บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 452
นางนั่งลงข้างเตียง จับมือหยวนชิงหลิงไว้แน่น แววตาวิตกกังวลและว้าวุ่นสับสน พูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ท้องนี้ของเจ้าเกี่ยวข้องกับชะตากรรมในอนาคตของจวนอ๋องฉู่ทั้งจวน ? ทุกวันนี้เริ่มมีคนก่อปัญหาสร้างเรื่องให้มันวุ่นวายใหญ่โต ว่าฝ่าบาทไร้ซึ่งคุณธรรม จึงส่งผลให้เจ้าเกิดเรื่องก่อนคลอด จนตอนนี้มีหลายชีวิตที่ต้องสูญเสียแล้ว พระชายาฉู่ ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะว่า เจ้าต้องกัดฟันทนให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ก็ต้องคลอดเด็กออกมาให้จงได้ เข้าใจหรือไม่?”
แม่นมสี่ที่อยู่อีกด้านได้ยินประโยคนี้ ก็รีบวางกาน้ำชาลงแล้วเดินมา ไม่อาจมัวสนใจเรื่องชนชั้นสถานะใด ๆ ทั้งสิ้น รีบดึงตัวเสียนเฟยออกมาตรง ๆ ทันที “ท่านหญิงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว โปรดมาดื่มชาทางนี้ก่อนเถอะเพคะ พระชายาควรต้องพักผ่อนแล้ว”
เสียนเฟยผลักแม่นมสี่ออกไปด้วยมือเดียว พูดอย่างโกรธเคืองว่า: “คำพูดเหล่านี้ เดิมทีพวกเจ้าควรจะบอกนางเสียตั้งนานแล้ว บอกให้นางรู้ว่าตัวเองต้องแบกรับความรับผิดชอบอันหนักหนามากแค่ไหน ให้นางเข้าใจว่าต่อให้นางจะตาย ก็ต้องกัดฟันใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย คลอดเด็กออกมาให้ได้”
แม่นมสี่ร้อนใจแล้ว “เสียนเฟยพอเถอะเพคะ ท่านออกไปได้เสียเถอะ”
ใบหน้าของหยวนชิงหลิงขาวซีดเผือดสี พูดขึ้นว่า: “แม่นมสี่ ให้ท่านแม่พูดเถอะ นางพูดถูกแล้ว เรื่องบางเรื่องข้าก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้”
เสียนเฟยกลับไปที่ข้างเตียง มองดูหยวนชิงหลิง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สถานการณ์ในตอนนี้ของเจ้า ข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจ้าอยู่ อันที่จริงตอนแรกข้าไม่ชอบเจ้าหรอก แต่ในช่วงหลายเดือนมานี้ ข้าเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อเจ้าไปทีละน้อยแล้ว สถานการณ์ภายนอกร้ายแรงมาก ฝ่าบาทต้องทรงแบกรับความกดดันอย่างหนัก ประชาชนใช้โอกาสจากสถานการณ์ของเจ้า มากดดันราชสำนัก หากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเจ้าระหว่างการคลอด เกรงว่าความวุ่นวายโกลาหลนี้จะยิ่งบานปลายมากขึ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่ กุญแจสำคัญทั้งหมดอยู่ที่ตัวเจ้า อยู่ที่ตัวเจ้าคนเดียว เจ้าทำได้แค่ต้องกัดฟันอดทนผ่านมันไปให้ได้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน จำได้แล้วหรือไม่?”
เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงไม่ตอบสนอง นางก็พูดอย่างร้อนใจว่า: ” เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
ดวงตาทั้งสองข้างของหยวนชิงหลิงเบิกค้างน้อย ๆ การหายใจเริ่มสับสนไม่เป็นจังหวะ
นางพยายามทำให้ตัวเองมั่นคง ใช้การหายใจทางช่องท้องที่เพิ่งได้ฝึกมาเมื่อไม่นานนี้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้โดยสิ้นเชิง สภาวะอารมณ์ก็จวนจะเกินขอบเขต ถึงขั้นที่แทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่แล้ว
นางทนรับแรงกดดันขนาดนี้ไม่ไหวจริง ๆ นางก็เหมือนกับผู้หญิงธรรมดาคนอื่น ๆ ที่แค่จะคลอดลูกก็เท่านั้น ทำไมเรื่องวุ่นวายโกลาหลบ้า ๆ ทั้งหลาย ถึงต้องหล่นมาทับบนตัวนางแบบนี้ด้วย?
