บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 458
หยู่เหวินเห้าเลี่ยงโดยการเดินอ้อมตัวนางไป ไม่ให้นางเข้าใกล้เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าเปื้อน อีกทั้งไม่มัวพูดอะไรไร้ประโยชน์ เขาหยิบสเปรย์ที่หยวนชิงหลิงจัดเตรียมไว้ขึ้นมาฉีดใส่ตัวเอง แล้วรีบเข้าไปทันที ปิดประตูได้ก็ตะโกนมาจากข้างในว่า “กู้ซือ ทังหยาง เฝ้าประตูไว้ให้ดี ไม่มีการอนุญาตจากข้า ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้มาก็ไม่ต้องให้เข้ามาทั้งนั้น”
กู้ซือกับทังหยางระดมทหารรักษาพระองค์และทหารจวนทันที วางกำลังล้อมห้องผ่าตัดทั้งหมดเอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งคู่เข้ามาคุ้มกันอยู่ตรงหน้าประตูห้องชั้นนอกและประตูห้องชั้นใน ยกสองมือขึ้นกอดอก ท่าทีเคร่งเครียดจริงจังประดุจเทพทวารบาลดำผู้เฝ้าประตู
เสียนเฟยโกรธจนหัวใจปวดหนึบแล้ว นางยกมือขึ้นมากดที่หน้าอกตัวเอง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ได้! ได้ ! แม่ทำทุกอย่างที่คิดว่ามันดีเพื่อเจ้ามาตลอด แต่เจ้ากลับไม่เห็นคุณค่า ช่างน่าผิดหวังนัก นับจากนี้ไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าก็จงอย่ามาขอให้แม่ช่วยเด็ดขาด!”
แม่นมหูเข้ามาปลอบนาง: “ท่านหญิง ท่านใจเย็น ๆ ก่อนนะเพคะ ท่านอ๋องเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน พระชายาตั้งครรภ์แฝดสาม เป็นธรรมดาที่สถานการณ์พิเศษ ก็ย่อมต้องรับมือด้วยวิธีการพิเศษ อย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้เลยนะเพคะ”
เมื่อเสียนเฟยได้ยินคำพูดนี้ ก็โกรธจนพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด
นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองช่างหัวเดียวกระเทียมลีบ ยืนหยัดอยู่เพียงลำพังไร้คนสนับสนุน
ไม่มีใครเข้าใจความเพียรพยายามอย่างหนักของนาง ไม่มีใครรู้ว่านางผ่านความเหนื่อยยากลำบากมามากมายแค่ไหน
ความคับข้องใจและความขมขื่น พุ่งเข้าโจมตีในหัวใจของนางไม่หยุด
ไทเฮาเป็นคนที่มาจากตระกูลซู เดิมทีนางควรจะได้เป็นฮองเฮา แต่ตอนนี้กลับต้องอยู่ภายใต้ฮองเฮาฉู่ อีกทั้งบนหัวนาง ก็ยังมีกุ้ยเฟยที่อยู่สูงเหนือไปกว่าอีกหนึ่งคน
เดิมมันควรจะเป็นเกียรติยศที่ตามมาโดยธรรมชาติ แต่กลับต้องตกลงไปติดอยู่ในหล่มแบบดื้อๆ
แต่ในห้องผ่าตัด ไม่มีใครมีเวลาสนใจความเวทนาสงสารตัวเองของนางทั้งสิ้น
บนเตียงผ่าตัด หมันเอ๋อดึงกระจกทองแดงขึ้นมา กระจกทองแดงบานนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ มีขนาดใหญ่มาก เมื่อนำไปแขวนไว้เหนือศีรษะของหยวนชิงหลิง การออกแบบของกระจกบานนี้ จะช่วยทำให้นางสามารถมองเห็นสถานการณ์ในการผ่าตัดได้อย่างชัดเจน
“แม่นม ตอนที่ข้ากินมื้อเที่ยงนั่น ประมาณยามอะไรหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
แม่นมสี่ตอบว่า “พระชายา เป็นยามอู่เพคะ ตอนนี้เป็นช่วงปลายยามโหม่วแล้ว”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า นั่นก็แปลว่าผ่านไปหกชั่วโมงแล้ว
นางหันไปมองฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิง “มั่นใจหรือไม่?”
