บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 47
บทที่ 47 เสวยอาหารสองคนกับฮ่องเต้
นางเดินเบาๆ เข้าไปยืนตรงด้านหน้าเตียงนอนของไท่ซ่างหวง
แต่ว่าระยะเวลาสองวัน ทำให้ผอมลงไปเยอะมาก หน้าตาเหลืองอ๋อย ริมฝีปากเป็นสีม่วง คิ้วก็ดูยุ่งเหยิงแต่ดูน่าเกรงขาม และนี่ก็เป็นเอกลักษณ์เพียงอย่างเดียวของเขา
เขาเคยเป็นถึงชายที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามของแคว้นเป่ยถัง
แต่บัดนี้ขนาดความเป็นความตายของตัวเองยังไม่สามารถทำอะไรได้
หยวนชิงหลิงวางมือทาบบนหน้าอกเขา และสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจที่อ่อนแรง ลมหายใจก็ดูผิดปกติ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” อ๋องชินลุ่ยนึกว่านางกำลังตรวจอาการ จึงเดินมาถาม
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ยังไม่แน่ชัดเพคะ”
แววตาของอ๋องชินลุ่ยดูผิดหวังเล็กน้อย
ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับมีท่าทีนิ่งๆ แล้วหันไปมองหมอหลวงที่กำลังตรวจยาอยู่
หมอหลวงถอนหายใจออกมา พลางเดินมากราบทูล “ฝ่าบาท เป็นเพราะส่วนผสมสารปรอทจึงทำให้เกิดพิษวิสทีเรีย”
“ถอนพิษยากไหม?” อ๋องชินลุ่ยถามขึ้น
“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ถ้ารู้สาเหตุว่าเป็นเพราะพิษอะไรก็สามารถใช้ยาถอนผิดได้ ขั้นแรกต้องดื่มยาแก้พิษ เพื่อสลายสารปรอทกับพิษวิสทีเรีย จากนั้นค่อยใช้วิธีอื่นพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงตอบ
ในเมื่อหมอหลวงสามารถรักษาได้ ก็ไม่ต้องเป็นหน้าที่ของหยวนชิงหลิงแล้ว ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้นางกลับไปดูแลหยู่เหวินเห้า
ขณะที่กำลังจะออกไป ฮ่องเต้หมิงหยวนก็หันไปพูดกับนาง “เย็นนี้มาเสวยอาหารเย็นกับข้าที่ตำหนักนะ”
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่านี่เป็นการพระราชทานความดีความชอบ นึกเพียงแต่ว่าแค่การกินข้าวมื้อหนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงตอบรับไปอย่างไม่คิด หลังจากนั้นจึงออกมา
อ๋องชินลุ่ยเห็นนางไม่ได้รู้สึกตกใจ ก็อดชื่นชมไม่ได้
ที่จริงในใจของหยวนชิงหลิงยังนึกถึงเรื่องหนึ่งอยู่ ก็คือเรื่องการบาดเจ็บของหยู่เหวินเห้า
แผลก็พึ่งจะเย็บ ไม่รู้ว่าจะฉีกไหม เพราะการเดินทางเข้าวังนั้นต้องโดนแรงกระแทก แถมยังต้องเดินอีกหลายเก้า และแผลก็เป็นที่ผิวหนัง ตอนรถวิ่งคงจะทรมานแทบคลั่งแน่นอน
คนอย่างเขาทนความเจ็บปวดได้ดี
เมื่อก่อนในตำหนักมีคนมากมาย อีกทั้งน่ากลัวทั้งนั้น เขายังรอดพ้นมาได้ ตอนนี้ในตำหนักก็มีเพียงทังหยางกับสวีอีที่คอยดูแล ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว
พอเข้ามาในตำหนักด้านข้าง ก็เห็นสวีอีกับทังหยางเฝ้าอยู่จริงๆ ทั้งสองคนเห็นหยวนชิงหลิงกลับมา ทังหยางก็รีบถามขึ้นทันที “พระชายา ไท่ซ่างหวงอาการเป็นอย่างไรเพคะ?”
