บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 502
อ๋องอานยิ้มแย้มด้วยท่าทีสงบผ่อนคลาย “หลานชายของพวกเรา จะไม่ดูให้ละเอียดชัดเจนได้อย่างไรกันล่ะ?”
อันที่จริงอ๋องอานก็ไม่แน่ใจอะไรมากมายขนาดนั้น เขามาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นทหารจวนอ๋องฉู่ หรือทหารอารักขาออกเดินลาดตระเวนเลย หยู่เหวินเห้าก็อยู่ต้อนรับแขกตลอดเวลา ในจวนก็ไม่มีคนรับใช้คนไหนที่มีสีหน้าวิตกกังวลใจให้เห็น ดูแล้วไม่เหมือนว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ว่ากันตามจริง ตั้งแต่กลับมาจากบ้านเกิดก็เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว เด็ก ๆ ก็ควรอาบน้ำเสร็จ หน้าตาก็ต้องมองออกได้อย่างชัดเจน ย่อมต้องพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแน่นอน
แต่ทำไมอ๋องฉู่กลับดูสงบนิ่งได้ขนาดนั้น?
เขาแอบเดาเงียบ ๆ ว่า หรือบางทีเจ้าพระยาจิ้งตัวไร้ประโยชน์นั่นอาจทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จลุล่วงอย่างนั้นรึ?
แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนจะมาที่นี่ มีคนมารายงานว่าเจ้าพระยาจิ้งอุ้มพวกเด็ก ๆ ออกมาแล้วเรียกรถม้าตรงไปยังภูเขาซีซาน เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วอย่างแน่นอน
ในเมื่อเจ้าพระยาจิ้งทำได้สำเร็จ เช่นนั้นวันนี้หยู่เหวินเห้าก็ไม่ควรมีท่าทีที่สงบนิ่งได้ถึงขนาดนี้ ถ้าลูกสามคนที่อุ้มออกมา ดูแล้วหน้าตาไม่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วล่ะก็ เขาจะอธิบายกับทุกคนในที่นี้ว่าอย่างไรได้?
ความโกลาหลวุ่นวายที่จะเกิดตามมา เขาจะสามารถระงับมันได้ไหวหรือ?
ในขณะที่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เห็นทังหยางพาพวกแม่นมพี่เลี้ยงเดินอุ้มเด็ก ๆ ออกมา
เนื่องจากสภาพอากาศในเดือนพฤษภาคม เมื่อผ่านหลังเที่ยงไปแล้ว อากาศจะอบอุ่นขึ้นมาก ดังนั้นตอนที่อุ้มออกมา จึงไม่ได้ห่อด้วยผ้าห่อตัว แต่ให้สวมชุดเสื้อผ้าสีม่วงแดงและสวมหมวกแดงที่มีขอบดิ้นสีทอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่จำเป็นต้องเปิดผ้าห่อตัวแล้วมองช้า ๆ เพื่อดูใบหน้าเด็ก ๆ อีกต่อไป
เพียงแวบแรกที่มองไป ในหัวใจของอ๋องอานก็หนาวยะเยือกไปกว่าครึ่ง
เด็กทั้งสามคน หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปที่หยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้าเข้าไปอุ้มเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อย แล้วจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อย ทุกคนรู้สึกแค่ว่าพระองค์ทรงรักใคร่โอรสของตนมากจริง ๆ ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขายังไม่อาจสงบนิ่งลงได้ กระทั่งมือก็ยังมีอาการสั่นน้อย ๆ อีกด้วย
อ๋องอานโกรธจนแทบคลั่ง เจ้าพระยาจิ้งช่างเป็นตัวไร้ประโยชน์สิ้นดี กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ
หยู่เหวินเห้าไม่ได้มองอ๋องอาน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำหรับเรียกคะแนนจากทุกคน บัญชีแค้นระหว่างเขากับอ๋องอานรอหลังจากนี้ยังสามารถค่อย ๆ หาทางชำระสะสางได้ อีกทั้งวันนี้จะอย่างไร ก็ต้องมีคนมาเรียกชำระเอากับเขาแน่นอนอยู่แล้ว
โสวฝู่ฉู่เดินเข้าไป แล้วพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า: “ให้ข้าอุ้มหน่อย”
หยู่เหวินเห้าวางเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยลงในอ้อมแขนของโสวฝู่ฉู่ โสวฝู่ฉู่ก็แกว่งไกวเด็กน้อยไปมาเบา ๆ การเคลื่อนไหวของเขาดูคล่องแคล่วชำนาญอย่างมาก
อ๋องซุนที่ยืนมองอยู่ข้างๆหัวเราะพลางพูดว่า: “โสวฝู่ นี่ท่านยังถึงกับอุ้มเด็กเป็นด้วยรึ?”