“มีเจ้าคอยชี้แนะ คงไม่มีปัญหาอะไรนัก” อันที่จริงฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงไม่ได้มีความมั่นใจอะไรมากมาย นางเป็นผู้ช่วยของไทเฮามานานหลายปี ยังเคยทำการผ่าคลอดให้หญิงมีครรภ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่แท้ที่จริง หญิงท้องผู้นั้นได้หมดลมหายใจไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
แต่กลับกัน บรรดาสัตว์หายากบนภูเขาเฟิ่งหวง ล้วนเป็นนางที่ช่วยทำคลอดให้ และมีบางครั้งที่จำเป็นต้องมีการผ่าคลอด นางคุ้นเคยกับคำว่า “ผ่าคลอด” สองคำนี้อย่างมาก จึงหวังว่าการผ่าคลอดมนุษย์กับสัตว์จะเหมือนกัน
เมื่อเปิดกล่องยา แล้วได้เห็นมีดผ่าตัดอันแวววาวเรียงรายอยู่ในนั้น ขาของหยู่เหวินเห้าก็เริ่มสั่นพับ ๆ อ่อนยวบ เขายืนอยู่ข้าง ๆ หยวนชิงหลิง พยายามอยากจะช่วยทำอะไรสักอย่าง แต่กลับพบว่าตัวเองไม่อาจสอดมือเข้าไปได้ เพราะเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย
หลังจากเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้แล้วเรียบร้อย หยวนชิงหลิงพิจารณาปริมาณของยาชา นางใช้ยาระงับความรู้สึกภายนอกร่วมด้วย เพราะการใช้ยาชาเฉพาะที่ จะสามารถทำให้นางมีสติแจ่มชัด และชี้นำในกระบวนการการผ่าคลอดทั้งหมดนี้ได้
“หยวน มันจะได้จริง ๆ หรือ?” หยู่เหวินเห้าจับมือนาง พลางเอ่ยถามด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
“ต้องได้แน่นอนอยู่แล้วสิ” หยวนชิงหลิงยิ้มให้กำลังใจเขา “ อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เห็นหน้าลูก ๆ แล้วนะ”
หยู่เหวินเห้าขอบตาแดงก่ำ “ออกมาเมื่อไหร่ต้องตีให้หลาบจำ ทรมานเจ้าเหลือเกินจริงๆเจ้าลูกพวกนี้”
“ ถ้าเป็นผู้หญิง ยังจะตัดใจตีลงอยู่หรือไม่? ” หยวนชิงหลิงหาเรื่องมาคุยกับเขา เพื่อช่วยผ่อนคลายอารมณ์อันตึงเครียดของเขาให้ค่อย ๆ บรรเทาลง
อันที่จริงก็…มันช่วยไม่ได้ล่ะนะ โดยปกติ คนเป็นหมอมักจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของแม่ที่จะคลอด รวมถึงช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของบรรดาญาติมิตรที่อยู่ด้วย ไม่ให้เครียดจนเกินไป
ลูกสาว… หยู่เหวินเห้าคิดถึงบรรดาเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นุ่มนิ่มน่ารักมีเสน่ห์ และมีหน้าตาละม้ายคล้ายหยวนชิงหลิง คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกว่าตัดใจตีไม่ลงขึ้นมาเสียแล้ว
ในจวนอ๋องฉู่ตอนนี้ มีคนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน
นอกจากคนที่มีหน้าที่เฝ้าประตู คนอื่นที่เหลือต่างก็มารวมตัวกันอยู่นอกห้องผ่าตัดทั้งหมด
