บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 444
พระชายาจี้พูดกับฉินเฟยว่า “เสด็จแม่ ลูกจะรอท่านอยู่ด้านนอกนะเพคะ”
พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินออกไป ไม่มองอ๋องจี้เลยด้วยซ้ำ
อ๋องจี้ไม่อยากเชื่อมองตามเงาร่างของนางที่หมุนตัวจากไป
เขาเดินออกไปจริงๆ
ฉินเฟยนิ่งอึ้ง ใช้ดวงตาที่ร้องไห้จนบวมเป่งมองไปยังอ๋องจี้ พูดอย่างนุ่มนวลว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางเป็นบ้าอะไรขึ้นมา แล้วทีนี้จะวิ่งเต้นกันอย่างไร ”
อ๋องจี้ย่อมไม่กล้าพูดเรื่องที่เขาเคยคิดจะหย่านางออกไป ได้แต่พูดเสียงเย็นว่า “ตั้งแต่หยางเอ๋อแต่งเข้ามา นางก็มีท่าทีกลับตาลปัตรเช่นนี้ตลอดมา ”
ฉินเฟยขมวดคิ้วมองเขา “เจ้าคงไม่ได้เอาใจพระชายารองจนลืมนางหรอกนะ เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้เรื่องราวหลายอย่างของเจ้า ยังต้องพึ่งพานางกับตระกูลมารดาของนาง”
“ตระกูลถงไร้ประโยชน์ที่จะใช้งานแล้ว”อ๋องจี้พูด “เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินแล้ว นางบอกว่าถงอันได้ถูกเสด็จพ่อเมินเฉยไปแล้ว”
ฉินเฟยเอ่ยอย่างตำหนิว่า “สายตาสั้นและตื้นเขินเสียจริง ตระกูลถงเป็นตระกูลขุนนางใหญ่เก่าแก่ มีขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนักมาก อีกทั้งฐานของตระกูลถงก็แน่นหนา ถ้าหากเกลี้ยกล่อมได้ ภายหน้าเจ้าจะใช้จ่ายเท่าไหร่ก็มีพอให้เจ้าใช้ อีกอย่าง ถงอันอยู่ในราชสำนักมาตั้งนาน สร้างคุณงามความดีไว้ไม่น้อย แม้เสด็จพ่อของเจ้าจะเฉยชากับเขาชั่วคราว ภายหน้าหากต้องใช้ประโยชน์ ถงอันก็มีความสามารถนั้นอยู่ดี ”
อ๋องจี้ได้ยินคำพูดนี้ของฉินเฟย สีหน้าก็ซีดขาวลงไปบ้างเล็กน้อย ผ่านไปชั่วครู่ ก็เอ่ยอย่างละอายใจว่า “เช่นนั้นเสด็จแม่ลองไปคุยกับนางดู ให้นางกลับบ้านมารดาไปลองวิ่งเต้นดู ให้นางไปหาถงอันเพื่อร่วมมือกับเหล่าขุนนางใหญ่สักสิบกว่าคน ถวายฎีกาเพื่อขอความเป็นธรรมให้ข้า ”
ฉินเฟยถลึงตาให้เขาทีหนึ่ง “รู้อยู่แล้วว่าเจ้ามันต้องเอาแต่ใจพระชายารองจนเย็นชาต่อนาง ไม่ใช่แม่ต่อว่าเจ้า เจ้าน่ะ ใช้สายตามองการณ์ไกลหน่อยได้หรือไม่ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะได้นางคอยช่วยเหลือเต็มกำลัง หว่านเงินทองเท่าที่มีทั้งหมดเพื่อรวบรวมคนให้เจ้า เจ้าจะมีอำนาจดุจตอนนี้ได้อย่างไร ก็คงมีชื่อว่าเป็นลูกชายคนโตของฮ่องเต้ประดับอยู่เท่านั้น ”
อ๋องจี้ไม่ชอบฟังคำพูดเหล่านี้ เอ่ยขึ้นเรียบๆว่า “เสด็จแม่ ท่านชอบดูถูกลูก คนเหล่านั้นล้วนเห็นแก่นางทั้งนั้นหรือ ทุกคนต่างก็เห็นแก่ตำแหน่งลูกชายคนโตของฮ่องเต้ของข้าต่างหาก ช่วยสนับสนุนข้า ภายหน้าจะได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ”
ฉินเฟยเห็นเขายังคงยึดมั่นและดื้อดึง คงไม่สามารถพูดกล่อมเขาที่นี่ได้ อีกอย่างที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดด้วย
นางกดเสียงลงต่ำ ถามว่า “เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เจ้าเป็นคนทำจริงหรือไม่ ”
อ๋องจี้กระทืบเท้า “ลูกไม่เคยทำ ต้องเป็นฝีมือเจ้าห้าแน่ หลายวันก่อนหน้านี้ข้าเคยทะเลาะกับเขาในจวน เขาจึงใช้แผนการร้ายนี้มาใส่ความข้า ”
ฉินเฟยพูดอย่างโมโห “รังแกกันมากเกินไปแล้ว ทำไมเสด็จพ่อของเจ้าจึงได้หลงกลเล่า”
“เสด็จแม่ ท่านต้องช่วยคิดหาวิธีการนะ”อ๋องจี้เอ่ยด้วยสีหน้าโศกเศร้า
