บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 491
แม่นมฉีนำเด็กอ่อนที่เพิ่งคลอดออกมากลับไปยังจวนอ๋องฉู่ ส่งมอบให้ถึงมือหยวนชิงหลิง เอ่ยอย่างเกลียดชังว่า “ทั้งชีวิตของข้าน้อยยังไม่เคยพบเจอแม่ที่ใจดำเช่นนี้มาก่อน ตอนที่คลอดออกมานางบอกว่าจะอุ้ม หลังจากอุ้มไปให้นาง ปรากฏว่านางจับที่คอโดยตรงแล้วก็บีบไว้แน่น ถ้าหากไม่ใช่จวิ้นจู่จิ้งเหอที่เอาเก้าอี้ทุบนางจนสลบไป เกรงว่าจะไม่มีชีวิตแล้ว”
ตลอดทางที่แม่นมฉีเดินทางกลับมา ในใจยังคงสั่นเทา ตอนนั้นนางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คิดไม่ได้ว่าควรตีกู้จือให้สลบ ถ้าหากจวิ้นจู่จิ้งเหอเข้ามาช้าอีกสักหน่อย คาดว่าเด็กก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
หยวนชิงหลิงอุ้มเด็กคนนั้นเอาไว้ มองดูเด็กน้อยที่อยู่ในห่อผ้าราวกับลูกหนอน นางถอนหายใจเบาๆหนึ่งเสียง ช่างเป็นเด็กน้อยที่ชีวิตอาภัพเสียจริง
“จวิ้นจู่จิ้งเหอว่าอย่างไรบ้าง ”หยวนชิงหลิงถาม
“จวิ้นจู่บอกแค่ว่าให้ข้าน้อยอุ้มกลับมา ที่สำนักนางชีหมิงเยว่ไม่มีน้ำนมให้ดื่ม”แม่นมฉีพูด
แม่นมสี่กับอะซี่ก็เข้ามาแล้ว แม่นมสี่เกรงว่าหยวนชิงหลิงจะอุ้มจนเหนื่อย จึงได้รับไปอุ้มต่อ พอมองแล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา “ตัวเล็กมาก คลอดในระยะเวลาใกล้เคียงกับเหล่าท่านชายของพวกเรานี่นา”
“แม่นมฉี ในจวนมีน้ำนมที่สำรองเอาไว้ เจ้าอุ้มไปดื่มนมเถอะ”หยวนชิงหลิงมองอะซี่แวบหนึ่ง “ซี่ ให้คนไปที่จวนเจ้าพระยา เชิญท่านเจ้าพระยามาที่นี่”
อะซี่ออหนึ่งเสียง หมุนตัวออกไปทันที
แม่นมฉีรับคำสั่ง “ไม่รู้จะให้ใครตั้งชื่อให้ดี”
หยวนชิงหลิงดูแล้วถูกห่อเอาไว้เหมือนราวกับตัวหนอน จึงพูดว่า “เรียกฉองเอ๋อไปก่อนแล้วกัน วันหลังค่อยตั้งชื่อให้นาง”(ฉองเอ๋อหมายถึงหนอนน้อย)
ก่อนหน้านี้จวิ้นจู่จิ้งเหอเคยเปิดเผยว่าอาจจะรับเลี้ยงเด็กคนนี้ ถ้าหากนางจะรับเลี้ยง เช่นนั้นชื่อของเด็กก็ให้นางเป็นคนตั้ง
แต่ว่า ถ้าหากลูกคนนี้เป็นของหยวนปาหลงจริง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมควรที่จวิ้นจู่จิ้งเหอจะรับเลี้ยงดู หยวนปาหลงไม่ได้ตายไปแล้วซะหน่อย
ช่างน่าปวดหัวจริงๆ
หลังจากที่อะซี่กับแม่นมฉีออกไปแล้ว แม่นมสี่ก็พูดเบาๆว่า “จวิ้นจู่ ดูแล้วเหมือนท่านเจ้าพระยาหรือไม่”
แม่นมสี่รู้เรื่องนี้ ตอนนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้ปิดบังอะไรกับนางทั้งนั้น
เดิมทีหยวนชิงหลิงอยากจะบอกว่าเด็กตัวเล็ก ดวงตายังไม่ลืมขึ้น มองไม่ออก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังมีร่องรอยหลายส่วนที่พอจะดูออกได้ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น เหมือนกับหยวนปาหลงทุกประการ
ฉะนั้น หยวนชิงหลิงถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง พูดว่า “คล้ายกันมาก”
แม่นมสี่รู้สึกเศร้าใจมาก “นี่จะทำอย่างไรดี”
หยวนชิงหลิงนึกคนคนเหล่านั้นที่บ้านมารดา มีแต่ท่านย่าที่พอจะพึ่งพาอาศัยได้ แต่ตอนนี้ท่านย่าก็ล้มป่วย จะดูแลเด็กคนนี้ได้หรือ
โยนกลับไปให้จวนเจ้าพระยาจิ้ง ไม่เกินหนึ่งเดือนนางหวงกับนางโจวคงได้ทำเด็กตายแน่ๆ
ในใจของนางวุ่นวายยิ่งนัก พูดว่า “ให้อยู่ที่จวนอ๋องฉู่ไปก่อนแล้วกัน ถึงเวลาค่อยว่ากัน”