คนพวกนี้ส่วนใหญ่ ต่างมาเฝ้าจับตาดูอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนที่หยวนชิงหลิงมีอาการปวดท้องและอาเจียนแล้ว บางคนก็มานานกว่านั้นเล็กน้อย พวกเขาพากันมาที่นี่หลังจากที่รู้เรื่องของแฝดสาม
ในตอนที่ทุกคนมารวมตัวกัน โดยมีจุดประสงค์ร่วมกันเพียงหนึ่งเดียว นั่นจะก่อให้เกิดความความเหนียวแน่นอันแข็งแกร่งขึ้น
พิธีบูชาสวรรค์ครั้งนี้ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ มีทั้งขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊เข้าร่วมมากมาย
ใต้แท่นบูชา ล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คน
ตาของอ๋องอานสอดส่ายคมกริบ เขาเห็นสวีอีมายืนรออยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างกระวนกระวาย จ้องมองไปที่เจ้าอาวาสตาไม่กระพริบ
อ๋องอานแค่นยิ้มเย็นชาทันที เป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ เจ้าอาวาสคือกุญแจสำคัญ
เมื่อพิธีสิ้นสุดลง เขาสั่งให้คนไปขวางสวีอีไว้ ไม่ให้เข้าใกล้เจ้าอาวาสได้
ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงเชิญเจ้าอาวาสขึ้นราชรถหลวง เนื่องจากเสร็จพิธีบูชาสวรรค์แล้ว กลับวังไปยังต้องทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของตระกูลหยู่เหวินอีก
กว่าสวีอีจะสลัดคนของอ๋องอานไปได้อย่างยากลำบาก กลับทำได้เพียงต้องยืนมองราชรถหลวงวิ่งห่างออกไปตาปริบ ๆ
เขาไล่ตามไปจนขาแทบขวิด แต่เพราะมีกองทหารรักษาพระองค์คุ้มกัน รวมถึงประชาชนก็แน่นหนามาก เขาจนปัญญาจะแทรกตัวเข้าไปได้ เสียงรอบข้างก็อึกทึกอื้ออึงไปหมด ต่อให้เขาตะโกนเรียกจนคอแตก เจ้าอาวาสก็ไม่มีทางได้ยิน
เขาทำได้เพียงขี่ม้ากลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว เพื่อขอให้ท่านอ๋องเป็นผู้ไปหยุดรถคันนั้น
ในห้องคลอด หยู่เหวินเห้าเห็นท้องของหยวนชิงหลิงถูกผ่าเปิด แล้วถูกขยายกว้าง เผยให้เห็นปากแผลขนาดใหญ่ที่มีเลือดสีแดงสดไหลนอง เหมือนกับปากอันใหญ่โตของสัตว์ประหลาด เป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปกว่านั้นคือ หยวนชิงหลิงยังสามารถสั่งการชี้แนะการผ่าตัดได้อย่างมีระบบระเบียบ
“เจ้าห้า ฟังแค่เสียงหัวใจเต้น อย่ามองที่ท้อง จงมองมาที่ข้า” หยวนชิงหลิงยังมีเวลาแบ่งมาคุยกับเขาได้อีก
หยู่เหวินเห้ารีบปรับสีหน้าตัวเอง คว้าหูฟังที่ห้อยไว้ตรงหูขึ้นมา ตั้งใจฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นแรงดังตึกตัก ๆ ไม่หยุด
แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นอุปปาทานของเขาหรือไม่ เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงกว่าหัวใจของนางมากมายหลายเท่า
