไปแล้ว ก็ให้ฉางกงกงไปที่จวนอ๋อง เพื่อปลอบใจ
หลังจากหยวนชิงหลิงกลับมาจากในวัง เจ้าห้าก็กลับมาถึงตั้งนานแล้ว
สวีอีช่วยเขาทาเหล้ายาดอง วันนี้ใช้การออกหมัดเป็นหลัก กระดูกที่หมัดก็บวมขึ้นมาแล้ว
เห็นแววตาสงสารของหยวนชิงหลิง เขาจึงพูดอย่างได้ใจว่า “เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้ เขาเจ็บกว่าข้าเยอะมาก เขาไม่กล้าโต้ตอบเท่าไหร่”
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างจนใจ อยากจะช่วยเขาทายา สวีอีห้ามเอาไว้พูดว่า “แตะต้องไม่ได้ เหล้ายาดองนี้กระตุ้นการไหลเวียนและขจัดลิ่มเลือด ในท้องของท่านมีลิ่มเลือดตั้งสามก้อน แตะต้องแล้วจะอันตราย”
หยวนชิงหลิงมองสวีอี “รู้เรื่องหรือไม่”
“หมอหลวงเป็นคนบอกเอาไว้”สวีอีอ้างชื่อคนที่มีอำนาจมาข่มขู่“ไม่ว่ายาใดๆก็ตามที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและสลายลิ่มเลือด ท่านไม่สามารถกิน ไม่สามารถแตะต้องได้ แม่นมสี่ก็ได้กำชับให้คนทั้งจวนได้รับทราบโดยทั่วกันแล้ว”
หยวนชิงหลิงกิ่งพิงอยู่กับพนักเก้าอี้ ค่อยๆผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“เสด็จพ่อว่าอย่างไรบ้าง”หลังจากหยู่เหวินเห้าทายาเสร็จ ก็ให้สวีอีออกไป นั่งลงข้างกายนางและถามขึ้น
“ที่จริงเสด็จพ่อทรงเสียใจมาก ”หยวนชิงหลิงลูบไปที่ท้อง เงยหน้าขึ้นมองเขา “เจ้าห้า ท่านควรปลอบใจเขาดีๆสักครั้งหรือไม่”
“เขาไม่ต้องการ”หยู่เหวินเห้าเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“ไม่นานท่านก็จะกลายเป็นพ่อคนแล้วเช่นกัน บางที ข้ารู้สึกว่าท่านควรจะใช้จิตใจที่เป็นลูกชายในการปฏิบัติต่อเขา แต่ไม่ใช่การคิดว่าเขาเป็นฮ่องเต้ บุญคุณของพ่อแม่ ยิ่งใหญ่กว่าสวรรค์”
ตอนที่หยวนชิงหลิงพูดคำนี้ รู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก
คนอื่นกล่าวไว้ว่า ลูกอยากดูแลพ่อแม่แต่พ่อแม่ก็มาจากไปเสียก่อน
นางตรงกันข้าม
แต่ขณะเดียวกันก็ได้รู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน บางเรื่องที่สมควรทำตั้งแต่ตอนนี้กลับไม่ทำ ภายหน้าจะเสียใจ
เจ้าห้าลูบที่ท้องของนาง รู้สึกได้ว่าสิ่งมีชีวิตในท้องกำลังเคลื่อนไหว
เขานิ่งคิดชั่วครู่ “แล้วจะปลอบใจเขาอย่างไร”
“ทำหน้าที่ในการเป็นลูกชายของท่าน”
เขาไม่พอใจ หัวเราะเย็นหนึ่งเสียง
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ถามขึ้นอีกว่า “หน้าที่ของลูกชายทำอย่างไร”