บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 506
เมื่ออ๋องอานนึกถึงท่าทางของไท่ซ่างหวง ก็อดหนาวเยือกในใจไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ถูกเขาจ้องมองเขม็งนั่น ถึงกับรู้สึกว่าแผ่นหลังหนาวสะท้านเลยทีเดียว
เขาพูดว่า: “ท่านตา เสด็จปู่ไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับงานในราชสำนักมานานแล้ว ท่านว่าที่เขามาปรากฏตัวออกหน้าให้เจ้าห้าในครั้งนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับงานในราชสำนักอีก?”
ตี๋เว่ยหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็ไม่แน่ว่าสิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจะดูเหมือนไม่ได้มาข้องเกี่ยวกับเรื่องอะไรแล้ว แต่เขาชุบเลี้ยงองครักษ์ลับผี ทั้งยังใส่ใจทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายนอก แม้ว่าจะไม่ได้เข้ามาร่วมผสมโรงบ่อยนัก แต่เวลาที่เกิดเรื่องสำคัญ ๆ ขึ้นมา ก็น่าจะเป็นเขานี่แหล่ะที่ออกมารับมือ”
อ๋องอานอดกังวลใจไม่ได้ เสด็จพ่อมีภาระงานล้นมือในแต่ละวัน บางครั้งจะหลอกล่อให้เขาสับสนงงงันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
แต่ไท่ซ่างหวงกลับมีเวลาว่างเหลือเฟือ ทั้งมีกำลังคนในมือเพียงพอ หากมุ่งความสนใจไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง พระองค์ย่อมมีกำลังมากพอที่จะทำให้ใครคนนั้นตายแบบไม่เหลือซากได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในเบื้องลึกของหัวใจ ก็พลันบังเกิดความเย็นชาโหดเหี้ยมขึ้นมาสายหนึ่ง “ทำไมเขาถึงยังไม่ตายไปเสียทีนะ?”
ตี๋เว่ยหมิงเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที “เจ้า… ความหมายของเจ้าคือ?”
ความคิดนี้เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่เมื่อเห็นว่าท่านตาก็มีท่าทีที่สื่อความหมายออกมาแบบเดียวกัน อ๋องอานจึงค่อย ๆ รู้สึกขวัญกล้าขึ้นมาทีละน้อย ๆ “ท่านตา ท่านคิดว่ามันมีความเป็นไปได้หรือไม่?”
ตี๋เว่ยหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “อดทนไว้สักพักก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน นี่เป็นสิ่งที่เราจะใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องวัดดวงกัน ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังจนท้ายที่สุดแล้วเท่านั้น หากยังมีหนทางอื่น ก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยง หากเกิดเรื่องผิดพลาดเลวร้ายขึ้นมา จะกระทบกับหลายฝ่ายเป็นวงกว้าง ทั้งท่านแม่ของเจ้ า รวมไปถึงบรรดาจวนอ๋องอานทั้งหมด กระทั่งตระกูลตี๋ของข้า ก็จะต้องถูกลากเข้าไปติดร่างแหด้วยกันหมดอย่างแน่นอน”
“ขอรับ ทุกอย่างข้าล้วนฟังท่านตา” อ๋องอานรีบระงับความคิดนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว
กล่าวถึงทางด้านจวนอ๋องฉู่ ความอึกทึกครึกครื้นเริ่มค่อย ๆ สลายลงไปอย่างช้า ๆ แล้ว