โสวฝู่ฉู่หันไปมองอ๋องซุนอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เคยกินเนื้อหมู ก็ไม่เคยเห็นหมูวิ่งหรือไร?” (เป็นสุภาษิตจีนที่ใช้สื่อถึงคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในสิ่งนั้น ๆ โดยตรง แต่เคยได้ยิน ได้เห็น และเข้าใจอยู่บ้างเล็กน้อย)
“มันไม่เหมือนกันนะ การอุ้มเด็กน้อยนุ่มนิ่มเป็นก้อนแป้งเปียกเช่นนี้ ร่างกายทั้งนุ่มทั้งอ่อน กลัวทำตกจะแย่ ข้าคนหนึ่งล่ะที่ไม่กล้าอุ้ม ต่อให้อุ้มแล้วก็ไม่กล้าเปลี่ยนมือด้วย” อ๋องซุนพูด
โสวฝู่ฉู่สวนขึ้นทันควันว่า: “นี่มันยากตรงไหนกัน?”
ขณะที่เขาพูด เขาก็พลิกฝ่ามืออย่างคล่องแคล่วเพื่อรองรับแผ่นหลังของเจ้าข้าวเหนียวน้อย ขยับเลื่อนมือจากศีรษะเล็ก ๆ ไล่ลงไปตามหน้าอก ทันทีที่มือเชื่อมต่อกัน เขาก็ดันศอก เจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยก็ถูกส่งผ่านไปยังมืออีกข้างอย่างมั่นคง การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในรวดเดียว หากจะบอกว่าไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ใครก็เชื่อไม่ลงทั้งนั้น
ดังนั้น อ๋องซุนจึงพูดด้วยความประหลาดใจว่า: “โสวฝู่ ท่านเคยฝึกฝนมาก่อนใช่หรือไม่?”
โสวฝู่พูดอย่างเฉยเมยว่า: “อุ้มครั้งแรกต่างหาก”
หยู่เหวินเห้ายิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ไม่รู้ว่าใครกันแน่ ที่ช่วงนี้หมั่นมาหาแม่นมสี่บ่อย ๆ ปากก็อ้างว่ามาเยี่ยมเด็ก ๆ แล้วรวดขอให้แม่นมสี่สอนวิธีอุ้มเด็กให้เขาไปด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้าหยวนได้ยินพวกเขาคุยกัน โสวฝู่บอกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาไม่เคยมีโอกาสได้อุ้มลูกของตัวเองเลยสักครั้ง
เจ้าหยวนได้ยินประโยคนี้แล้ว ยังรู้สึกเศร้าไปพักใหญ่เลยทีเดียว
โสวฝู่เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาราชวงศ์ รวมทั้งผู้สืบทอดบัลลังก์มาทุกรุ่น แต่อย่างไรก็ตาม การอุ้มเด็กนี้ก็นับว่าเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะมากจริง ๆ คนเช่นเขาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์ก็ดี วิชาการศาสตร์ความรู้ก็ดี มักมีความชำนาญให้เห็นเด่นชัด แต่ในด้านนี้นับได้ว่าเป็นไปไม่ได้จริงๆ
โสวฝู่ก็สมแล้วที่ได้เป็นโสวฝู่ เขามีความเชี่ยวชาญในการทำเรื่องต่าง ๆ ได้ดีมากจริง ๆ
เนื่องจากเด็ก ๆ นั้นน่ารักมากจริง ๆ เมื่อได้เห็นโสวฝู่ฉู่อุ้มได้ดีมาก ๆ ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นอยากจะลองอุ้มให้เป็นมงคลกันสักคนละเล็กละน้อย
ด้วยเหตุนี้ ในห้องโถงใหญ่ขนาดใหญ่ จึงเหมือนเกิดการแข่งขันวิ่งผลัดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น คนนึงผลัดกันอุ้มเด็ก ๆ แล้วก็ส่งต่อไปให้อีกคนอย่างครึกครื้น
