บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 487
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “เห็นผีแล้ว หรือว่าราวกั้นหลวม?” เขาไปตรวจดู ก็ยังแข็งแรงราวกับหิน
หยวนชิงหลิงได้ยินประโยคที่เขาพูดว่าเห็นผี ก็คิดถึงคำพูดประโยคนั้นของเจ้าอาวาสขึ้นมา
การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
หากสมองของตนเอง มีความเปลี่ยนแปลงหลังจากฉีดยาไปแล้วจริง แฝดทั้งสามก็จะได้รับการถ่ายทอด
แต่ต่อให้ได้รับการถ่ายทอด อย่างมากที่สุด เซลล์สมองจะมีความกระตือรือร้นหรือมีมากกว่าคนอื่นๆบ้าง ฉลาดขึ้นและมีไอคิวค่อนข้างสูง
กับกล้ามเนื้อของร่างกาย สมรรถภาพทางกาย….เอาเถอะ การขยับทั้งร่างกายก็สามารถได้รับผลกระทบ
หัวสมอง เป็นศูนย์กลางการสั่งการของร่างกายมนุษย์ การพัฒนาของสมอง ส่งผลกระทบต่อทุกส่วนในร่างกายมนุษย์
“ทำไมหรือ?”หยู่เหวินเห้าเห็นสีหน้าหยวนชิงหลิงขาวซีด ถึงถามขึ้น
“ไม่มีอะไร” หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็แค่รู้สึกว่า ค่อนข้างไม่คาดคิด”
“ใช่ แต่ อาจจะค่อนข้างฉลาดกว่าเด็กทั่วไป แข็งแรงกว่า ยังไงก็เป็นเด็กที่คลอดภายใต้พระพุทธรูป ไม่ใช่ธรรมดา”หยู่เหวินเห้าพูด
หยวนชิงหลิงพร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่นางรอหยู่เหวินเห้าออกไปแล้ว ก็ได้ใช้ให้แม่นมอุ้มเด็กทั้งสามคนมาที่ห้องของนาง แล้วก็ห้ามใครเข้ามา
นางเริ่มตรวจดูเด็กทั้งสองคน
เลือดการเต้นของหัวใจ ต่างก็ไม่มีผิดปกติ
ไม่สามารถตรวจสแกนคลื่นสมองได้ ดูจากภายนอกเพียงอย่างเดียว ยากที่จะดูออกถึงความผิดปกติ
นางคิดถึงการรับสิ่งของในอากาศของเจ้าอาวาส ในใจก็ขนลุกขึ้นมาทันที นางไม่อยากให้ลูกแตกต่างจากเด็กคนอื่น
นางเริ่มค่อนข้างเสียใจที่ตนเองทำวิจัยเรื่องนี้ตั้งแต่แรก เพราะอะไรที่ตัวเองไม่ชอบ จงอย่าทำกับคนอื่น ตัวนางเองยังไม่ยอมที่จะกลายเป็นมีลักษณะพิเศษ แล้วจะทำการวิจัยยาแบบนี้ทำไม?
นางไม่วางใจอย่างมาก จึงให้คนไปเชิญเจ้าอาวาสมา
เจ้าอาวาสเหมือนรู้อยู่แล้วว่านางจะต้องมาถามเรื่องนี้ ยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้กับนาง หยวนชิงหลิงมองดู เป็นสูตรต่างๆ คุ้นเคยอย่างมาก และก็วุ่นวายอย่างมาก
“อยากรู้ว่าเด็กๆสืบทอดยีนกลายพันธุ์ของเจ้าหรือไม่ คำนวณดูก็รู้ เจ้าพลิกดูต่อไป ข้าเขียนไว้ค่อนข้างวุ่นวาย เจ้าอาจจะตามความคิดของข้าไม่ทัน”เจ้าอาวาสพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “แต่ เจ้าคำนวณได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้สถานการณ์ของข้า”
เจ้าอาวาสยิ้มพูดขึ้นว่า “คำนวณจากปริมาณที่เจ้าฉีด เซลล์ในสมองของเจ้า ตอนนี้ได้เข้าสู่สภาวะของการแบ่งแยกและการเกิดใหม่แล้ว”
หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้ พูดอะไรไม่ออกเนิ่นนาน
การแบ่งตัวและการสร้างเซลล์สมองใหม่? นี่เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ช่วงระยะตอนที่นางทำวิจัย ไม่มียาชนิดใดสามารถทำได้