“แต่อย่างไรเสียก็ต้องบอกกับข้างนอกถึงที่มาของเด็กคนนี้ วันดีคืนดีก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนอย่างไร้สาเหตุ ข้างนอกต้องรู้สึกสงสัยแน่”แม่นมสี่รู้สึกว่านี่ต่างหากที่เป็นปัญหา
หยวนชิงหลิงย่อมรู้ดี ใช้ความคิดชั่วครู่ พูดขึ้นว่า “รอเจ้าห้ากลับมา แล้วปรึกษาเขาดู”
แม่นมสี่ถอนหายใจพูดว่า “เด็กคนนี้ก็ช่างน่าสงสารจริงๆ มีพ่อแม่เช่นนี้……”
พูดแล้ว ก็มองไปทางหยวนชิงหลิง “ขอโทษ ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้าพระยา……”
“จะว่าเขาไม่ได้เลยหรืออย่างไร”หยวนชิงหลิงเกิดความรู้สึกเกลียดขึ้นมา “เขาไม่ใช่คนดีอะไร เด็กคนนี้ไม่ว่าจะตกอยู่ในมือเขาหรืออยู่ในมือกู้จือก็มีค่าเท่ากัน ตอนที่ยังไม่คลอด ก็บอกแล้วว่าจะบีบคอนางให้ตาย”
“พูดเช่นนั้นก็จริง แต่ก็เห็นกับตาแล้ว ที่สุดก็เป็นลูกของตนเอง ไม่จำเป็นต้องใจร้ายใจดำขนาดนั้นก็ได้ ”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “เขาเคยปรานีข้า ปรานีน้องสาวข้าหรือไม่ เรื่องเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนั่นข้าเห็นจนชินตา คนเช่นนั้น เพื่ออนาคตของตัวเองเขาถึงกับกล้าผลักน้องสาวของตัวเองไปตาย อย่าพูดถึงคนนี้ที่ไม่เคยรู้จักคลุกคลีกันมาก่อนเลย สำหรับเขาแล้วก็แค่ลูกสาวที่ไม่รู้ที่มาอย่างชัดเจน ข้าไม่มีวันเชื่อเขา จะมอบฉองเอ๋อให้เขาไม่ได้ เด็กคนนี้พบเข้ากับพ่อแม่เช่นพวกเขาก็น่าสงสารพออยู่แล้ว ชีวิตนี้จะให้ทรมานอยู่ในมือพวกเขาอีกไม่ได้เป็นอันขาด”
หยวนชิงหลิงเพิ่งจะเป็นมารดา จึงได้รู้สึกรักและสงสารเด็กน้อยเป็นพิเศษ เด็กคนหนึ่ง กระดาษขาวหนึ่งแผ่น ถ้าหากจะมีความผิด ก็คงผิดที่เกิดมาเป็นลูกของพวกเขา
เด็กช่างน่าสงสารแค่ไหน หากสามารถเลือกได้ ไหนเลยจะเลือกเกิดเป็นลูกพวกเขา
ใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกเศร้าเสียใจมาก เพราะรอยแดงบนคอของเด็กคนนั้นยังไม่หายไป นางเพิ่งจะลืมตาดูโลก ที่รอต้อนรับนางอยู่คือความโหดเหี้ยมของแม่
แม่นมสี่ไม่รู้จะปลอบใจนางอย่างไร เพราะเรื่องนี้มันช่างน่าเศร้าใจจริงๆ ใครเห็นก็คงรู้สึกสงสาร
เจ้าพระยาจิ้งเดินคอตกศีรษะก้มต่ำมาแล้ว
หมันเอ๋อได้บอกกับเขาแล้วว่าได้อุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งกลับมาในจวน ฉะนั้นเขารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
เดิมทีคิดว่าจะไม่มาแล้ว แต่หมันเอ๋อพูดอย่างคลุมเครือว่า ถ้าหากไม่มา พระชายารัชทายาทไม่ได้ห้ามการใช้ความรุนแรง
คำพูดนี้ตอนที่หมันเอ๋อออกจากจวน อะซี่เป็นคนสอนไว้
การจัดการกับคนอันธพาลอย่างเจ้าพระยาจิ้ง อะซี่มีความรู้ไม่น้อย
เจ้าพระยาจิ้งก็รู้ว่าหยวนชิงหลิงในตอนนี้ไม่ใช่หยวนชิงหลิงคนก่อนแล้ว ที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ถ้าหากไม่ไปจริงๆ เกรงว่าจะมีการพาคนมาจับตัวเขาถึงจวน
เขาจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด
หยวนชิงหลิงใช้ให้คนพาเขาไปในห้องด้านข้างของตำหนักเซี่ยวเยว่โดยตรง
เจ้าพระยาจิ้งรออย่างใจตุ๊มๆต่อมๆอยู่ครู่เดียว ก็มองเห็นหยวนชิงหลิงที่เดินเข้ามาอย่างยับยั้งอารมณ์โกรธด้วยความแข็งใจ แต่ก็ยากจะเก็บสีหน้าโกรธเคืองเอาไว้ได้อยู่ดี
