บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 461
หยวนชิงหลิงที่ได้รับการพระราชทานยศเป็นพระชายารัชทายาท ตอนนี้นับได้ว่าสภาวะคงที่ชั่วคราวแล้ว
การหดตัวของมดลูกอ่อนแรงทำให้เสียเลือดมาก และโชคดีที่ฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงจัดการได้ทันเวลา นวดมดลูกให้เพื่อเพิ่มการหดตัวของมดลูก ฉีดยาห้ามเลือด ถ่ายเลือด จึงสามารถรอจนเจ้าอาวาสกลับมาได้
เพียงแค่ ภายในเวลาอันสั้นเสียเลือดมากขนาดนี้ ตอนนี้ความจริงยังไม่นับว่าพ้นจากขีดอันตรายแล้ว
คนรุ่นหลังฉีดออกซิโทซิน ทำการเย็บเป็นเลข “แปด”ด้านที่เลือดออก เพื่อจัดการสภาวะเลือดออก
ถ่ายเลือดยังต้องดำเนินต่อไป หยู่เหวินเห้าเฝ้านางไม่ห่างสักก้าว มองดูเลือดสดไหลเข้าหลอดเลือดของนางต่อเนื่องไม่หยุด
จิตใจของเขา กระวนกระวายไม่สงบสุขตลอดเวลา ไม่ได้ปล่อยวาง
เด็กทารกผู้ชายสามคนถือกำเนิด คนมากมายที่อยู่ด้านนอกมีความสุข แต่ก็มีหลายคนลืม แม่ของเด็ก ยังนอนอยู่ตรงนี้เป็นตายยังไม่รู้
หยู่เหวินเห้าฟังเสียงหัวใจเต้นของนาง หัวใจเต้นเร็วมากโดยตลอด เจ้าอาวาสบอกว่า หัวใจเต้นช้าลงจึงจะดี ดังนั้น เขาจึงกระซิบข้างหูนางเบาๆตลอด ให้นางอดทนไว้
ใบหน้าของนางซีดขาวเหมือนกับกระดาษเซวียนจื่อ ผมหน้าผากเปียกติดอยู่ เขาเอื้อมมือออกไปจัดเบาๆ เผยหน้าผากที่มันวาวออกมา ดวงตาปิดอยู่ บนขนตายาวๆเปื้อนน้ำตา เหมือนดั่งปีกอีกาที่ถูกน้ำฝนทำให้เปียก
เมื่อก่อน เขามักจะเรียกนางว่าผู้หญิงอัปลักษณ์เสมอ แต่ตอนนี้มองดูอย่างละเอียด หน้าตานั่น ตาหูจมูกปากนั่น ในโลกนี้จะมีหญิงคนไหนเทียบได้ล่ะ?
“รีบหายไวๆ ข้ากับลูกรอเจ้าอยู่” เสียงของเขาสะอึกสะอื้นแล้ว
นาทีที่ความรักลึกซึ้งเช่นนี้ คำถามของเจ้าอาวาสกลับดังมา “ใส่ท่อปัสสาวะ ฮูหยินท่านรู้หรือไม่?”
ฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงยิ้มเล็กน้อย “ชำนาญ!”
ฐานะที่เคยเป็นผู้ช่วยผู้หนึ่ง งานที่จัดการเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ โดยส่วนมากเป็นนางที่ทำ
เจ้าอาวาสหมุนตัวออกไปแล้ว หยู่เหวินเห้าเบิกตาโพลง มองดูฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงกำลังหยิบสิ่งของอะไรไม่รู้ออกมาจากกระเป๋ายาอ้อมไปทางนั้น
“ท่านอ๋องไม่สมควรไม่เหมาะสมที่จะดูเพคะ” ฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงกล่าวอย่างเรียบๆ
หยู่เหวินเห้ารีบหันหน้าไปทันที แต่ระหว่างนั้นยังใช้หางตามองดูนาง เห็นนางไม่รู้ยัดของอะไรเข้าไปด้านใน กล่าวอย่างรีบร้อน: “ฮูหยินเจ้าอย่าทำให้บาดเจ็บล่ะ”
“ทำให้เจ็บไม่ได้ รู้ว่าท่านต้องการใช้เพคะ” ฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงยิ้มแล้วกล่าว
แม้ว่าบรรยากาศจะค่อนข้างเคร่งขรึม แต่ว่าอะซี่และหมันเอ๋อล้วนปิดปากหัวเราะแล้ว
หยู่เหวินเห้าหันหน้ากลับไปด้วยใบหน้าเหยเก รู้สึกอายเป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ค่อยอยากเสด็จกลับตำหนัก
เด็กๆถูกแม่นมพาไปให้นมเป็นคำแรก เขาก็รออยู่ในเรือนด้านข้างของตำหนักเซี่ยวเยว่
“ทารกตัวเล็กขนาดนั้น จะสามารถกินได้กี่คำกัน? ต้องไปนานขนาดนั้นน่ะ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนเอามือไขว้หลัง กล่าวด้วยความหงุดหงิดมาก