นางค่อยๆพลิกดู ดูจนถึงบทสรุปด้านล่าง แล้วก็แข็งทื่อดังหุ่นไก่
เจ้าอาวาสพูดขึ้นว่า “เจ้าต้องยอมรับความจริงนี้ พวกเขามีการพัฒนามากกว่าสมองมนุษย์ทั่วไปประมาณ10% สำหรับ10% นี้ จะส่งผลอย่างไรต่อ IQ ของร่างกาย เจ้าคงน่าจะรู้ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูด ผู้อาวุโส ยอมรับผลของการวิจัยของตนเองเถอะ ยานี้สามารถเปลี่ยนแปลงยีนได้ ท่านประสบความสำเร็จอย่างมาก ควรที่จะดีใจ”
หยวนชิงหลิงฝืนยิ้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ ควรที่จะดีใจ”
นางคิดถึงตอนที่ตนเองเริ่มทำวิจัย แนะนำตัวในที่ประชุมว่า “เมื่อยาได้รับการพัฒนาสำเร็จ สามารถพัฒนาสมองได้อีกอย่างน้อย 10% และคลื่นสมองสามารถควบคุมสสารและเปลี่ยนสถานะของสสารได้ เปลี่ยนสนามแม่เหล็ก เหมือนกับระบบเหนี่ยวนำไร้กุญแจของรถยนต์…..”
เจ้าอาวาสเห็นนางมีท่าทีหนักอกหนักใจ จึงพูดปลอบขึ้นว่า “ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ก็เหมือนกับการที่เจ้าสามารถควบคุมกล่องยา ก็เป็นการถูกควบคุมโดยคลื่นสมอง อย่าคิดมาก สมัยนั้น นิยมพวกซูเปอร์ฮีโร่อย่างสไปเดอร์แมนแบทแมนไม่ใช่หรือ? ก็คิดเสียว่ายีนของพวกเขากลายเปลี่ยนเป็นเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ก็พอแล้ว”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่าประชดประชันว่า “ใช่ กอบกู้โลก”
เจ้าอาวาสพูดว่า “ผู้อาวุโส ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธผลการวิจัยของตนเอง หากสามารถควบคุมให้อยู่ในความเหมาะสมได้ ท่านจะมีส่วนร่วมในการทำคุณประโยชน์อย่างมากต่อมนุษยชาติ”
นักวิจัย ในใจมักจะเปี่ยมล้นไปด้วยความทะเยอทะยานเสมอ จะต้องเปลี่ยนแปลงโลกของตนเอง
นางเองก็มี
แต่ที่จริงหลังจากข้ามภพมาแล้ว นางก็พบว่าการวิจัยของตนเองไม่มีความจำเป็นเลย
มนุษย์ฉลาดอย่างมากแล้ว
ต่อให้ฉลาดกว่านี้อีก หรือมีความสามารถมากกว่านี้ ความทะเยอทะยานก็จะมีมากขึ้น ความกล้าก็จะยิ่งมากขึ้น ความสามารถเป็นการจำกัดความทะเยอทะยาน ความสามารถก็สามารถทำให้ความทะเยอทะยานมีมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่ส่งเจ้าอาวาสกลับไปแล้ว นางจ้องมองดูลูกทั้งสาม พร้อมพูดเตือนอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าฟังรู้เรื่องหรือฟังไม่รู้เรื่อง แต่ขอให้จำไว้ ซุกหางไว้ให้ดี อย่าแสดงพฤติกรรมผิดปกติใดๆออกมา”
ทั้งสามมองนางด้วยดวงตาสีเข้ม ปากจู๋ มือทั้งสองยกขึ้น ขยับร่างกายไปด้านข้าง แล้วก็ตดเสียงดังหนึ่งที
ซาลาเปาอ้าปากหัวเราะขึ้นมา
ทังหยวนแลดูจิตใจเลื่อนลอย
ข้าวเหนียวอึ้ง แล้วก็ร้องไห้ขึ้นมา
หยวนชิงหลิงมองดูพวกเขา ความอึดอัดแน่นภายในใจค่อยๆคลายลง มองดูพวกเขา ดูแล้วก็ไม่เหมือนกับคนมีพลังความสามารถวิเศษอะไร
ช่างเถอะ ต่อให้แปลกประหลาดอย่างไร ก็เป็นลูกชายของนาง ในเมื่อสามารถคลอดพวกเขาออกมาได้ เชื่อว่าก็จะสามารถควบคุมได้