นางใช้ความคิด พูดว่า “ช่วงนี้เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสงบไปก่อน ข้าจะหานางเพื่อลองคุยดู ถ้านางยังโกรธอยู่ ก็คงต้องทบทวนให้นางฟังว่าเจ้าเป็นพ่อของลูกสาวนาง เป็นสามีของนาง ถ้าหากเจ้าต้องโชคร้าย นางเองก็คงไม่มีวันได้อยู่อย่างมีความสุข”
ดวงตาของอ๋องจี้มีแววแห่งความหวังผุดขึ้นมา “ที่เสด็จแม่พูดมาล้วนถูกต้อง เช่นนั้นก็รบกวนเสด็จแม่ช่วยลูกวิ่งเต้นด้วย”
“อืม คำพูดของข้า นางคงไม่กล้าต่อต้าน”ฉินเฟยกำชับอีกไม่กี่ประโยค จึงหมุนตัวจากไป
พระชายาจี้รออยู่ที่ด้านนอกของคุกหลวง เห็นฉินเฟยเดินออกมา ก็เดินเข้าไปรับ ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับนาง
รถม้ายังคงวิ่งไปเรื่อยๆ ฉินเฟยเช็ดน้ำตาจนแห้ง จากนั้นก็มองไปยังพระชายาจี้และพูดว่า “ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮ่องเต้กำลังชั่งใจ รอให้เขาสงบลงเมื่อไหร่ เจ้าก็ให้พี่ชายเจ้าร่วมมือกับขุนนางใหญ่ที่เชื่อใจได้ถวายฎีกาพร้อมกัน ขอร้องแทนเขา ดูสิว่าฮ่องเต้จะสามารถใจกว้างให้อภัยสักครั้งหรือไม่ ถ้าหากฮ่องเต้ยังยืนยันจะตัดสินลงโทษ ค่อยคิดหาวิธีการใหม่อีกครั้ง ขั้นแรกก็ให้ทำเช่นนี้ไปก่อน”
หลังจากพระชายาจี้ฟังแล้ว ก็ส่ายหน้าพูดว่า “เสด็จแม่ ขอพูดตามจริงไม่ปิดบัง พี่ใหญ่เคยบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า จะไม่ยุ่งเรื่องของจวนอ๋องจี้อีก”
ฉินเฟยแววตาเย็นเยียบ “หมายความว่าอย่างไร เขาไม่ยุ่งเรื่องของจวนอ๋องจี้ แล้วจะไปยุ่งเรื่องของใคร นอกเสียจากจะมีเจ้านายคนใหม่ให้พึ่งพิง”
พระชายาจี้ยิ้มบางๆพูดว่า “เสด็จแม่ ดูท่านพูดเข้าสิ แต่ไหนแต่ไรมาพี่ใหญ่ก็มีแต่เสด็จพ่อเป็นเจ้านายคนเดียว เจ้านายคนใหม่มาจากไหนกัน ท่านพูดเช่นนี้ คงไม่ได้หมายความว่าพี่ใหญ่ทรยศราชสำนัก สมรู้ร่วมคิดเพื่อก่อความไม่สงบกระมัง ”
แววตาของฉินเฟยเคร่งขรึม “เจ้าอย่าเฉไฉไปเรื่องที่มันไม่จริง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าใหญ่ก็อยู่ในคุก อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องหาวิธีช่วยเขาออกมาให้ได้ ”
พระชายาจี้หมดความสนใจอย่างสิ้นเชิง หันออกไปดูข้างนอก “ลูกจะพยายามให้เต็มที่”
ฉินเฟยรู้สึกคลายใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่แล้วก็ได้ยินนางพูดว่า “แต่ว่า ตอนนี้มีเพียงคนที่มีความสามารถมากที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยเขาได้”
ฉินเฟยเอ่ยเสียงเย็นว่า “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้ดีแก่ใจ เป็นหยู่เหวินเห้าที่ใส่ร้ายเขา ขอเพียงคิดวิธีการยกประเด็นข้อสงสัยออกมา ให้คนถวายฎีกา ฮ่องเต้ต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัด จะต้องการคนที่มีความสามารถสูงส่งไปทำไมกัน”
พระชายาจี้พูดว่า “ไม่ว่าจะมีคนใส่ร้าย หรือเขาเป็นคนทำจริงๆก็ตาม ตอนนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว จับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้คาหนังคาเขาสองคน ทั้งสองคนให้การสารภาพว่าเป็นเขา บวกกับมีดโค้งที่นักฆ่าใช้และตั๋วเงินที่ใช้จ้างวานนักฆ่า สามารถพูดได้ว่า หลักฐานความผิดแน่นหนา ถ้าหากมีคนอยู่เบื้องหลังต้องการใส่ร้ายเขา เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ทำได้อย่างรอบคอบไม่มีรอยรั่วเลยสักนิด ทำให้หาจุดบกพร่องของเรื่องนี้ไม่พบเลยแม้แต่น้อย เสด็จแม่ เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นการแข่งขันแย่งชิงกัน ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จขาวหรือดำ ถูกใส่ร้ายก็ถือว่าเป็นการพ่ายแพ้อย่างหนึ่ง แพ้แล้ว ก็คือแพ้แล้ว ไร้หนทางร้องขอความเป็นธรรม”