เจ้าพระยาจิ้งรู้สึกผิดในใจ ขี้ขลาด ไม่กล้าพูดจา ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างคอตกก้มหน้าต่ำ
ในใจของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความโกรธ เห็นสีหน้าท่าทีของเขาเช่นนี้ กลับเปลี่ยนเป็นความเศร้าไปทั้งใจ
นางก็คร้านจะด่าคน เกรงว่าคนที่ถูกด่าจะไม่ใส่ใจ แต่ตัวเองกลับเต็มไปด้วยพลังด้านลบ
หลังจากที่นางเข้าไปนั่งลงแล้ว มองเจ้าพระยาจิ้งและพูดตรงๆว่า “ลูกของกู้จือคลอดออกมาแล้ว ท่านดูซิว่าจะทำอย่างไร”
คอของเจ้าพระยาจิ้งยืดยาวขึ้น แล้วก็หดกลับไป แววตาไหววูบ “เรื่องนี้ ……ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย ถามข้าจะมีประโยชน์อะไร เจ้าไปหาพ่อของเด็กซิ”
“ก่อนที่กู้จือจะคลอดลูก ข้ายังมีความรู้สึกเคราะห์ดีอยู่บ้าง ตอนนี้ข้าได้เห็นหน้าเด็กแล้ว บอกว่าไม่ใช่ของท่าน ข้าก็ไม่เชื่อ ”หยวนชิงหลิงพูดอย่างโมโห
เจ้าพระยาจิ้งเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ทุกคนต่างก็มีสองตาสองรูจมูกสองหู ถ้าหากไม่ดูอย่างละเอียด ใครจะมองออกถึงความแตกต่างได้ เจ้าดูหมูสองตัว ถ้าหากไม่ได้เทียบจากรูปร่าง สามารถดูออกหรือไม่”
“ท่านเป็นหมูหรือ”เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดจะพูดจาดีๆ แต่ถูกเขาบีบบังคับจนไร้หนทางแล้ว ตำหนิเสียงต่ำว่า “ท่านเป็นคนอายุกี่สิบปีแล้ว มีความรับผิดชอบหน่อยได้หรือไม่ ชีวิตนี้ของท่านเคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรือไม่ ความดีความชอบที่บรรพบุรุษสั่งสมเอาไว้พอส่งต่อมาถึงมือท่าน ก็ถูกท่านทำลายไปเสียสิ้น สินสอดอันน้อยนิดของท่านย่า และของแม่ข้า รวมกับทรัพย์สินของบรรพบุรุษ เพื่ออนาคตในตำแหน่งขุนนางของท่าน ก็ล้วนถูกยกออกไปหมดแล้ว จนถึงตอนนี้เวลานี้ ท่านก็ยังคงไม่ได้มีความคิดที่จะสำนึกผิดแล้วแก้ตัวใหม่ ท่านจะทำให้ท่านย่าโมโหตายทั้งเป็นหรืออย่างไร ”
แม้ว่าตอนนี้เจ้าพระยาจิ้งจะตกอับ ไม่สามารถโงหัวขึ้นมาได้ต่อหน้าคนอื่น แต่ก็ไม่สามารถทนต่อการดูถูกเหยียดหยามของหยวนชิงหลิงเช่นนี้ได้ ทำคอแข็งและพูดว่า“นี่เจ้าพูดจาเช่นนี้กับใคร ในสายตาเจ้ายังมีความเคารพรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่อยู่หรือไม่ ข้าเป็นพ่อเจ้า เจ้าต้องเคารพให้เกียรติข้า”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างเศร้าใจว่า “ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเคารพให้เกียรติท่านได้ แต่ท่านไม่มีความเป็นพ่อเลยสักนิด ตระกูลเราต้องอับอายเพราะท่าน ลูกต้องลำบากเพราะท่าน เรื่องวันนี้ ท่านต้องรับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นข้ากับท่านก็ไม่จบไม่สิ้น”
เจ้าพระยาจิ้งได้ยินคำพูดนี้ มองนางอย่างเสียใจและโมโหอยู่แวบหนึ่ง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้เอาตั๋วเงินสองร้อยตำลึงออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้บนโต๊ะใช้มือค่อยๆรีดให้มันเรียบ “ข้าเหลืออยู่แค่นี้ เจ้าเอาตั๋วเงินนี้พร้อมกับสายเลือดชั่วช้านั้นส่งไปยังบ้านนอก หาคนอุปการะเลี้ยงดู เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้สามารถเลี้ยงดูให้เติบโตจนสิบกว่าขวบได้ หลังจากนั้นก็คงต้องปล่อยให้นางเติบโตตามยถากรรม”