หยวนชิงหลิงสั่งให้แม่นมค่อยดูแลให้ดี หากพบอะไรผิดปกติ ห้ามบอกใคร ต้องบอกนางเท่านั้น
แม่นมถามขึ้นอย่างรู้คุณว่า “พระชายารัชทายาท ท่านว่าเป็นพระพุทธเจ้าประทานพรอำนาจเหนือธรรมชาติหรือไม่? ยังไงพวกเขาก็คลอดในวันเกิดพระพุทธเจ้า และเป็นวันเซ่นไหว้ฟ้าสวรรค์”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ทางแม่นมยังไงก็จะต้องพูดโน้มน้าว เพราะแม่นมอยู่เลี้ยงพวกเขาทั้งคืนทั้งวัน เด็กๆมีความผิดปกติอย่างไร นางก็จะเห็นเป็นคนแรก
ดังนั้น นางพยักหัวอย่างหนักแน่น พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ผิด ข้าเคยถามเจ้าอาวาสวัดฮู่กว๋อแล้ว มีพระพุทธเจ้าประทานพรจริงๆ เรื่องนี้ห้ามบอกใครเด็ดขาด รู้ไหม? ไม่เช่นนั้นพระโพธิสัตว์จะไม่พอใจ”
แม่นมรีบพูดขึ้นว่า “ไม่กล้าพูด ไม่กล้าพูด”
เพราะเด็กเป็นเช่นนี้ หยวนชิงหลิงคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องบอกกับเจ้าห้าเรื่องของตนเอง
ไม่เช่นนั้น ต่อไปไม่รู้จะอธิบายยังไง
ดังนั้น นางก็ได้สั่งคนทำกับข้าวไว้อีก รอเขากลับมา
หยู่เหวินเห้าเห็นว่าสองวันได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดียิ่ง จึงถามขึ้นด้วยเสียงแหลมอย่างรู้ทันว่า “หยวน เจ้าแอบทำอะไรผิดหรือ?”
แววตาหยวนชิงหลิงอ่อนโยนอย่างมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นมาช่วยถอดเสื้อคลุมให้กับเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “อากาศดีไหม? ฝนตกหรือ? เปียกหมดเลย”
“ฝนตกเล็กน้อย ไม่เป็นไร นี่ก็เดือนห้าแล้ว อบอุ่นมากแล้ว เปียกก็ไม่เป็นไร” หยู่เหวินเห้าประคองนางนั่งลง มองนางด้วยสายตาคาดคั้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ช่วงสองวันนี้เป็นอะไร ทำไมต้องรอข้ากลับมาถึงค่อยทานข้าว ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าทานก่อน ข้าอาจจะไม่ได้กลับมาเร็ว”
“ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้หิวอะไรมากมาย ทานเวลานี้กำลังพอดี” หยวนชิงหลิงยิ้มพร้อมคีบกับข้าวให้กับเขา และพูดขึ้นว่า “มา ทานหน่อไม้ อ่อนนุ่มอย่างมาก ปกติไม่มีให้ทาน นี่ใต้เท้าทังใช้คนไปขุดมาจากในป่าด้วยตนเอง ทานหมดแล้วก็จะต้องรอหน่อไม้เดือนเก้าแล้ว”
“ข้าสงสัยจริงๆ เจ้าต้องกระทำเรื่องผิดแน่” หยู่เหวินเห้ากัดทานเข้าไปหนึ่งคำในทันที พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดมาเถอะ หากไม่ใช่เรื่องปีนกำแพงเพื่อลักพบกับผู้ชาย ข้าล้วนไม่ถือสา”
“พูดไปเรื่อย ข้าจะปีนกำแพงเพื่อลักพบกับผู้ชายได้อย่างไร?”หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมตีเขาหนึ่งที แต่ก็ดีอย่างอ่อนปวกเปียกมาก ดูก็รู้ว่าเป็นการกระทำอย่างเขินอาย เพื่อปกปิดความไม่สบายใจ
ดังนั้น หยู่เหวินเห้าจึงพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “พูดมาเถอะ ท่าทีของเจ้าเปิดเผยความในใจของเจ้าแล้ว”