ฉินเฟยร้อนใจขึ้นมา “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดมา ฮ่องเต้ก็ต้องลงโทษเขาน่ะสิ”
พระชายาจี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ฮ่องเต้ยังคงอยู่ระหว่างการไตร่ตรอง เวลานี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ล้วนเป็นการส่งเสริมให้สถานการณ์ก้าวหน้าไปยิ่งขึ้น”
ฉินเฟยถามอย่างนิ่งอึ้งว่า “ก้าวหน้าไปอย่างไร”
พระชายาจี้มองนาง สายตามีแววเยาะเย้ยสายหนึ่ง“แล้วเสด็จแม่คิดว่าอย่างไรเล่า หลักฐานแน่นหนา ยังจะก้าวหน้าไปทางไหนได้อีก”
ฉินเฟยเข้าใจขึ้นมาทันที สีหน้าซีดขาว
พระชายาจี้เห็นนางตกใจไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จแม่ ตอนนี้วิธีการที่เหมาะสมที่สุด คือไม่ว่าใครก็ไม่ต้องไปหยิบยกเอาประเด็นนี้ขึ้นมาพูด เพราะถ้าพูดถึงอีก เสด็จพ่อก็จะไร้ข้ออ้างที่จะไม่ลงโทษอีกแล้ว จากนั้น ให้คนส่งไปบอกกับท่านอ๋องว่า ไม่ว่าใครมาถาม ให้ปฏิเสธไม่ยอมรับในความผิดนี้อย่างเด็ดขาด ยังมี ขณะที่ขัดเกลาจิตใจของตัวเองในคุกนั้น ถ้ามีเวลาว่าง ให้เขียนสาส์นอักษรหมื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องชี้ข้อผิดพลาดเพื่อให้แก้ไข แต่ต้องเป็นข้อมูลที่รู้ลึกรู้จริงเพื่อถวายแด่เสด็จพ่อ เวลาผ่านไปนานสักหน่อย เสด็จพ่อย่อมหาเหตุผลปล่อยเขาออกมา”
ฉินเฟยไม่มีทางอื่น และแต่ไหนแต่ไรมาก็รู้ว่าลูกสะใภ้คนนี้นั้นเป็นคนปราดเปรื่อง ได้ยินคำแนะนำของนางเช่นนี้ ก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย
เพียงแต่ ผ่านไปชั่วครู่เดียว ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิขึ้นมาว่า “ต้องโทษที่ท้องของเจ้าไม่เอาไหน ถ้าหากสามารถให้กำเนิดลูกชายได้ เขาก็คงได้แต่งตั้งไปนานแล้ว ไหนเลยจะต้องดิ้นรนเตรียมการเช่นนี้ และก็คงไม่มีภัยร้ายอย่างเช่นวันนี้เกิดขึ้น เข้าเองให้กำเนิดไม่ได้ก็แล้วไปเถอะ พอพระชายารองตั้งครรภ์ เจ้าก็ยังทำให้นางต้องตาย อนาคตของเขา ล้วนถูกทำลายอยู่ในมือเจ้า ”
พระชายาจี้หัวเราะเสียงเย็นหนึ่งเสียง “พระชายารองไม่ตาย ถึงเวลาลูกคลอดออกมา คงได้อับอายขายหน้าไปทั่ว”
ฉินเฟยเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าหุบปากไปเถอะ ยังจะมีเรื่องอะไรให้น่าอับอายขายหน้า ที่พระชายาให้กำเนิดก็ลูกเขาเหมือนกัน ”
“แต่เกรงว่าจะไม่ใช่”ตอนนี้พระชายาจี้ก็ไม่กลัวที่จะพูดออกไปตรงๆแล้ว “บางเรื่อง ท่านอ๋องเองก็ไม่รู้ เพราะข้าให้คนปิดเป็นความลับเอาไว้ เจ็ดปีก่อนที่ท่านอ๋องออกรบครานั้น ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะสืบพันธุ์ แม้จะสามารถทำเรื่องอย่างว่าได้ แต่ไม่มีทางท้องขึ้นมาได้ พระชายารองตั้งครรภ์ ไม่ใช่ลูกของเขา เพื่อแย่งชิงความรักจึงได้หาชายชู้ข้างนอก ข้าได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้แล้วจึงได้ลงมือ”
ฉินเฟยได้ยินคำพูดนี้ ก็โมโหมาก “เจ้าพูดจาเหลวไหล”
พระชายาจี้เอ่ยเสียงเย็นว่า “เสด็จแม่ไม่เชื่อ แล้วข้าจะทำอย่างไรได้”