บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 501
จวนอ๋องฉู่ในวันนี้ ช่างคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
แม้ว่าคนที่ในเวลาปกติไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับองค์ชายรัชทายาท แต่ในวันนี้ต่างก็มากันทั้งหมด
อ๋องอานสามีภรรยา เข้ามาพร้อมกับอ๋องซุนสามีภรรยา ของขวัญจากอ๋องซุนนั้นถูกส่งมาถึงนานแล้ว อ๋องอานเข้ามาพร้อมกล่องผ้าในมือ มายืนตรงหน้าหยู่เหวินเห้าพลางยิ้มระรื่น “น้องห้า นี่นับได้ว่าเป็นมงคลทั้งสี่มาถึงที่บ้านพร้อมกัน ถูกต้องหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้ายังไม่ทันได้พูดอะไร อ๋องซุนที่อยู่ข้างๆก็ถามขึ้นว่า “มงคลทั้งสี่มาจากที่ไหนอย่างนั้นรึ?”
อ๋อแงอานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่รอง แฝดสามก็ถือว่าเป็นมงคลสามประการ บวกกับน้องห้าได้รับแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท นับเป็นมงคลอีกหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้วไม่นับว่าเป็นมงคลทั้งสี่หรอกหรือ?”
อ๋องซุนถึงกับร้องอ๋อเสียงดัง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ที่จริงก็นับว่าใช่ แต่ก็ไม่นับว่ามากมายอะไร หากมีมงคลมากกว่านี้สักหลาย ๆ ประการถึงจะนับว่าดี”
อ๋องอานหัวเราะฮา ๆ เสียงดังสนั่น “ดูพี่รองพูดเข้าสิ ถ้ามาอีกก็คือมงคลที่ได้ขึ้นครองราชย์แล้วล่ะ พี่รองอย่าพูดจาทำร้ายน้องห้าเช่นนี้เลย เขาจะกล้าคิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ถ้าให้คนนอกมาได้ยิน จะไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรอกรึ?”
อ๋องซุนถูกทำให้งงงันไม่เข้าใจขึ้นมาดื้อ ๆ “ข้าพูดเมื่อไหร่กัน ว่าเขามีมงคลจากการขึ้นครองราชย์ ? เสด็จพ่อยังทรงอยู่ในบัลลังก์นะ คำพูดเช่นนี้ก็พูดออกมาได้อย่างนั้นรึ? น้องสี่ นี่เจ้าคิดจะทำร้ายน้องห้า หรือว่าต้องการทำร้ายพี่รองของเจ้ากันแน่?”
อ๋องอานถึงกับสีหน้าแข็งทื่อ
ปกติอ๋องซุนเป็นคนที่มีนิสัยอบอุ่นอ่อนโยน สิ่งเดียวที่เขาจะทุ่มเทให้อย่างบ้าคลั่ง คือเรื่องอาหารอันโอชะเท่านั้น เรื่องอื่นที่เหลือล้วนมองเป็นเรื่องธรรมดาหาได้สนใจไม่
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เวลาอ๋องอานพูดอะไรแบบนี้ออกมา อ๋องซุนอาจต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ ๆ กว่าจะเข้าใจได้ และหลังจากที่เขาเข้าใจได้ เขาก็จะไม่พูดอะไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นพี่รอง ย่อมต้องอดทนและให้อภัยน้องชายอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้ คำพูดของอ๋องอานเพิ่งจะหลุดจากปาก เขาก็สวนกลับไปแบบทันควัน ความคิดของเขาชัดเจนมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยเหตุนี้ ทำไมจะไม่ทำให้อ๋องอานรู้สึกแปลกใจล่ะ?