แม่นมสี่กับหมันเอ๋อเฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยความอกสั่นขวัญหาย อาซี่รับผิดชอบในการส่งอุปกรณ์ เช็ดเหงื่อ นางผดุงครรภ์ยืนดูอยู่ข้างๆ รอคอยเวลาที่เด็กออกมา นางก็จะสามารถรับตัวได้อย่างทันท่วงที
“ตอนนี้ สามารถเปิดมดลูกได้เลย” หยวนชิงหลิงมองดูสถานการณ์จากกระจกทองแดง เปิดผิวหน้าท้อง แล้วสั่งการว่า : “ฮูหยิน อย่าให้มือสั่น ไม่เป็นไร ผ่าเปิดมดลูก… อาซี่ ใช้สำลีซับเลือด ต้องให้ไว ดีมากอาซี่ ทำได้ดีมาก”
เสียงของนาง เริ่มอ่อนแรงลงไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
ฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มองเห็นแล้ว”
ทุกคนรีบยื่นหัวไปดู หยู่เหวินเห้าก็มองดูด้วยเช่นกัน ตัวสั่นงันงกจนฝ่าเท้าแทบไม่ติดพื้น เขาไม่รู้ว่าเหงื่อไหลจนทำดวงตาพร่า หรือเพราะความหน้ามืดตาลายกันแน่ เขาเห็นเพียงเลือดสด ๆ สีแดงเถือกอาบย้อมไปทั่วทุกที่
“นางผดุงครรภ์ เตรียมตัวให้พร้อม!” ฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงพูดอย่างสงบนิ่ง นางเอียงตัวหลบไปด้านข้างเพื่อให้อาซี่ก้าวมาข้างหน้าเพื่อซับเลือด นางอุ้มเด็กคนแรกออกมา อาซี่ก็ตัดสายสะดือออกอย่างรวดเร็ว
นางผดุงครรภ์หยิบผ้าขนหนูผ้าฝ้ายผืนหนึ่งขึ้นมาห่อตัวไว้ เปลี่ยนท่าอุ้มด้วยสองมืออย่างชำนาญ ยกนิ้วขึ้น ปากก็พูดด้วยเสียงอันดังว่า “ยินดีกับท่านอ๋องและพระชายาด้วยเพคะ เป็นเด็กผู้ชาย!”
นางคว่ำตัวเด็กลงแล้วตบเบา ๆ สองสามครั้ง ก็ได้ยินเสียงร้อง “อุแว้ ๆ ” ดังขึ้นมา เด็กน้อยเริ่มร้องไห้ แต่เสียงร้องนั้นไม่ได้ดังมาก
หยู่เหวินเห้าฟังเสียงหัวใจไปพลาง มือก็ยื่นขึ้นมาเช็ดเหงื่อไปพลาง เขาไม่ได้มองลูกเลย ได้แต่มองหยวนชิงหลิง เขาร้องไห้แล้ว ร้องจนน้ำตาไหลนองอาบหน้าราวเขื่อนแตก
หยวนชิงหลิงก็ขอบตาแดงเรื่อเช่นกัน เงยหน้ามองเขา “ตาทึ่ม!”
นางผดุงครรภ์วางเด็กไว้อีกด้าน แม่นมสี่กับหมันเอ๋อรีบเดินเข้าไปเช็ดเลือดออกจากตัว ทั้งแม่นมสี่และหมันเอ๋อต่างก็ร้องไห้กันหมด
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องและพระชายา เป็นเด็กผู้ชายอีกแล้วเพคะ” นางผดุงครรภ์พูดขึ้น
หยู่เหวินเห้าเริ่มรู้สึกใจคอไม่สงบขึ้นมาแล้ว เช็ดที่ขอบตาแล้วมองตาปริบ ๆ “เป็นผู้ชายอีกแล้วหรือ?”
“น่ายินดี ช่างน่ายินดีเหลือเกินเพคะ” นางผดุงครรภ์พูดด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
นางยังคงคว่ำตัวเด็กแล้วตบเบา ๆ เด็กน้อยเบ้ปาก แล้วร้องไห้ดังโฮ ๆ ออกมาสองครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ปิดปากแน่น ไม่ยอมร้องต่อแล้ว
ที่นอกห้อง จู่ ๆ ทังหยางก็หันไปมองกู้ซือแล้วถามว่า “เสียงหมามาจากที่ไหนกัน? ส่งเสียงร้องดังโฮ่ง ๆ ตอเป่ามาอย่างนั้นหรือ?”