หยวนชิงหลิงเหลือบมองหยู่เหวินเห้าครั้งหนึ่ง เขาเองก็ชำเลืองมองนางอยู่ ด้วยสายตาที่มีคำถามเหมือนกัน
“เจอวิธีรักษาแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบ
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบ่าและศีรษะคลายลงมาทันที
ตำหนักนี้ไม่ควรจะพูดอะไรมาก ทุกคนต่างพากันตอบรับ แล้วไม่พูดต่อ
หยวนชิงหลิงหันไปพูดกับสวีอีและทังหยาง “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะดูแผลให้ท่านอ๋อง”
หยู่เหวินเห้าเบิกตากว้างแล้วหันไปมองนางทันที “แผลไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่จำเป็นต้องดูหรอก”
“ต้องดู!” หยวนชิงหลิงพูดเสียงสนใจ
ทังหยางลากสวีอีออกไปทันที แล้วพูดขึ้น “หม่อมฉันอยู่ด้านนอก ท่านอ๋องเป็นอะไรก็ร้องเรียกนะเพคะ”
สีหน้าของหยู่เหวินเห้าฉุนขึ้นมาทันที เขาจะร้องอะไรล่ะ?เขาไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย
ทางด้านนั้น หยวนชิงหลิงเปิดกล่องยาล้างแผลรอเขาเรียบร้อย และเตรียมน้ำเกลือห้อยไว้เพื่อลดความเจ็บปวดจากเข็ม สำหรับการเข้าน้ำเกลือ หยู่เหวินเห้ารู้สึกไม่ชอบเลยจริงๆ ที่เห็นอะไรไม่รู้ไหลเข้าไปในร่างกายตัวเอง น่าสยดสยองมาก
แต่ที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือสายตาที่ดูอึมครึมของหยวนชิงหลิง และก็พลางได้ยินนางพูดขึ้น “อ้าขาออก!”
ในตำหนักมีเสียงพูดขึ้นของหยวนชิงหลิงอย่างน่ากลัว
ที่จริงหยวนชิงหลิงแค่อยากจะสั่งสอนหยู่เหวินเห้า ว่าในสถานการณ์ที่ตัวเองอ่อนแอและไม่สามารถทำอะไรได้นั้น ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าขัดขืน และให้เชื่อฟัง แบบนี้ถึงจะทำให้ตัวเองเจ็บตัวน้อยลง
รอยแผลไม่ได้เป็นปัญหามาก ทำความสะอาดนิดหน่อยก็หายแล้ว
หยวนชิงหลิงอ่อนล้ามาก จึงพูดขึ้น “ขยับเข้าไปด้านในหน่อย ให้ข้าได้นอนสบายขึ้น”
“ขยับไม่ได้” หยู่เหวินห้าวพูดขึ้นอย่างไม่ประสบอารมณ์ แต่พอเห็นสีหน้าอิดโรยของนาง เขาจึงค่อยๆ ขยับเข้าไป เพื่อให้มีที่ว่าง
หยวนชิงหลิงนอนลงข้างๆ เขา แล้วยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผาก พลางพูดขึ้นด้วยความเหนื่อย “หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ให้ข้าได้อยู่เงียบๆ สักสองสามวัน”
“ถ้าหากไท่ซ่างหวงไม่เป็นอะไร งั้นเจ้าก็ขอให้ฝ่าบาทสั่งให้กับจวนเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
“เสวยอาหารเย็นเสร็จก็กลับ” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
เขาถามขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “ที่จวนไม่มีอาหารให้เสวยหรือไง?อาหารที่วังมันมีอะไรอร่อย?”
“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าไปเสวยอาหารเย็นวันนี้ด้วย” หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าชะงักไปชั่วขณะ “เสด็จพ่อรับสั่งให้เจ้าอยู่เสวยอาหารด้วยงั้นหรือ?คงจะแค่ให้เสวยแล้วค่อยกลับน่ะ?”
เสด็จพ่อชอบกินข้าวคนเดียว ขนาดตอนไปหาฮองเฮากับสนม ก็จะเสวยเสร็จก่อนไปทุกครั้ง
และเขาที่โตมาขนาดนี้ นอกจากงานเลี้ยงในราชวังแล้ว ก็ไม่เคยได้เสวยอาหารร่วมกับเสด็จพ่อเลย
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยท่าทางมึนงง “ไม่รู้เหมือนกัน พระองค์ตรัสแบบนี้ อาจเป็นเพราะเกรงใจ”
หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกว่าเสด็จพ่อไม่เคยรู้สึกเกรงใจใคร สำหรับพระองค์แล้ว การเชิญให้อยู่เสวยอาหารด้วยถือเป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญ
และยิ่งตั้งแต่เสด็จพ่อขึ้นครองราชย์ คนที่เคยนั่งเสวยอาหารกับพระองค์ก็คงจะมีแค่เสด็จปู่เท่านั้น
“เสวยอาหารกับฝ่าบาทต้องระวังอะไร?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
หยู่เหวินเห้าดูกังวลทันที “ใครจะรู้?”
หยวนชิงหลิงค่อยๆ ผงกศีรษะขึ้น “ท่านไม่รู้หรือ?”
นางคิดว่าเขาไม่ยอมบอก จึงพูดประชดขึ้น “ถ้าข้าเสียหน้า ก็จะอับอายมาถึงจวนอ๋องฉู่ของท่านด้วย”
หยู่เหวินเห้านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้น “ข้าไม่เคยนั่งโต๊ะเสวยอาหารร่วมกับเสด็จพ่อสองคนเลย”
หยวนชิงหลิงหัวเราะออกมา “เชื้อพระวงศ์ตั้งมากมาย ไม่มีทางได้นั่งเสวยกันสองคนหรอก ข้าเองก็ไม่มีทางเสวยกับฝ่าบาทแค่สองคน”
“ถ้าไม่ใช่เจ้ากับเสด็จพ่อสองคน?แล้วจะมีใครอีก?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ไม่รู้สิ ปกติพระองค์เสวยอาหารกับใครล่ะ ?” หยวนชิงหลิงชะเง้อมองเขาด้วยสีหน้าจริงจังทันที “คงไม่ใช่มีแค่ข้ากับฝ่าบาทจริงๆ หรอกนะ?”
หยู้เหวินเห้าพูดขึ้น “เสด็จพ่อไม่เสวยอาหารร่วมกับคนอื่น”
หยวนชิงหลิงตกใจทันที “งั้นปกติฝ่าบาทก็เสวยอาหารคนเดียวงั้นหรือ?”
“ใช่!”
“ทำไมล่ะ?” หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจเลยจริงๆ สนมในราชวังมีตั้งมากมาย และเหล่าองค์ชาย องค์หญิงก็สามารถเสวยด้วยกันได้ ทำไมถึงต้องไปนั่งเสวยอาหารลำพังคนเดียวด้วย?
หยู่เหวินเห้าไม่พูดอะไร เพียงแค่หันไปมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเสด็จพ่อถึงอยากเสวยอาหารกับนางเพียงลำพัง และยิ่งไม่เข้าว่าคนที่ชอบเสวยคนเดียวอย่างพระองค์ ทำไมอยู่ดีๆ วันนี้ถึงอยากเสวยอาหารกับนาง
หยวนชิงหลิงเอาศีรษะวางลงหมอน เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น นางไม่ได้อยากเสวยอาหารร่วมกับฝ่าบาทเลยสักนิด
“เจ้าไม่ต้องกลัว เสด็จพ่อไม่กินเจ้าหรอกนะ”
หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้นอย่างไม่ประสบอารมณ์ “ข้าไม่ได้กลัวซะหน่อย เพียงแค่ไม่ชินกับการเสวยอาหารสองคนตามลำพัง มันรู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร”
“จะพูดอะไรได้?เสด็จพ่อถามอะไรเจ้าก็ตอบแค่นั้น ห้ามพูดอะไรออกไปทั้งนั้น” น้ำเสียงเขาฟังดูรำคาญมาก
หยวนชิงหลิงได้ยินน้ำเสียงเขาแล้ว ก็ไม่อยากจะพูดอะไรต่อ จึงหลับตาเพื่อพักผ่อน
อ๋องผู้นี้ก็รู้สึกผิดหวังอยู่ภายในใจ ที่เสด็จพ่ออยากจะเสวยอาหารกับนาง เพราะเขาคิดว่ามีสาเหตุเพียงอย่างเดียว คือต้องการจะรู้ความเคลื่อนไหวในจวนอ๋องฉู่จากนาง ดูแล้วเสด็จพ่อไม่เคยเชื่อใจเขาเลย
คนร้ายได้วางแผนเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ก็คงไม่สามารถจัดการได้ เขาไม่สามารถลบล้างความสงสัยในตัวเองได้