อีกทั้งยังมีคนตายแล้ว ? มีชาวบ้านต้องมาตายด้วย ?
นางฝืนทนจนใช้แรงกายแรงใจไปหนักมากแล้ว หนักมากเหลือเกินแล้วจริง ๆ ฝืนสูดทุกลมหายใจให้ไปรวมกันจนแน่นขนัดอยู่ที่ทรวงอก จากนั้นก็ค่อยระบายออกมาลึก ๆ ในตอนที่ได้ยินคำพูดของเสียนเฟย ชั่วขณะนั้น นางเกิดความรู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างกดทับลงบนหน้าอกของนางตรง ๆ ไม่อาจฝืนสูดลมหายใจเข้าไปได้อีกแม้แต่เฮือกเดียว จนกระทั่งถึงตอนที่นางรู้สึกสิ้นหวัง จึงสามารถหายใจเอาอากาศเข้าไปได้อย่างช้า ๆ ลมหายใจเฮือกนี้ ราวกับว่ามันจะเข้าไประเบิดในทรวงอกของนาง ระเบิดแขนขาและอวัยวะทั่วร่างจนแหลกละเอียดเป็นชิ้น ๆ
เมื่อเสียนเฟยเห็นว่าร่างกายของนางมีบางอย่างผิดปกติ ก็ตกใจมากจนต้องรีบหุบปากฉับ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“สวรรค์ นางหมดสติไปแล้ว!” แม่นมสี่ตกใจจนกรีดร้องเสียงดัง
หมอหลวงที่ยืนเฝ้าอาการอยู่หน้าประตูได้ยินคำพูดนั้น ทั้งสองคนก็รีบวิ่งเข้าไป ทั้งช่วยนวดเฟ้น ทั้งช่วยฝังเข็ม ถึงสามารถปลุกหยวนชิงหลิงจนฟื้นคืนสติขึ้นมาได้
หยู่เหวินเห้าออกไปปลดทุกข์ กลับมาก็ได้ยินว่าเจ้าหยวนหมดสติไป เขาตกใจมากจนหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นว่านางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ มีน้ำตาสองหยดรินไหลออกมาจากดวงตา เขาก็อดรู้สึกแสบร้อนที่จมูกไม่ได้ เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
แม่นมสี่ไม่สนใจสถานะของเสียนเฟย พูดด้วยน้ำเสียงดังลั่นอย่างร้อนใจว่า “เสียนเฟย อย่างไรก็ขอเชิญท่านกลับวังไปเสียเถอะ อย่าอยู่ที่นี่แล้วพูดจากระตุ้นพระชายาอีกต่อไปเลยเพคะ”
นี่เองจึงทำให้หยู่เหวินเห้าได้รู้ว่า เสียนเฟยไปพูดอะไรบางอย่างที่มันกระตุ้นหยวนชิงหลิง จึงเข้าไปดึงแขนนางแล้วลากนางออกไป คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง แล้วพูดด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าโศกว่า: “ท่านแม่ ลูกขอคุกเข่าให้ท่านแล้ว ขอร้องท่านอย่าได้ทรมานนางไปมากกว่านี้อีกเลยจะได้หรือไม่ ? ตอนนี้นางแทบจะเหลือเพียงครึ่งชีวิตแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ลูกก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่เช่นกัน”
น้ำตาสองสาย ไหลอาบลงมาตามแก้มของเขา
เมื่อเสียนเฟยเห็นเขาหลั่งน้ำตา ก็ได้รับความสะเทือนใจอย่างหนัก ตัวนางเองก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ นางเอื้อมมือออกไปพยุงเขาให้ลุกขึ้น ถอนหายใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง “แม่เองก็ไม่มีทางอื่นจริง ๆ หากนางไม่อาจทนจนผ่านมันไปได้ เสด็จพ่อของเจ้าจะยอมละเว้นจวนอ๋องฉู่หรือ? แม่แค่คิดหาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อลูกก็เท่านั้นเอง”