แต่หลังจากแปลกใจไปครู่สั้น ๆ อ๋องอานก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก คิดแค่อยากจะเดินเข้าไปข้างในเท่านั้น
แต่คาดไม่ถึงว่า ครั้งนี้อ๋องซุนกลับไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ มือข้างหนึ่งคว้าเข้าที่แขนเสื้อเขา “เจ้าสี่ พูดมาให้ชัด ๆ ซิ คำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามันหมายความว่าอย่างไร ? เจ้าคิดจะทำร้ายใครกันแน่ ? ที่นี่คนมากมาย หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เพื่อหลีกเลี่ยงว่าจะมีคำพูดอะไรผิด ๆ ถูกส่งผ่านไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อ เจ้าควรต้องชี้แจงออกมาให้ทุกคนเข้าใจชัดเจน”
อ๋องอานขมวดคิ้วมุ่น “พี่รอง น้องชายก็แค่พูดเล่นๆสนุกปากไปอย่างนั้นเอง ท่านจะคิดเป็นจริงเป็นจังไปทำไมกัน? แค่คำพูดล้อเล่น ท่านอย่าใส่ใจนักเลย”
อ๋องซุนกลับพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง: “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้สืบบัลลังก์ของเป่ยถังของข้า จะเอามาพูดเล่นได้อย่างไรกัน? น้องสี่เจ้าก็ไม่ใช่คนประเภทที่ไม่รู้จักขอบเขต ไม่รู้จักหนักเบา วันนี้เราได้มารวมกันในช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ บรรดาพระญาติราชวงศ์ บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมด การที่เจ้าพูดเช่นนี้ต้องมีนัยยะซ่อนเร้นแน่ อย่างไรก็ควรพูดออกมาให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจที่อาจคลาดเคลื่อน แล้วถูกคนเอาไปบิดเบือนในภายหลัง”
ครั้งนี้ไม่เพียงแค่อ๋องอานเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดใจ กระทั่งหยู่เหวินเห้าก็ยังรู้สึกประหลาดใจไปด้วยแล้ว
สมองของพี่รอง สดชื่นตื่นรู้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
อ๋องอานถูกตอแยจนหมดหนทาง จึงทำได้เพียงพูดเสียงเบาอย่างรู้สึกผิดว่า “พี่รอง ยกโทษให้น้องชายคนนี้สักครั้งเถิดนะ น้องชายพูดผิดไป จะขอตบปากตัวเองไถ่โทษ เช่นนี้ได้หรือไม่?”
อ๋องซุนมองเขา พลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังว่า: “ครั้งนี้ข้าจะถือเสียว่าแล้วกันไป แต่หากยังมีครั้งหน้าอีกล่ะก็ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ น้องสี่ คำพูดน่ะ จะพูดเล่นเป็นเรื่องขำขันไปเสียหมดไม่ได้ การพูดจาเหลวไหลในลักษณะนี้ มันถึงขั้นคร่าชีวิตคนได้เลยทีเดียว”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบคุณสำหรับคำสอนของพี่รอง น้องชายรู้สำนึกแล้ว” อ๋องอานหงุดหงิดในใจอย่างมาก แต่เขาไม่อาจแสดงความโกรธเคืองออกมาได้ จึงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับความผิดไปแต่โดยดี
หยู่เหวินเห้าพยายามพูดไกล่เกลี่ยว่า “ในเมื่อพี่สี่รู้ว่าตัวเองผิดแล้ว พี่รอง เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะนะ รีบไปกินบะหมี่กันดีกว่า”
พระชายาอ๋องอานก้าวขึ้นไปข้างหน้า ยิ้มแย้มพลางพูดว่า “น้องห้า นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มอบให้เป็นของขวัญอวยพรแก่เด็กๆ หวังว่าน้องห้าจะไม่รังเกียจ”
พูดพลาง นางก็หยิบกล่องผ้าที่อยู่ในมือของอ๋องอานขึ้นมา แล้วยื่นส่งไปให้หยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้ารับมา “ข้าจะรังเกียจได้อย่างไรกัน ขอบคุณพี่สะใภ้สี่”