จะพูดไปก็นับว่าแปลก ปกติแล้วเด็ก ๆ มักไม่ค่อยชอบให้คนที่ไม่คุ้นเคยมาแตะต้องนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าก้อนข้าวเหนียวคนเล็ก จะมีนิสัยจู้จี้จุกจิกมาก หากเจอคนไม่คุ้นเคยจะร้องไห้ง่ายมาก แต่วันนี้ช่างไว้หน้าแก่ ๆ ดวงนี้ของพ่อจริง ๆ ถึงขั้นหัวเราะเอิ้กอ้ากหน้าบาน หน้าตาตอนหัวเราะนี้ ได้ใจคนไปแล้วมากมายเท่าไหร่กันหนอ?
เจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อย ถูกส่งผ่านไปจนถึงข้างตัวอ๋องอานแล้ว
คนที่ยื่นส่งมาให้คืออ๋องชินลุ่ย
อ๋องชินลุ่ยพิสมัยในการอุ้มเด็กน้อยมาก เขามีท่าทียากจะตัดใจปล่อยมือที่อุ้มอยู่ เมื่อเห็นว่าอ๋องอานไม่รับเด็กน้อยไป เขาก็พูดขึ้นว่า “หากเจ้าไม่อุ้ม เช่นนั้นข้าขออุ้มนานขึ้นอีกหน่อยเถอะนะ”
ทุกคนมองมาที่อ๋องอานเป็นตาเดียว วันนี้เป็นวันฉลองครบเดือน ในฐานะลุง หากไม่อุ้มสักหน่อยก็คงดูไม่ดีกระมัง?
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองดู อ๋องอานก็อุ้มเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยเข้ามาในอ้อมแขน
สายตาของหยู่เหวินเห้าเย็นเยียบลงทันที กล้ามเนื้อทั่วร่างเครียดเขม็ง จ้องไปที่อ๋องอานแบบตาไม่กระพริบ
ถึงแม้จะรู้ว่า เขาคงไม่กล้าทำอะไรกับเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ แต่เมื่อเด็กตกไปอยู่ในมือเขา ย่อมเกิดความกังวลไม่วางใจขึ้นมาอยู่ดี
นี่พูดไปก็ถือว่าแปลกเช่นกัน ทุกคนสามารถอุ้มได้หมดไม่มีปัญหา แต่เมื่อไปถึงมือของอ๋องอาน เจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยกลับเริ่มร้องไห้เสียงแหลมขึ้นมาทันที
เสียงร้องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจมาก เหมือนกับว่าจู่ ๆ ก็ได้รับแรงกระตุ้นบางอย่างที่น่าตกใจสุดขีด ทั้งเหมือนว่าจู่ ๆ ก็ได้รับความเจ็บปวดจากการถูกทุบตีแบบกะทันหัน ทันทีที่เสียงร้องนี้ดังขึ้น ล้วนทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด เหมือนกับมีอะไรบางอย่างลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วตกลงมาฟาดกระทบเข้าที่หัวใจของทุกคนอย่างรวดเร็ว
เป็นความไม่สบายใจอย่างมาก เป็นความไม่สบายใจที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด และความรู้สึกไม่สบายใจนี้ ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกรังเกียจอ๋องอานขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุผล
หยู่เหวินเห้าก้าวไปข้างหน้าทันที รีบอุ้มเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยกลับมาอย่างรวดเร็ว
เสียงร้องหยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกอย่างล้วนกลับสู่ความสงบ
ทุกคนต่างประหลาดใจ ถึงขั้นพูดว่าเด็กคนนี้ช่างรู้ความ ในอนาคตน่าจะเป็นคนที่พึ่งพาได้อย่างแน่นอน
นี่นับว่าเป็นคำชมโดยธรรมชาติ เด็ก ๆ ร้องไห้โยเย แต่เมื่อถึงมือพ่อตัวเองก็หยุดร้องไห้ นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องปกติหรอกหรือ?