ภายใต้การห้อมล้อมของผู้คนมากมาย หยู่เหวินเห้าสามารถรักษาสภาพการณ์ที่ไม่เมาเอาไว้ได้ แต่คนอื่น ๆ กลับมีจุดจบที่น่าอนาถมาก ยกตัวอย่างเช่นพี่ซูหลง ที่อาเจียนติดต่อกันไปแล้วสามสี่ครั้งต่อเนื่อง แม่ทัพหลู่หม่างเดินชนกำแพงไม่หยุด แม้กระทั่งผู้ที่วางตนเป็นผู้ดีมีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างเหลิ่งจิ้งเหยียน ก็ยังต้องให้คนถึงสองคนช่วยพยุงขึ้นรถม้าเลยทีเดียว
หยู่เหวินเห้า กับทังหยาง สวีอี ไปส่งผู้คนทั้งหลายที่มึนเมากันไม่น้อยที่หน้าประตูกลับไปทีละคน ๆ เมื่อเห็นบรรดาแขกเหรื่อเมากลับไปด้วยความปิติยินดี หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข
เขาไปถามหมอหลวงไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว หมอหลวงก็บอกว่าแผลของพระชายารัชทายาทสมานได้ดีขึ้นมากแล้ว หากคืนนี้ดำเนินการเรื่องสำคัญอย่างระมัดระวัง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนัก
ด้วยการประคองอันส่ายไหวโอนเอนไปมาของสวีอี เขาก็กลับไปถึงตำหนักเซี่ยวเยว่
ทันทีที่เข้าไปข้างใน เขารู้สึกว่าทั้งชีวิตของเขาพังทลายจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ
ในห้องนอน เครื่องเรือนทั้งหมดล้วนพลิกคว่ำ เสื้อผ้าทั้งหมดในตู้ ถูกโยนกระจายเกลื่อนเต็มพื้น ทั้งห้องเละเทะวุ่นวาย เด็กน้อยทั้งสามคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พากันร้องไห้กระจองอแงดังลั่น อาจเป็นเพราะถูกการเคลื่อนไหวของที่นี่ทำให้ตกใจ ได้ยินเสียงพี่เลี้ยงกล่อมอย่างสุดความสามารถ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล
หมันเอ๋อยกมือขึ้นกุมตาวิ่ง อาซี่ยกกระโปรงเผ่นแนบ แม่นมสี่กับแม่นมฉีรีบเร่งเก็บกวาดทำความสะอาดจ้าละหวั่น เมื่อเห็นว่าหยู่เหวินเห้ามาถึงแล้ว แม่นมสี่ก็ถอนหายใจเฮือก “ท่านอ๋องมาได้เสียทีนะเพคะ”
“พระชายาล่ะ” หยู่เหวินเห้าฝืนระงับความแตกตื่นในใจ แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ใช่บอกไปแล้วหรือว่าไม่อนุญาตให้นางดื่มเหล้าน่ะ?”
ความยุ่งเหยิงแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหยวนชิงหลิงดื่มเหล้าจนเมา ยังจะมีใครกล้าพังห้องจนเละเทะขนาดนี้ได้?
แม่นมสี่ถอนหายใจดังเฮ้อ ค้อมหลังลงแล้วพูดอย่างโศกเศร้าว่า “ไม่ได้อนุญาตให้นางดื่มหรอกเพคะ ตอนที่ทุกคนคารวะสุรากัน นางก็ดื่มแต่น้ำเปล่า ใครจะรู้ว่ากลับโดนพระชายาจี้มองออก เลยเทเหล้าจริง ๆ ให้นางไปแก้วหนึ่ง นางดื่มไปหนึ่ง ก็ยังมีตามมาอีกหนึ่ง สุดท้ายก็เลยมีสภาพเป็นเช่นนี้ไป จะห้ามก็ห้ามไม่ได้เสียแล้ว”
“คนล่ะ?” หยู่เหวินเห้าเดินวนไปรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบหยวนชิงหลิง จึงเดินออกมาถาม
แม่นมฉีชี้ไปที่ใต้เตียง แล้วพูดด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรงว่า “อยู่ในนั้นเพคะ ให้ตายก็ไม่ยอมออกมา เอาแต่พูดว่ากำลังวิจัยอะไรอยู่”