เขาเปลี่ยนมือแล้วส่งไปให้สวีอีที่ยืนอยู่ข้างหลัง สำทับว่า “ส่งไปให้ถึงมือทังหยาง ให้เขาจดบันทึกเอาไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ!” สวีอีรับคำพลางหมุนตัวจากไป
หยู่เหวินเห้ามองอ๋องอาน แววตาอาบย้อมไปด้วยความเย็นชาหลายส่วน “พี่สี่ ขอบคุณสำหรับของขวัญที่เจ้าเตรียมไว้ให้เด็ก ๆ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างดีแน่นอน ขอพี่สี่อดใจรอหน่อย”
อ๋องอานยิ้มแย้มเต็มใบหน้า “เช่นนั้นพี่สี่จะอดใจรอนะ”
พระชายาอานหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง “ทำไมจู่ ๆ พวกเจ้าพี่น้องถึงได้เกรงอกเกรงใจกันขึ้นมาเสียแล้วล่ะ? ข้าจะไปดูพระชายาองค์ชายรัชทายาทเสียหน่อย นางเป็นผู้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงของตระกูลหยู่เหวินเรา”
อ๋องอานกับหยู่เหวินเห้ายืนประจันหน้าอยู่ตรงข้ามกัน ภายใต้ใบหน้าอันสงบนิ่งของพวกเขา คือไอสังหารที่ประทุดุเดือดราวกระแสน้ำวนอันเชี่ยวกราก
ตั้งแต่ต้นจนจบ อ๋องอานยังคงรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนและสง่างามเอาไว้บนใบหน้าได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
จนเมื่อมีแขกมา หยู่เหวินเห้าเดินออกไปทักทายต้อนรับ จึงค่อยเห็นว่ารอยยิ้มของเขาแข็งค้างอยู่บนริมฝีปาก แววตาก็เย็นชาไม่เป็นมิตร
บรรดาพระญาติราชวงศ์ที่โดยพื้นฐานแล้วควรจะมา ต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว
จวนอ๋องฉู่ดูคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าที่เคย เมื่อมองไปรอบ ๆ สวน ก็จะเห็นว่ามีแต่ผู้คนจนละลานตา ล้วนเป็นแขกผู้มีเกียรติเหล่าบรรดาชนชั้นสูงทั้งสิ้น
เมื่อถึงยามเซิน ( เวลาประมาณ 15.00 น. – 17.00 น. ) นับว่าสมควรแก่เวลาที่จะพาเด็ก ๆ ออกมาให้แขกเหรื่อได้พบหน้าค่าตาแล้ว แต่หลังจากผ่านไปนาน ก็ยังไม่ถูกพาออกมาพบหน้าแขก จึงเริ่มมีบางคนเปิดประเด็นถกกันขึ้นมา บ้างก็ว่ารัชทายาทดูแลคุ้มกันแฝดสามอย่างเคร่งครัดถึงเพียงนี้ ช่างให้ความสำคัญมากมายเสียจริง
เมื่อถึงปลายยามเซิน โสวฝู่ฉู่ก็มาถึง นี่ทำให้แขกทุกคนที่มาร่วมงาน ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นสนใจกันขึ้นมาไม่น้อย
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า โสวฝู่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่คึกคักรื่นเริงเช่นนี้มานานมากแล้ว
บุคคลสำคัญต่างมารวมตัวกันที่นี่ ทำให้บรรยากาศดูสูงส่งมีระดับอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้ากวาดสายตามองไปเร็ว ๆ ก็จะเห็นว่าบรรดาอ๋องชินล้วนมากันหมดแล้ว ขุนนางใหญ่น้อยไม่ว่าจะขั้นหนึ่งขั้นสอง ไม่ว่าจะมาด้วยความจริงใจหรือเสแสร้ง การมาในวันนี้ล้วนเป็นการมาแสดงความยินดีด้วยเท่านั้น หากใครไม่มานั่นแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาร้ายแอบแฝง ดังนั้น ไม่ว่าจะด้วยความคิดประการใดก็ตามแต่ วันนี้ไม่ว่าใคร ไม่มาไม่ได้ทั้งนั้น!
ในเวลานั้นอ๋องอานก็มองหยู่เหวินเห้าแล้วพูดว่า “น้องห้า ข้าได้ยินมาว่าลูกฝาแฝดทั้งสามคนของเจ้าหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ไม่สู้อุ้มออกมาให้ทุกคนให้ยลโฉมสักหน่อยได้หรือไม่?”