หัวใจของหยู่เหวินเห้าเจ็บปวดว้าวุ่น น้ำเสียงเด็ดขาดแน่วแน่ “ท่านแม่ ข้าไม่สนใจว่าคนข้างนอกจะพูดอะไร แล้วข้าก็ไม่สนด้วยว่าใครเป็นคนสร้างเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้นมา ตอนนี้สำหรับข้า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่นางยังมีชีวิตอยู่ ลูกขอบอกท่านตามตรงว่า ถ้ามันถึงช่วงเวลาวิกฤตจริง ๆ ขอแค่ยังมีโอกาสแม้เพียงเศษเสี้ยวให้นางได้มีชีวิตอยู่ ลูกยินดีที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยตกใจมาก เงื้อฝ่ามือขึ้นตบออกไปทันที พูดด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะตวาด “ตบปากเดี๋ยวนี้ เจ้าพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไรกัน? ในสถานการณ์ใหญ่โตแบบนั้น เจ้าก็ต้องเลือกรักษาลูกไว้ก่อนสิ มีที่ไหนเลือกรักษาคนแม่ไว้ก่อน? สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคือราชวงศ์มีผู้สืบทอด ไม่มีใครสนใจหรอกว่าพระชายาฉู่จะมีชีวิตอยู่หรือตายจากไป เจ้ารู้หรือไม่?”
“ไม่ต้องให้ใครมาสนใจ ข้าสนใจก็พอ!” ดวงตาของหยู่เหวินเห้าแทบจะลุกเป็นไฟ “ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องพูดเกลี้ยกล่อมอะไรทั้งนั้น กลับวังไปเถอะ หากว่ามีข่าวดี ข้าจะส่งคนไปรายงานท่านที่วังเองพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหันกลับไปสั่งทังหยาง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เชิญเสียนเฟยกลับวัง”
“เจ้าห้า เจ้าอย่าดื้อไม่ฟังคำแม่เลยนะ แม่คิดเพื่อประโยชน์ของเจ้าจริง ๆ” เสียนเฟยพูดด้วยความร้อนใจ เอื้อมมือไปดึงแขนของเขา เขาสะบัดออก เดินเข้าไปแล้วปิดประตูทันที
ทังหยางมีวิธีพูดเกลี้ยกล่อมจนนางยอมกลับไป เป็นไปตามที่คิด ผ่านไปไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกตะโกนว่า “เสียนเฟยเสด็จ!”
หยู่เหวินเห้านั่งลงบนเตียง กอดหยวนชิงหลิงเบา ๆ
สำหรับพวกเขาสามีภรรยา นี่คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดแล้ว
หยวนชิงหลิงมีหลายสิ่งที่อยากจะถาม และมีอีกหลายสิ่งที่อยากจะพูด
นางอยากถามถึงเรื่องที่มันกำลังวุ่นวายอยู่ตอนนี้ แล้วก็อยากจะบอกว่านางได้ยินคำพูดที่เสียนเฟยเพิ่งจะบอกให้เขาเก็บเด็กไว้ แล้วสละผู้ใหญ่ทิ้งไปนั่นด้วย
แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ถามอะไร หรือพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ตอนนี้เรี่ยวแรงเท่าที่พอมีเหลืออยู่ของนาง ไม่อนุญาตให้นางไปสนใจสถานการณ์อื่นใดได้ไหวอีกต่อไปแล้ว
นางยังคงมีสภาพเหมือนปลาทองท้องโต ที่นอนหอบหายใจพะงาบ ๆไม่หยุด