หยู่เหวินเห้าคุกเข่าลงแล้วมองเข้าไปข้างใน ก็ได้เห็นหยวนชิงหลิงนอนอยู่ใต้เตียงจริง ๆ โดยที่หัวอยู่ข้างใน เท้าทั้งสองข้างกางแผ่หราออกมาข้างนอก เขาโกรธแทบตายแล้ว คว่ำตัวลงแล้วยื่นมือออกไปดึงตัวนาง กลับคิดไม่ถึงว่าเท้าข้างหนึ่ง จะพลันดีดผึงขึ้นมาทักทายใบหน้าของเขาเต็ม ๆ เรี่ยวแรงของคนที่กินเหล้าจนเมาแอ๋ ไม่ได้ถึงกับหนักแต่ก็ไม่เบา แรงถีบนี้ไม่ได้ถึงกับทำให้เขาน้ำตาร่วงลงมาได้
“หยวนชิงหลิง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” หยู่เหวินเห้าโกรธจนเดือดปุด ๆ แล้ว ไม่สนใจว่าตัวเองจะถูกถีบอีกครั้ง ใช้มือทั้งสองข้างช่วยกันลากตัวนางออกมา ซึ่งก็ถือได้ว่าสุดท้ายแล้วก็สามารถลากนางออกมาได้สำเร็จ
แม่นมสี่รีบพูดขึ้นว่า: “อั้ยยา ในที่สุดก็ออกมาได้เสียที รัชทายาท เช่นนั้นท่านโปรดดูแลอาบน้ำอาบท่าให้พระชายาด้วยเถิดเพคะ ไม่รู้ว่าถูกเหล้าหกใส่ตัวไปกี่แก้วต่อกี่แก้วแล้ว”
หยู่เหวินเห้ามองดูเสื้อผ้าของนาง มีกลิ่นเหล้าลอยคลุ้งไปหมด อันที่จริงเรียกว่ามันเปียกชื้นเลยก็ว่าได้ ใบหน้าทั้งแดงก่ำทั้งดำปี๋ ที่แดงก็เป็นเพราะดื่มเหล้าจนเมา ส่วนที่ดำก็เพราะเอาหน้าไปถูกับฝุ่นผงเขม่าดำจากใต้เตียง ดูกระเซอะกระเซิงราวขี้เมาที่ถูกโยนทิ้งไว้บนถนนก็ไม่ปาน หยู่เหวินเห้าโกรธมากจนพูดติด ๆ ขัด ๆ เลยทีเดียว “นี่นางดื่มเหล้าหรืออาบเหล้ากันแน่?”
แม่นมสี่บ่นขึ้นว่า “พอนางดื่มอย่างมีความสุขเต็มที่ ก็ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบเก้าอี้ มือข้างหนึ่งก็ยกเหล้าไหหนึ่งขึ้นกรอกปากตัวเองไปตรง ๆ แต่ดื่มเข้าไปได้ไม่กี่อึกหรอกเพคะ ส่วนมากคือหกใส่หน้าใส่ตัวหมด แทบจะทำตัวเองสำลักตายอยู่แล้ว”
หยู่เหวินเห้าจินตนาการฉากนั้นตามทันที ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้หัวใจแทบจะหยุดเต้นจริง ๆ เขารอคืนนี้มาเนิ่นนานขนาดไหน ? นี่นางรู้หรือไม่ ? หรือว่านางจงใจกันแน่?
“เฮ้อ! ชื่อเสียงอันดีงามของพระชายารัชทายาท คงถูกทำลายจนป่นปี้ในคืนนี้แน่แล้ว วันนี้มีทั้งบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทั้งฮูหยินตราตั้งมากมายแท้ ๆ พรุ่งนี้ดีไม่ดีคงจะมีข่าวลือมากมายตามตรอกซอกซอย จนถึงถนนหนทางน้อยใหญ่แพร่สะพัดออกไปเป็นแน่” แม่นมฉีโอดครวญ
หยู่เหวินเห้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขามองหยวนชิงหลิงที่กำลังหลับเป็นตาย โทสะพวยพุ่งจนนิ้วมือชาหนึบไปหมด แล้วคืนนี้เขาจะทำอย่างไรล่ะ? เขาเตรียมตัวเอาไว้นานมาก แต่กลับต้องมาเจอกับคนที่มีสภาพเหมือนหมูตายเช่นนี้เข้าเสียได้
“เรียกหมอหลวงมา!” หยู่เหวินเห้าคำราม “ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ ต้องปลุกพระชายาให้ตื่นขึ้นมาให้ได้”
คืนนี้หมอหลวงเฉาก็เมาไปกว่าครึ่งแล้วเช่นกัน เขาเป็นคนที่รู้จักรักษาสุขภาพมากคนหนึ่ง จึงไม่ค่อยดื่มจนเมา แต่เพราะคืนนี้เขามีความสุขมากจริง ๆ เลยเผลอดื่มมากเกินไปหน่อย