ทุกคนต่างก็อยากพบหน้าเด็ก ๆ มานานแล้ว วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองวันคล้ายพระราชสมภพของพระราชนัดดาทั้งสาม กระทั่งหน้าเด็ก ๆ ก็ยังไม่ได้เห็นด้วยซ้ำ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อีกทั้งครรภ์แฝดสามนั้นเป็นสิ่งที่หายากมากจริง ๆ เด็กน้อยสามคนที่มีหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ทำไมจะไม่ทำให้ทุกคนตาลุกวาวด้วยความสนใจได้ล่ะ?
ดังนั้น ทันทีที่อ๋องอานพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนต่างก็พากันสนับสนุนจนอื้ออึงว่า “ใช่แล้ว ฝ่าบาท ควรพาพวกพระราชนัดดาออกมาให้พวกเราได้เห็นหน้าค่าตาบ้างนะ”
“ใช่แล้ว ฝ่าบาท หม่อมฉันคาดหวังรอคอยที่จะได้พบหน้าพวกเขายิ่งนัก”
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของทุกคน หยู่เหวินเห้าก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาเถอะ พวกเขาได้หลับกลางวันกันไปพอสมควรแล้ว ก็สมควรจะอุ้มออกมาให้ทุกคนได้พบหน้าเสียหน่อย”
เขายกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้ทังหยางกลับไปเตรียมตัว
ทุกคนได้ยินว่าพระราชนัดดากำลังจะออกมา ต่างก็ตั้งตารอคอย มีคนหัวเราะพลางพูดว่า: “เมื่อครู่นี้ได้ยินอ๋องอานพูดว่า พวกพระราชนัดดาล้วนมีหน้าตาเหมือนกันหมดทุกกระเบียดนิ้ว นั่นเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์เสียจริง”
“มีอะไรน่ามหัศจรรย์กัน ? ฝาแฝดก็ยังดูเหมือนกันทุกกระเบียดได้ แฝดสามก็ต้องเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วสิ” มีคนหัวเราะพลางพูดติดตลก
“นั่นไม่ใช่ไม่เคยเห็นมาก่อนหรอกรึ ? นี่คือสิ่งที่หาดูได้ยากมากเชียวนะ”
“ถ้าเหมือนกันหมดทุกกระเบียดนิ้วจริง จะแยกแยะอย่างไรล่ะ? เราอาจจะจำผิดก็เป็นได้นะ?”
“จะต้องมีความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มองออกได้อย่างแน่นอน”
อ๋องอานแอบยิ้มในขณะที่ทุกคนพูด ไอเย็นชาในดวงตาที่วูบไหวคล้ายมีคล้ายไม่มี พลันเคลื่อนไปจับจ้องทางหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้าทำเพียงนั่งฟังเงียบ ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในดวงตากลับมีความกังวลแฝงอยู่
ท่าทีกังวลนี้ ล้วนตกอยู่ในสายตาของอ๋องอานทั้งหมด รอยยิ้มของอ๋องอานยิ่งกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เขาเข้าไปจนเกือบประชิดตัวหยู่เหวินเห้า พลางถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “น้องห้า พวกเขาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วจริง ๆ น่ะรึ?”
หยู่เหวินเห้าหันหน้าไปมองเขา “พี่สี่ ตอนพิธีการอาบน้ำครั้งที่สาม เจ้าก็ได้เห็นมาแล้วไม่ใช่รึ? เหมือนกันหรือไม่ เจ้าก็ลองบอกกับตัวเองสิ?”
อ๋องอานยังคงยิ้มระรื่น “ ตอนที่ได้เจอกันครั้งนั้น ดวงตาของเด็ก ๆ ยังไม่เปิดเลย ตอนนี้ย่อมพูดได้ไม่แน่ชัดแล้ว”
“เช่นนั้น พี่สี่ก็ควรดูให้ละเอียดถี่ถ้วนหน่อยแล้วล่ะ” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเย็นชา