บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 445
ฉินเฟยตื่นตระหนกไปหมด
ถ้าหากบอกว่าไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ ภายหน้าก็ให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ เช่นนั้นแม้จะแย่งชิงจนได้ใต้หล้านี้มา แล้วจะมีประโยชน์อันใด
นางไม่เชื่อ
ในใจของพระชายาจี้ไม่ได้ผ่อนคลายลงเพราะได้ระบายออกไป กลับกัน ยิ่งหนักอึ้งยิ่งขึ้น
ตอนนี้นางไม่ได้สนใจในความรักระหว่างสามีภรรยาอีกต่อไปแล้ว
แต่ว่า เขาได้รับโทษถูกคุมขังอยู่ภายใน ที่สุดก็ต้องกระทบกระเทือนต่อลูกสาว
ฉะนั้น แม้จะไม่ยินดี ผ่านไปสักพักก็คงต้องหาวิธีการช่วยเขาออกมาอยู่ดี
อาการของอ๋องฉี ค่อยๆเป็นไปในทางที่ทรงตัวดีขึ้น
แต่ว่าบาดแผลสาหัสมาก ภายในครึ่งเดือนนี้ ก็คงยังลงจากเตียงไม่ได้
หยวนหย่งอี้คอยเฝ้าดูแลเขาอยู่ข้างเตียงอยู่ตลอดเวลาไม่ห่าง อ๋องฉีรู้สึกซาบซึ้งมาก ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกผิดในใจ
เพราะว่า มีหมอมากมายมาช่วยเขารักษาอาการ คิดว่านางคงรู้เรื่องแล้วว่าเขาไม่ได้มีโรคร้ายที่บอกใครไม่ได้
นางรู้ว่าเขากำลังโกหก แต่นางก็ไม่พูดอะไร
นี่ทำให้อ๋องฉีรู้สึกจิตใจไม่สงบ
ในที่สุดวันนี้ เขาก็รวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไปแล้ว
“เจ้าอ้วน มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะพูดกับเจ้า เจ้านั่งลงก่อน อย่าเพิ่งทำเรื่องอื่น ฟังข้าพูดก่อน ”หลังจากอ๋องฉีดื่มยาไปแล้ว ก็มองหยวนหย่งอี้และพูดขึ้นมา
หยวนหย่งอี้วางถ้วยยาลง นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง จัดระเบียบกระโปรงที่ยับยู่ยี่ เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยและถามว่า “เรื่องอะไร”
อ๋องฉีมองดวงตาที่สดใสของนาง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดบาป “เรื่องนี้ ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้แล้ว เรื่องที่ข้ามีโรคที่บอกใครไม่ได้ ข้าหลอกเจ้า แต่ข้าไม่ได้เจตนาจะล้อเจ้าเล่น ข้าก็มีความยากลำบากที่ต้องทำเช่นนี้”
หยวนหย่งอี้นิ่งอึ้งไป “หลอกข้าหรือ ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้มีโรคร้าย ทำไมท่านต้องหลอกข้าด้วย”
อ๋องฉีมองสีหน้าที่ตื่นตะลึงของนาง รู้สึกมึนงง “เจ้า เจ้าไม่รู้ว่าข้าหลอกเจ้าหรือ”
“ไม่รู้”น้ำตาของหยวนหย่งอี้ทะลักออกมาทันที นางใช้แขนเสื้อเช็ดอย่างลวกๆทีหนึ่ง รู้สึกว่าร้องไห้เช่นนี้มันน่าขายหน้านัก จึงได้หันหน้ากลับไป เอ่ยด้วยความรู้สึกน้อยใจและโมโหว่า “ทำไมท่านต้องหลอกข้าด้วย ท่านรู้หรือไม่ เพื่อรักษาโรคของท่าน ข้าวิ่งจนขาจะหักอยู่แล้ว ไปทุกที่เพื่อหาหมอมารักษาท่าน”
นางวิ่งออกไป
อ๋องฉีตื่นตระหนกขึ้นมา เจ้าอ้วนร้องไห้ เขาไม่เคยเห็นเจ้าอ้วนร้องไห้เช่นนี้มาก่อนเลย
เขาตบไปที่หน้าตัวเองแรงๆหนึ่งที คนอื่นยังไม่รู้ แล้วเขาจะสารภาพออกไปทำไมกัน
ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือตอนนี้เขาเองก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ อยากออกไปขอโทษนางก็ทำไม่ได้
คืนนั้น หยวนหย่งอี้ไม่ได้มาดูแลเขา พอถามบ่าวรับใช้ ก็ได้ความว่านางกลับบ้านมารดาไปแล้ว