สิ่งเดียวที่ผิดปกติคือ คนตั้งมากมายเท่าไหร่อุ้มกลับไม่ร้อง มีแค่อ๋องอานคนเดียวที่อุ้มแล้วร้อง
อันที่จริงหยู่เหวินเห้าก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน ย้อนนึกถึงคำที่เจ้าหยวนพูดไว้ว่า เด็ก ๆ จะมีความสามารถพิเศษในการรับรู้ถึงอันตรายจริง ๆ ก็เป็นไปได้?
หลังจากไปดูเด็ก ๆ แล้ว มู่หรูกงกงก็นำคนเข้ามา
เขาไม่ได้มาเพื่อร่วมงานเลี้ยง แต่ถือพระราชโองการมา เพื่อเรียกให้อ๋องอานเข้าวังต่างหาก
อ๋องอานถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาหันไปมองดูมู่หรูกงกงที่ทำสีหน้าจริงจัง คิดอยากฟังรายละเอียดเพิ่มเติมอีกสักหน่อย แต่มู่หรูกงกงก็ไม่หลุดคำพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว แค่เอ่ยเร่งเร้าให้เขาเข้าวังไปทันทีเท่านั้น
วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองครบเดือนของพระราชนัดดา ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันเฉลิมฉลองของทวยราชย์เช่นกัน แต่ในเวลาเช่นนี้กลับมีคำสั่งเรียกตัวอ๋องอานเข้าวังอย่างเร่งด่วน อ๋องอานมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหาร หรือจะเป็นไปได้ว่า…..
ทุกคนต่างพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ส่วนมากจะเดาไปในด้านที่ไม่ดีนัก โสวฝู่ฉู่กลับพูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า : “ทำไมถึงยังไม่กินบะหมี่กันอีกล่ะ ? ควรได้เวลากินบะหมี่แล้วสิ”
ทุกคนหันไปมองโสวฝู่ฉู่พร้อมกัน เขาดูสงบนิ่งและผ่อนคลายอย่างมาก ทั้งยังไม่ลืมคิดเรื่องจะกินบะหมี่ด้วยท่าทางราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย
ไม่อย่างนั้นแล้ว ครั้งนี้แม้แต่โสวฝู่ฉู่ก็อาจจะต้องเข้าวังไปด้วยอีกคนก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ งานเลี้ยงอันคึกคักรื่นเริงจึงดำเนินต่อไป
หยู่เหวินเห้าอุ้มเด็ก ๆ กลับไปที่ตำหนักเซี่ยวเยว่
เนื่องจากพวกเขากำลังไปกินบะหมี่ แล้ว ดังนั้น ญาติผู้หญิงทุกคนในตำหนักเซี่ยวเยว่จึงออกไปชั่วคราว หยู่เหวินเห้าอุ้มเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยเข้ามา หยวนชิงหลิงสาวเท้าเดินเข้ามาอุ้มเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยไปทันที หยู่เหวินเห้าจึงรวดกอดนางด้วย
หลังจากที่เจ้าข้าวเหนียวน้อยรอดพ้นจากอันตราย นายพลหลอเป็นคนพาตัวเข้าวังไปก่อน แล้วจึงค่อยส่งกลับมาให้เมื่อครู่ ดังนั้น หยวนชิงหลิงจึงยังไม่ได้เจอหน้าเจ้าข้าวเหนียวน้อยที่เพิ่งรอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิดนั่นเอง