มู่หรูกงกงยิ้มแล้วกล่าว: “ฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นก็เสด็จกลับตำหนักก่อน ท่านก็ได้เห็นแล้ว ควรกลับไปรายงานไท่ซ่างหวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้มองอย่างละเอียด” ฮ่องเต้หมิงหยวนค้อนเขาแวบหนึ่ง “นี่จำเป็นต้องมองดูอย่างละเอียดจึงจะรายงานอย่างดีได้ไม่ใช่หรือ? ไม่เช่นนั้นกลับไปไท่ซ่างหวงถามว่าเหมือนผู้ใด ข้าจะตอบอย่างไร?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” มู่หรูกงกงเห็นฮ่องเต้หมิงหยวนดีอกดีใจเพียงนี้ จึงได้แอบโล่งใจเปลาะหนึ่ง มองดูฮ่องเต้หมิงหยวนอีกพร้อมกล่าวเตือน: “ฝ่าบาท เมื่อครู่ท่านดีอกดีใจเกินไปแล้วใช่หรือไม่ พูดจาผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าพูดผิดเมื่อไหร่?” ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งลง ดื่มชาอึกหนึ่ง กล่าวอย่างเรียบๆ
“ท่านบอกว่า……” มู่หรูกงกงขึ้นหน้ามาใกล้ “พระชายารัชทายาทล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้พูดจา เพียงแค่ดื่มชาช้าๆ
ตำแหน่งรัชทายาท ก็แขวนว่างไว้ไม่ได้ตัดสินใจมาตลอด สังคมภายนอกมีการคาดเดามากมาย และหลายคนคิดว่า ถ้าหากเจ้าห้าให้กำเนิดซื่อจื่อ เช่นนั้นอาจจะเป็นของเขาแล้ว
อันที่จริงเขาเคยมีความประสงค์เช่นนั้น แต่ว่า กับที่บอกว่าเป็นความประสงค์ของเขา บอกว่านี่เป็นความประสงค์ของไท่ซ่างหวงยังจะดีซะกว่า
ในใจของตัวเขาเองวางแผนอะไรกันแน่ ตัวเองล้วนไม่กระจ่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องนี้ใหญ่มาก ใหญ่ดั่งสวรรค์
แต่วันนี้ตอนพิธีบวงสรวงสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ มองดูราษฎรด้านล่าง เขาก็รู้สึกอย่างฉับพลัน ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ควรที่จะกำหนดออกมานานแล้ว มองหากษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่งเพื่อราษฎรเหล่านี้
แต่ว่าเวลานั้น ยังคงไม่ได้มั่นใจว่าจะเป็นเจ้าห้า
จนกระทั่งในมืออุ้มทารกทั้งสามนั่นไว้ ในใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสงบที่อธิบายออกมาไม่ได้ ทั้งยังมีความรู้สึกปลอดภัยชนิดหนึ่ง
เช่นนี้พูดออกมาชั่งเหลวไหลจริงๆ กษัตริย์แห่งประเทศ ต้องการให้ทารกที่เพิ่งถือกำเนิดทั้งสามให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แพร่ออกไปทำให้คนหัวเราะเยาะแล้ว
แต่ก็คือความรู้สึกชนิดนี้จริงๆ
เขาก็เข้าใจในไม่ช้า นั่นก็คือความสำคัญของการสืบทอด
สืบทอด จำเป็นต้องมีคน
ไม่ว่าเจ้าห้าจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการคัดเลือกหรือไม่ แต่ตอนนี้ในความเป็นจริงมีเพียงเขาที่คุณสมบัติเพียบพร้อมในการสืบทอดสิ่งนี้
ยังมีอีกจุดหนึ่งก็คือ ตัวเขาเองล้วนรู้สึกว่าเป็นความมหัศจรรย์ ภายใต้คุณสมบัติของร่างกายที่ย่ำแย่เช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าหยวนชิงหลิงจะสามารถให้กำเนิดบุตรออกมาได้ อีกทั้งทั้งสามคนล้วนมีชีวิตอยู่ ภายหลังหมอหลวงออกมารายงานแล้วเป็นธรรมดา บอกว่าหยวนชิงหลิงเรียกฮูหยินเจ้าพระยาเจียงหนิงมาผ่าท้องของนางเอาเด็กออกมา
เขาฟังจบ รู้สึกตกตะลึงจนถึงตอนนี้
หลังจากที่มู่หรูกงกงถามแล้ว จึงมองดูเขาอยู่ตลอด
ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆเงยหน้าขึ้น “ควรจะกำหนดออกมาแล้ว ไม่ใช่หรือ?”
มู่หรูกงกงคุกเข่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาพ่ะย่ะค่ะ!”
“เป่ยถัง ต้องการกษัตริย์ที่ปรีชาสามารถยิ่งกว่า” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว
ทารกทั้งสามถูกอุ้มออกมา แต่กลับถูกอุ้มออกมาโดยร้องไห้อยู่ หมอหลวงเฉากลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า: “ฝ่าบาท ซื่อจื่อทั้งสามตั้งแต่เอาเข้าไปด้านในก็ร้องไห้งอแงตลอด และไม่ยอมกินนม ท่านดูสิพ่ะย่ะค่ะ ร้องไห้จนหน้าเขียวหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยิน กังวลเป็นอย่างมาก “นี่เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่ยังดีๆอยู่ไม่ใช่หรือ?”