เป็นนายกว่าอ๋องฉีจะได้สติกลับคืนมา สุดท้ายก็ยิ้มขม ใช่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาบอกว่ามีโรคเพื่อหลอกนาง นางก็จะกลับไปตั้งนานแล้ว
รู้อยู่แล้วว่าคงรั้งนางไว้ไม่อยู่ ช่างเถอะ ปล่อยนางไปตามใจเถอะ รั้งร่างกายของนางไว้ได้ แต่ก็รั้งใจของนางไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่าง วาสนาระหว่างคนเรา หมดแล้วก็คือหมดเลย ฝืนใจสักนิดก็ไม่ได้ จากไปตอนนี้ ยังพอจะเหลือความทรงจำดีๆเอาไว้บ้าง ย่อมดีกว่าต้องเผชิญหน้ากันตลอดชีวิต สุดท้ายยังมาเคียดแค้นชิงชังต่อกัน
เขาปลอบใจตัวเองเช่นนี้ และรู้สึกว่าในหัวใจเต็มไปด้วยสัจธรรมแห่งความไม่เที่ยง มองเรื่องราวได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ท่านอ๋อง ได้เวลาดื่มยาแล้ว”ขุนนางในจวนดูแลยกยามาให้เขาด้วยตัวเอง
อ๋องฉีพูดด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ว่า “ดื่มยาแล้วมีประโยชน์อะไร ตายซะดีกว่า ในเมื่อไม่มีคนสนใจอยู่แล้ว”
พูดจบ ก็เอาผ้าห่มมาคลุมศีรษะ อยู่ในมุมมืด ปล่อยให้ความเศร้าเสียใจหลั่งไหลออกมาดุจแม่น้ำ
คำพูดทั้งหลายที่ใช้ปลอบใจตนเอง ใช้หลอกตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
เขาไม่ยินดีที่นางจากไป นางจะจากไปได้อย่างไร ตอนนี้นางยังเป็นพระชายารองของเขาอยู่
ในใจมีความคิดเป็นร้อยเป็นพันที่หมุนวนไปมา จากความรู้สึกเสียใจจนถึงความแค้นเคืองจนถึงการโมโหแล้วก็รู้สึกเสียดาย
วิธีการที่คิดได้ก็มีตั้งแต่ไม่สนใจไยดีจนกระทั่งถึงขั้นไล่นางออกไปและใช้ชีวิตของตนเองให้ดี และต้องมีชีวิตที่ดีกว่าใครๆ ให้นางรู้สึกเสียใจ สุดท้าย เขาตัดสินใจจะพักรักษาตัวเองให้ดี หลังจากเขาหายดีแล้ว จะไปที่บ้านตระกูลหยวนเพื่อพานางกลับมา
หลังจากนั้น ความคิดทั้งมวลก็ผุดขึ้นมาวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ พันรอบ ไร้จุดสิ้นสุด
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าอะไรคือวนซ้ำเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
และในที่สุดก็เข้าใจ ว่าทำไมโสวฝู่ฉู่จึงได้ผมหงอกภายในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
ช่างทรมานใจคนเหลือเกิน
ตอนที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง เขารู้สึกราวกับว่าตนเองได้ใช้ชีวิตยาวนานเหมือนผ่านไปทั้งชีวิตแล้ว
เปิดประตูออก มีคนยกสิ่งของเข้ามา ไม่ได้นอนแทบทั้งคืน สายตาขมุกขมัว เงาสะท้อนจากแสงด้านหลังนางทำให้เกิดแสงรัศมีขุ่นมัวไม่ชัดเจน เขาเหมือนราวกับยังอยู่ในฝัน
จนกระทั่งได้ยินเสียงของนาง เขาจึงรับรู้ได้ถึงความเป็นจริง ขยี้ตา แล้วก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที ความน้อยเนื้อต่ำใจนับพันนับหมื่นกรูขึ้นมาในใจ เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
หยวนหย่งอี้วางโจ๊กไว้ที่โต๊ะเล็กข้างเตียง เห็นขอบตาของเขาแดงก่ำ ก็ถามอย่างอึ้งๆว่า “ทำไมหรือ เจ็บแผลหรือ”
อ๋องฉีจ้องมองนางด้วยสายตาเขม็ง ถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่ เจ้ากลับบ้านมารดาไปแล้วไม่ใช่หรือ”
หยวนหย่งอี้พูดว่า “กลับไปตั้งแต่ตอนเที่ยงเมื่อวาน เมื่อคืนก็กลับมาแล้ว วันเกิดของท่านย่า ข้าต้องกลับไปอวยพรให้ท่านย่า นางให้อั่งเปาพวกเรามาด้วย ท่านหนึ่งซอง ข้าหนึ่งซอง”