หยู่เหวินเห้ากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน เอื้อมมือไปรองไว้ที่เอวของนาง เอียงตัวลงไปแนบชิดกับหน้าท้องของนาง รับรู้ได้ว่าเด็ก ๆ กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใน
การเคลื่อนไหวนี้ค่อนข้างรุนแรง ราวกับเป็นความรู้สึกที่เรียกได้ว่า ลูกๆกระตือรือร้นที่จะออกมาจนแทบอดใจรอไม่ไหวแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ทันทีที่หยู่เหวินเห้าเข้าไปสัมผัสแนบชิด เขาก็รับรู้ได้เลยทีเดียว
“อย่าก่อกวนได้แล้ว อย่าทรมานแม่ของเจ้าอีกเลย ดูซิว่านางต้องลำบากจนขนาดไหนแล้ว?” หยู่เหวินเห้าถอนหายใจ ติดเพียงแค่ว่าพวกเขายังคงอยู่ข้างในหรอกนะ ไม่อย่างนั้น ต้องถูกเขาตีสั่งสอนให้เข็ดหลาบซักยกไปแล้วแน่ ๆ
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะเหน็ดเหนื่อยง่วงงุนแค่ไหน แต่ก็ยังจำเรื่องสำคัญได้ “อย่าลืมขอให้ท่านเจ้าอาวาสสวดมนต์เพื่อข้าด้วย อย่าให้เขากลับไป ไม่ว่าใครจะมาเชิญให้เขากลับไป เจ้าก็อย่าได้อนุญาตเป็นอันขาด รู้หรือไม่?
“ข้ารู้ ข้ารู้ เจ้าวางใจเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดปลอบใจ
“ยังมีอีก ฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิง นางรู้จักศาสตร์การฝังเข็มและการรมยา เก็บนางไว้ข้างกายข้า หากถึงเวลาจำเป็นขึ้นมา นางจะสามารถช่วยข้าได้” หยวนชิงหลิงยื่นมือไปเอาผมออกจากปาก ช่วงนี้ผมของนางยุ่งเหยิงพันกัน ทั้งยังสกปรกจนเกินจะทนไหวแล้วจริงๆ
นางรู้สึกว่า หากตอนนี้นางส่องกระจกล่ะก็ ตัวนางเองก็อาจถึงขั้นรังเกียจตัวเองได้เลยทีเดียว
คนไข้ไม่มีความรู้สึกภูมิใจในตนเอง ผู้หญิงท้องก็ใช่ เป็นทั้งคนไข้บวกกับเป็นผู้หญิงท้องด้วย ก็ยิ่งไม่มีไปกันใหญ่
“เจ้าวางใจเถอะ ตอนที่เจ้าคลอด ทุกคนจะมาอยู่ที่นี่คอยปกป้องคุ้มครองเจ้า ” หยู่เหวินเห้ากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของนาง: “ ด่านทดสอบนี้ พวกเราจะต้องอดทนก้าวผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน”
ก่อนหน้านี้หยวนชิงหลิงมีความมั่นใจมาก เพราะนางได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว ถึงขั้นมีการเตรียมสำรองด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ร่างกายของนางซูบซีดอ่อนแอมากจนดูเหมือนผี ไม่รู้ว่านางจะอดทนต่อมีดนี้ได้ไหวหรือไม่
จู่ ๆ นางก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้ามีเลือดออกมาก จนจำเป็นต้องมีการให้เลือดฉุกเฉิน หมู่เลือดที่ได้จะต้องถูกต้องตรงกัน
นางต้องรีบทำเรื่องนี้ให้เสร็จโดยไว
ตัวอย่างเลือดถูกเก็บออกมาทดสอบ มีหลายคนเช่นลู่หยา อาซี่ กู้ซือเป็นต้น ทุกคนต่างก็เหมาะสม แต่เจ้าห้าไม่ได้ทดสอบ สาเหตุหลักคือตลอดเวลาที่ผ่านมา อารมณ์ของเขาแย่มาก
ขี้โมโหหงุดหงิด ทำให้ความดันเลือดพุ่งสูงขึ้น หยวนชิงหลิงยังถึงกับต้องให้ยาลดความดันโลหิตเขาด้วย