เมื่อได้ยินว่ารัชทายาทมีคำสั่งเรียกตัวอย่างเร่งด่วน บอกเพียงว่าพระชายาเกิดเรื่อง เขาก็รีบแบกกล่องยามาตรวจอาการทันที
เมื่อเห็นพระชายารัชทายาทมีสภาพเช่นนี้ เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ”
“กินเหล้าเมา!” แม่นมฉีพูด
หยู่เหวินเห้าคว้าคอเสื้อของหมอหลวงเฉาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีไหน ทำอย่างไรก็ได้ให้นางไม่เมาอีก”
หมอหลวงเฉาย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าเขาจะทำอะไร แต่ดื่มจนเมาขนาดนี้ จะทำให้ตื่นได้อย่างไรล่ะ? จึงแนะนำออกไปด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า: “ท่านอ๋อง แท้ที่จริงแล้วเรื่องที่ท่านอยากจะทำนั้น ไม่ว่าจะเมาหรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรกับท่านนักหรอก”
หยู่เหวินเห้าโกรธจนขนทั้งตัวลุกชี้ชันแล้ว “เจ้าจะบอกว่า ให้ข้าที่อดทนรอคอยมาเป็นเวลาเกือบปี เพื่อจะได้นอนกับคนที่หลับเป็นตายไม่ได้สติคนนึงอย่างนี้น่ะรึ?”
แม่นมฉีกับแม่นมสี่รีบสาวเท้าก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว หัวข้อนี้ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุจริง ๆ
หมอหลวงเฉาเองก็รู้สึกว่าท่านอ๋องน่ารันทดไปหน่อยจริง ๆ จึงรีบออกไปหาแม่นมสี่ที่ด้านนอกแล้วตะโกนว่า “ต้มน้ำแกงสร่างเมามาก่อนสักชามเถอะ”
จากนั้นก็พูดกับหยู่เหวินเห้าว่า : “หลังจากกรอกน้ำแกงสร่างเมาลงไปแล้ว ให้เช็ดตัวด้วยน้ำร้อน อย่าอาบน้ำ การอาบน้ำในขณะเมาเป็นสิ่งที่อันตรายมาก หากยังไม่ได้ผล ให้พาออกไปเดินเล่นสักสองสามรอบ เพื่อกระจายฤทธิ์เหล้าให้เจือจาง”
เรื่องมาจนถึงขั้นนี้ ก็ทำได้แค่วิธีนี้วิธีเดียวแล้ว
น้ำแกงสร่างเมาของแม่นมสี่ถูกต้มออกมานานแล้ว แต่เพราะนางเอาแต่ไปซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง เลยไม่สามารถบอกให้นางดื่มได้
หยู่เหวินเห้าโอบประคองนางไว้ ใช้มือทั้งสองข้างช่วยบีบที่คางบังคับให้ปากเปิดออก แล้วค่อย ป้อนน้ำแกงลงไปทีละคำเล็ก ๆ
หยวนชิงหลิงค่อย ๆ เปิดดวงตาที่สะลึมสะลือขึ้นมา มองหยู่เหวินเห้าตาปรือ จากนั้นก็ยิ้มแฉ่ง น้ำแกงสร่างเมาไหลหยดลงมาจากมุมปากของนาง ราวกับลำธารที่สวยงามสดใสสองสาย
“เจ้าหยวน” หยู่เหวินเห้าเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “ อย่าวุ่นวาย รีบดื่มลงไปเร็วเข้า จะได้มีสติแจ่มชัด”
“ข้าเวียนหัว…” หยวนชิงหลิงพึมพำแล้วหลับตา “แล้วยังรู้สึกอยากอาเจียนด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หมอหลวงเฉาก็รีบพูดด้วยความประหลาดใจว่า “อาเจียนออกมาก็ได้ แค่อาเจียนออกมา มันก็จะช่วยให้สติแจ่มชัดขึ้นกว่าครึ่งได้เลยทีเดียว”
หยวนชิงหลิงลืมตาช้า ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “อาเจียน… ไม่ออก อึดอัด…