ระหว่างที่นางพูด ก็ควักเอาอั่งเปาออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อสองซอง เปิดออกด้วยรอยยิ้มแป้น ในอั่งเปาซองหนึ่งมีทองก้อนเล็กๆหนึ่งก้อน ประกายสีทองสว่างสดใส
อ๋องฉีเช็ดดวงตา “วันเกิดหรือ ทำไมจึงไม่เคยได้ยินเจ้าพูดมาก่อนเลย”
“ท่านบาดเจ็บมาตั้งหลายวัน ข้าเองก็ลืมไปแล้ว เมื่อวานเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ก็เลย รีบกลับไปทันที”
หยวนหย่งอี้ยกโจ๊กขึ้นมา ค่อยๆเบาไปสักครู่ ไอร้อนรายล้อมขึ้นตรงหน้านาง นางพูดว่า “เมื่อครู่ได้ยินแม่นมบอกว่าเมื่อคืนท่านไม่กินยา ทำไมจึงไม่กินยา”
อ๋องฉีพูดว่า “ไม่ส่งให้ผลไม้เชื่อมมาพร้อมยา ไม่ดื่ม ”
“สำออย”หยวนหย่งอี้ยิ้มขึ้นมา ป้อนโจ๊กให้เขา
อ๋องฉีกินไปได้สองคำ ก็มองนางอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นชะล่าใจว่า “ข้านึกว่าเจ้ากลับบ้านมารดาไปแล้วจะไม่กลับมาอีก”
หยวนหย่งอี้เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมจะไม่กลับมา ของของข้ายังอยู่ที่นี่ ไม่ให้กลับมาแล้วให้ไปที่ใด”
“เจ้าเคยบอกมิใช่หรือว่าจะออกไปท่องเที่ยวในใต้หล้านี้”อ๋องฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“แม้ว่าจะไป ข้าก็คงไม่สามารถไปได้ในตอนนี้ บาดแผลของท่านยังไม่หายดีเลย”หยวนหย่งอี้พูดยิ้มๆ
“เช่นนั้นถ้าแผลข้าหายดี เจ้าก็จะจากไปหรือ”อ๋องฉีไม่กินแล้ว เมื่อคืนทรมานเกินไป วันนี้ขอพูดจากันให้รู้เรื่องก่อน
หยวนหย่งอี้พยักหน้า “ก่อนหน้านี้ที่อยู่ต่อก็เพื่อจะดูแลท่าน รอให้ท่านตายแล้วข้าค่อยไป ตอนนี้ท่านไม่ได้ป่วย เช่นนั้นข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ ข้าอยู่ที่นี่ต่อไป ก็รังแต่จะเป็นอุปสรรคในการหาคู่ของท่าน”
หัวใจของอ๋องฉีเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดแล้ว ผลักถ้วยโจ๊กออกทันควัน เอ่ยด้วยเสียงเย็นว่า “เป็นอุปสรรคในการหาคู่ของข้าหรือของเจ้ากันแน่ เจ้าคงอดใจรอไม่ไหวที่จะหาอีกคนหนึ่งแต่งงานด้วยสินะ”
หยวนหย่งอี้พูดว่า “ข้ายังไม่คิดเรื่องเหล่านี้ ก็แค่อยากจะออกไปท่องโลกภายนอกดูเท่านั้น”
นางยกถ้วยเข้าไป“กินอีกคำหรือไม่”
อ๋องฉีพูดอย่างโมโหว่า “เจ้าก็จะไปแล้ว ยังจะห่วงว่าข้าจะอดตายหรือไม่อีกทำไม เจ้าไปเสียเถอะ”
หยวนหย่งอี้เอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “กินก่อนค่อยว่ากัน”
“ไม่กิน ”อ๋องฉีหันหน้าหนี
หยวนหย่งอี้ตามเข้าไป “กินอีกหน่อย จากนั้นก็ดื่มยา อย่าดื่มยาทั้งที่ท้องยังว่าง”
“ข้าบอกแล้วว่าไม่กิน”
ทันใดนั้นหยวนหย่งอี้ก็โมโหขึ้นมาตะคอกเสียงดังหนึ่งเสียง“กิน”
อ๋องฉีตกใจจนตัวสั่น เห็นท่าทีนางที่ดุดันอารมณ์ร้าย ก็ไม่กล้าหาเรื่องอีก เอ่ยพึมพำว่า “กินก็กิน เสียงดังขนาดนั้นจะรังแกใครกัน รังแกคนบาดเจ็บเจ้ายังทำได้ลงคอหรือ”
“อย่าพูดมาก รีบกิน”หยวนหย่งอี้พูดด้วยเสียงดุดัน
อ๋องฉีประคองถ้วยด้วยมืออันสั่นเทา เสียงกินโจ๊กดังขึ้นผ่านไปชั่วครู่ โจ๊กทั้งถ้วยก็เข้าไปอยู่ในท้อง จนเห็นก้นถ้วยแล้ว
หยวนหย่งอี้ค่อยรู้สึกพอใจขึ้นมา พูดว่า “เช็ดปากเอง ข้าจะไปยกยามาให้ท่าน”
อ๋องฉีร้องขึ้นบอกว่า “เจ้าจะดุข้าก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าดุข้าแล้วก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป”