บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 480
เจ้าพระยาจิ้งได้ยิน ผิดหวังอย่างหนัก จึงเอ่ยอย่างโมโห “หยวนชิงหลิง ในสายตาเจ้ามีบิดาเช่นข้าหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงไม่ต้องการพูดกับเขา เห็นเขาโมโห ไม่เอ่ยถามอาการของท่านย่า เกรงว่าเขาเพราะโมโหจะเอ่ยคำด่าทอออกมา
เรื่องฆ่าคนขายบุตรสาวเขาล้วนลงมือทำได้ ด่าทอมารดาอาจทำได้เช่นกัน
ดังนั้นนางจึงหมุนกายจากไป
เจ้าพระยาจิ้งเอ่ยตะคอกนางอย่างเดือดดาล “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะไปหาบุตรเขยด้วยตนเอง”
หยวนชิงหลิงไม่หันศีรษะกลับไป แต่เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าจะบอกเขา ให้หลบท่านไปให้ไกล พวกเราไม่กล้าล่วงเกินท่าน”
เจ้าพระยาจิ้งได้ยินคำนี้ นึกถึงตนพยายามทุ่มเทสนับสนุนนางให้มาถึงตำแหน่งตอนนี้ แต่นางกลับไร้เยื่อใยอกตัญญู จึงโมโหสุดขีด อยากขว้างปาสิ่งของ แต่มิอาจทำได้เพราะตนไม่สามารถชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ได้ จึงเพียงจากไปอย่างไม่พอใจ
หยวนชิงหลิงกลับมาถึงห้อง โมโหจนปวดท้อง แต่กังวลเรื่องท่านย่าเช่นกัน จึงเรียกหมันเอ๋อเชิญหมอหลวงเฉาไปที่จวนเจ้าพระยา ดูอาการของท่านย่า
หมอหลวงเฉากลับมาถึงตอนใกล้ค่ำ มารายงานแก่หยวนชิงหลิง “ฮูหยินใหญ่พอได้สติ แต่พูดไม่ได้ ร่างกายซีกซ้ายขยับไม่ได้ ข้าได้ฝังเข็มให้ท่านผู้อาวุโสแล้ว หวังว่าอาการจะดีขึ้น เพียงการฝังเข็มต้องใช้เวลาสักระยะ ระยะนี้ หวังว่าฮูหยินใหญ่จะไม่ได้รับความสะเทือนใจอีก”
“ท่านย่ายังอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
“พูดยากพ่ะย่ะค่ะ อาการยังไม่สู้ดี” หมอหลวงเฉากล่าว
หยวนชิงหลิงร้อนใจ อยากกลับไปสักครั้ง แต่แม่นมสี่เอ่ยเตือนว่า “ตอนนี้ฮูหยินใหญ่เจ็บป่วย ท่านกำลังอยู่ไฟ ร่างกายแฝงไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กลับไปอาจทำให้ธาตุไฟย้อนกลับ ถือเป็นข้อห้าม กลับไปไม่ได้เจ้าคะ”
หยวนชิงหลิงไม่งมงาย แต่หากเป็นข้อห้าม ยังต้องปฏิบัติตามธรรมเนียม นางจึงเพียงให้หมอหลวงเฉาไปฝังเข็มให้ฮูหยินใหญ่ทุกวัน และอาศัยอาการที่หมอหลวงเฉาเล่ามา สั่งยาไปจำนวนหนึ่ง และให้หมอหลวงเฉากำชับซุนมามาดูแลท่านย่า
แม่นมสี่ห่วงใยนางเป็นพิเศษ ขณะที่ตั้งครรภ์ผ่านมาอย่างยากลำบาก จนถึงตอนคลอดแทบเอาชีวิตไม่รอด หลังเห็นคลอดบุตรกับตา ควรสามารถดูแลร่างกายอย่างเงียบได้หลายเดือน คิดไม่ถึง บาดแผลนี้ยังไม่สมานตัว เรื่องราววุ่นวายมากมายก่ายกองประดังเข้ามา
หยวนชิงหลิงตอนนี้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว อย่ามัวแต่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เพราะเอาแต่คาดหวัง สุดท้ายจะไม่ปรากฏ
พระชายาจี้มารับยาด้วยตนเอง สีหน้านางดีขึ้นบางส่วน และนางยังเอ่ยถึงอ๋องจี้ “คนยังไม่ถูกปล่อยตัว แต่ไม่ได้ขังอยู่ในคุกฟ้าแล้ว ตอนนี้ถูกขังที่ทางเรือนสำนึกผิด ให้คนจับตาดู”
เรือนสำนึกผิดคือสถานที่ขังเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่กระทำผิดโดยเฉพาะ อยู่ในมุมลับตาของวังหลวง เป็นตำหนักขนาดเล็กแห่งหนึ่ง แต่มีกำแพงสูงหนา คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้
“ยังไม่ได้จัดการหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ย เพราะเวลาผ่านไปนานแล้ว
“คาดว่ายังต้องรอให้บุตรของเจ้าครบเดือนก่อน” พระชายาอ๋องจี้กล่าว
หยวนชิงหลิงนึกถึงพระชายารองตระกูลฉู่ผู้นั้นขึ้นมา จึงเอ่ยถามว่า “ฉู่หมิงหยางยังอยู่ที่บ้านของบิดามารดาตลอดหรือ?”
“กลับมาเก็บของแล้วจากไปแล้ว ตอนนี้ในจวนเงียบเหงายิ่งนัก” พระชายาอ๋องจี้กล่าว
หยวนชิงหลิงแปลกใจ “เก็บของ นางไม่คิดกลับมาแล้วหรือ?”
พระชายาอ๋องจี้เยาะเย้ยว่า “ตอนนี้รัชทายาทกำหนดแน่นอนแล้ว นางไม่เหลือความหวัง ย่อมไม่อยากกลับมา นางมีแผนกลับมาทำสิ่งใด จะอยู่อย่างสตรีไร้สามีหรือ?”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำนี้ อดหัวเราะไม่ได้ “ในสตรีมากมาย คนที่ยอมรับความจริงได้เช่นเจ้า มีเพียงไม่กี่คนจริง ๆ “
พระชายาจี้กลับไม่คิดว่ามีอันใด จึงเอ่ยว่า “ล้วนถูกบีบบังคับ ผู้ใดไม่อยากมีสามีค่อยเอาอกเอาใจ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเล่า แต่หากไม่มี เช่นนั้นไม่ควรฝืน ข้าผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ไม่เคยเสพสุขหรือ ตอนนี้ทั้งใจล้วนทำเพื่อบุตร สามารถทำสิ่งใดเพื่อนางได้ ข้าล้วนทำ นางมีความสุข ข้าก็วางใจ
หยวนชิงหลิงที่ได้กลายเป็นมารดาคนแล้ว เห็นพ้องกับประโยคนี้อย่างมาก
“จริงสิ” จู่ ๆ พระชายาจี้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงมองนางพร้อมเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ เสียนเฟยอาละวาดในวังหลวง รุนแรงยิ่งนัก”
“อาละวาดอันใด?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถึงเสียนเฟย นึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ได้ยินในห้องคลอด ในใจอดหนาวสั่นไม่ได้
พระชายาจี้เอ่ยว่า “จะอาละวาดสิ่งใดล่ะ เรื่องตำแหน่ง ตอนนี้เจ้าห้าเป็นรัชทายาท ตามที่พูดกันนางควรเป็นหวงกุ้ยเฟย แต่เสด็จพ่อกลับยืดตำแหน่งนี้ออกไปไม่มีกำหนด นางจึงไม่พอใจ ไม่กล้าโวยวายกับเสด็จพ่อ ไปร้องไห้ต่อหน้าไทเฮา เห็นไทเฮาถูกนางทำให้โมโหจนแทบเป็นลม ฮู่เฟยพูดกับนางไม่กี่ประโยค นางกลับตบตีฮู่เฟย คิดไม่ถึง ฮู่เฟยไม่ใช่พวกมากเรื่อง ตอบกลับไปทันที เข้าไปตบตีนางจนหกล้มลงบนพื้น ฟันหลุดหนึ่งซี่ ตอนนี้พูดจาล้วนมีอากาศเล็ดลอดออกมา”
หยวนชิงหลิงได้ยิน รู้สึกหมดคำพูด “เช่นนั้นสุดท้ายจบลงเช่นไร?”
พระชายาจี้หัวเราะขึ้นว่า “จะจบเช่นไรได้เล่า เสียนเฟยข่มเหงคนดี หวาดกลัวคนชั่ว คิดว่าฮู่เฟยเพียงเข้าวังมาน่ารังแกได้ง่าย เมื่อเห็นฮู่เฟยดุร้ายจนน่าตกใจขนาดนั้น นางไม่กล้าทำสิ่งใด เพียงร้องไห้ร้องเรียนต่อหน้าไทเฮายกหนึ่ง เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า ก่อนเอ่ยว่า “พวกสตรีในวังหลัง แม้ต่างคนต่างความคิด แต่หลายปีมานี้ล้วนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เกรงว่ายังไม่เกิดเรื่องนางสนมตบหน้ากันขึ้นสินะ เสด็จพ่อรู้เข้าไม่รู้จะทรงคิดเช่นไร?”
พระชายาจี้แอบมอง ก่อนเอ่ยเบา ๆ “ไม่รู้เช่นกัน”
ภายในใจพระชายาจี้สามารถคาดเดาออกได้หลายส่วน เสด็จพ่อตอนนี้โปรดปรานฮู่เฟย ไม่พอพระทัยเรื่องเสียนเฟยอาละวาดที่นอกห้องคลอด ต้องไม่เข้าข้างช่วยเหลือเสียนเฟยแน่
แน่นอน อาจไม่ช่วยฮู่เฟยเช่นกัน เพราะหากเข้าข้างฮู่เฟย นั่นเป็นการการสร้างศัตรูให้แก่ฮู่เฟย
แต่เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่นางใส่ใจ เมื่อได้ยินเรื่องสนุกเหล่านั้น รับฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้นพอ
ทางเจ้าพระยาจิ้งนั้น ไปพบหยู่เหวินเห้าจริง ๆ
หยู่เหวินเห้าระยะนี้ล้วนไปที่กั๋วจื่อเจียน (เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษากลางแห่งชาติที่ดีที่สุดในโบราณของจีน) เรียนรู้เรื่องหลักการปกครอง นี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้หมิงหยวนต้องการให้เขาไป ช่วงนี้เขาไม่ต้องทำหน้าที่ใดทั้งนั้น ทุ่มเทใจเรียนรู้หลักการปกครองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เจ้าพระยาจิ้งรู้เรื่องนี้ ไปที่กั๋วจื่อเจียนดักพบหยู่เหวินเห้า
วันนี้เพียงหยู่เหวินเห้าเดินออกมาจากกั๋วจื่อเจียน เข้าเดินเข้าไปทันที
หยู่เหวินเห้าจึงพาเขาขึ้นรถม้า เห็นเขามีสีหน้าหวาดกลัว แต่แววตาหนักแน่น รู้ว่ามีเรื่องขอร้อง จึงเอ่ยว่า “มีสิ่งใดพูดมาตรง ๆ เถิด”
เจ้าพระยาจิ้งเดิมทีรวบรวมความกล้ามา แต่เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาน่าเกรงขามนี้ของหยู่เหวินเห้า คำพูดติดอยู่ในริมฝีปาก ถูกกลืนกลับลงไป ไม่กล้าเอ่ยออกมา
หยู่เหวินเห้าไม่เร่งรัดเขา ปล่อยให้เขาพึมพำกับตนเอง จากนั้นเขาเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา “องค์รัชทายาท ข้าอยากมีเรื่องสอบถาม ท่านช่วยข้าทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมบางเรื่องได้หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่ามาเพื่อเรื่องนี้ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ข้าได้ยินว่าทางประตูเมืองนั้นยังขาดแคลนทหารเฝ้าประตูเมือง หากท่านยินยอมไป ข้าจะวิ่งเต้นช่วยเหลือให้กับท่าน”
ไหล่เจ้าพระยาจิ้งทรุดลงอย่างช้า ๆ ในใจโมโหแต่ไม่กล้าปลดปล่อยออกไป จึงเอ่ยอย่างหวาดกลัว “เช่นนั้นคงไม่รบกวนพระองค์”