เขาเดินเข้าไป เห็นทารกสามคนที่แม่นมอุ้มอยู่แต่ละคนร้องไห้จนสันจมูกและเส้นเลือดปูดขึ้นมาจริงๆ ใบหน้าเล็กๆย่นเข้าไปกองกันหมดแล้ว กระทั่ง ยังร้องไห้น้ำตาไหลอีกด้วย
น้ำตาสองสามหยดนี้ภายใต้สายตาของฮ่องเต้หมิงหยวน เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ดวงใจทั้งดวงเหมือนถูกสุนัขกัดไปครึ่งหนึ่ง รีบยื่นมือไปอุ้มมาคนหนึ่ง
พูดแล้วก็แปลก เมื่อเขาอุ้ม ทารกในอ้อมแขนก็หยุดร้องไห้ทันทีแล้ว ใบหน้าถูไถอยู่ตลอด มุมปากถูผ้าอ้อมนั่น ราวกับว่าอยากกินนมแล้ว
“หิวแล้ว หรือว่าป้อนไม่ถูก? ผู้ใดเป็นคนไปหาแม่นม?” ฮ่องเต้หมิงหยวนถาม
มู่หรูกงกงยิ้มแล้ว “ฝ่าบาท เช่นนี้ยังสามารถป้อนผิดได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? ซื่อจื่อเพิ่งจะถือกำเนิด ต้องร้องไห้เป็นธรรมดา ร้องไห้สักหน่อยถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่เชื่อ “จริงหรือ?”
หมอหลวงเฉากล่าว: “ร้องไห้คือดีพ่ะย่ะค่ะ แต่จำเป็นต้องกินนมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนส่งทารกให้แม่นมผู้นั้น “เจ้าไปป้อนด้านหลังฉากกั้นห้อง”
แม่นมอุ้มมา ถอนสายบัวแล้วกล่าว : “เพคะ!”
ผ่านมือก็ไม่ร้อง จึงอุ้มไปป้อนด้านหลังฉากกั้นห้อง
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นอีกสองคนยังร้องไห้อยู่ ก็ได้อุ้มทั้งหมดมา หลังจากอุ้มผ่านมือมา ก็หยุดร้องไห้ทันทีอีก
มู่หรูกงกงกล่าวด้วยความประหลาดใจ: “โอ้ มหัศจรรย์จริงๆ เช่นนี้คือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเสด็จปู่น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย เผยสีหน้าราวกับความหยิ่งผยองของนกยูงตัวผู้ออกมาเช่นนั้น แต่กลับแสร้งทำเป็นถ่อมตัว “บางทีข้าอุ้มแล้วอาจจะสบาย”
เขามองดูสองใบหน้าที่เหมือนกันเป๊ะๆในอ้อมแขน ฉับพลันนั้นก็นึกถึงปัญหาอย่างหนึ่งได้: “พี่น้องล้วนแบ่งแยกชัดเจนแล้วใช่ไหม? ใครเป็นพี่ใหญ่ล่ะ?”
หมอหลวงเฉายิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว: “ฝ่าบาท ท่านดูที่เท้าน้อยๆของพวกเขา ล้วนผูกสายรัดที่เขียนไว้น่ะพ่ะย่ะค่ะ นี่คือที่พระชายาเตรียมไว้ดีแล้วก่อนจะคลอด ขณะที่ถือกำเนิด นางผดุงครรภ์ก็ผูกให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนล้วงไปในผ้าอ้อมเล็กน้อย เห็นที่ล้วงออกมาเขียนอักษรเล็กๆ จึงอ๋อเสียงหนึ่ง “นี่คือเจ้าสามหรอ”
แล้วล้วงอีกอันหนึ่งออกมา “นี่คือเจ้าใหญ่”
มู่หรูกงกงยิ้มแล้วกล่าว: “ฝ่าบาท เรียกเช่นนี้มีที่ไหนกัน? เพิ่งจะถือกำเนิดน่ะ เรียกว่าเจ้าใหญ่เจ้าสามได้อย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ท่านต้องพระราชทานชื่อนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็อยาก เขากล่าวว่า: “งานนี้ใครแย่งไท่ซ่างหวง ไท่ซ่างหวงก็จะโมโหคนนั้น”
“กลับเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรูกงกงกล่าว
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูเจ้าสามมองแล้วมองอีก ค่อยๆขมวดคิ้ว “หมอหลวง เจ้ามาดูเขา ทำไมเสียงร้องไห้ของเขาแหบพร่าขนาดนี้ อีกทั้งราวกับว่าลมหายใจไม่พอเป็นอย่างมาก ร้องไปร้องไปก็เหมือนหายใจไม่ออกคือเกิดปัญหาอะไรขึ้น?”