บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 514
จิตใจของหยวนหย่งอี้สับสน ทั้งคืนแทบจะไม่ค่อยได้หลับ จนถึงฟ้าสางถึงจะหลับไปอย่างเลือนราง
แต่ว่า วันนี้รับปากแล้วต้องการออกไปเป็นเพื่อนท่านพี่หยวน ดังนั้น นางง่วงเป็นที่สุดก็ยังต้องตื่นเช้ามากๆ
อะฉ่ายเข้ามาปรนนิบัติ กล่าวด้วยความประหลาดใจ “วันนี้ท่านอ๋องตื่นเช้ามาก ตอนนี้ฝึกซ้อมวิทยายุทธอยู่ในลานเจ้าค่ะ”
หยวนหย่งอี้ได้ยินคำนี้ หัวเราะเสียงหนึ่ง “ดูว่าเขาจะยืนหยัดได้กี่วัน ยืนหยัดได้สามวันข้าจะถือว่าเขาชนะแล้ว”
กลับไม่ใช่ว่าประเมินเขาต่ำ เพียงแค่เขาไม่ใช่คนที่จะฝึกซ้อมวิทยายุทธ ทนความลำบากไม่ได้ อีกทั้งเหนื่อยไม่ได้ เรียกให้เขาอ่านหนังสือครู่หนึ่ง เขียนกลอนสองสามบท หรือวาดภาพภูเขาแม่น้ำสองสามภาพยังง่ายซะกว่า เรียกให้เขาฝึกซ้อมวิทยายุทธอย่างต่อเนื่อง คือการเอาชีวิตของเขา
หลังจากที่หยวนหย่งอี้เปลี่ยนชุดออกไปแล้ว เห็นอ๋องฉีกำลังฝึกหมัดอยู่ในลานดังคาด
ดูท่าทางเขาฝึกซ้อมได้ระยะหนึ่งแล้ว ทั้งร่างเปียกไปหมด เหงื่อก็ผุดออกมาบนหน้าหน้าผาก เปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์
เขาออกหมัดด้วยกำลังเยอะมาก ขณะที่ต่อยไปบนเสาไม้เสียงดึงปึกๆ หมัดและข้อต่อกระดูกล้วนบวมเล็กน้อยแล้ว แดงก่ำและฟกช้ำ เป็นการใช้แรงอย่างหนักจริงๆ
เห็นหยวนหย่งอี้ออกมา เขายิ้มให้กับหยวนหย่งอี้ เหงื่อไหลอยู่บนใบหน้าที่แดงก่ำ เผยฟันที่ขาวสะอาดออกมา มีเสน่ห์อย่างประหลาด
“ออกไป?” อ๋องฉีเก็บท่าทาง กล่าวถาม
“อืม ไปหาท่านพี่หยวนที่จวนอ๋องฉู่” หยวนหย่งอี้คิดถึงที่คุยกันเมื่อคืน บนใบหน้ามีความปลื้มปริ่มใจเล็กน้อย
“ได้ งั้นเจ้าระวังตัวหน่อย รีบกลับมา” หาได้ยากที่อ๋องฉีจะไม่กวนใจ
หยวนหย่งอี้ตอบรับเสียงหนึ่ง ดูนิ้วมือของเขา กล่าว “มือของท่านบวมแล้ว บันยะบันยังหน่อย”
อ๋องฉีแกว่งมือเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร ฝึกวิทยายุทธจะต้องลำบากสักหน่อย ไม่เจ็บ อีกทั้งหลังจากที่เหงื่อออกทั้งตัวแล้ว รู้สึกว่าทั้งคนสดชื่นปลอดโปร่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา”
หยวนหย่งอี้ยิ้มแล้วกล่าว “เช่นนั้นท่านก็ทำต่อ”
“ได้!” เขามองนาง “เจ้าไปก่อน ข้ามองดูเจ้าไป”
หยวนหย่งอี้จึงหมุนตัวไป เดินออกมาไม่กี่ก้าว หันกลับไปมองเขา กลับเห็นเขาเป่าลมที่หมัดอย่างแรง สีหน้าเจ็บปวด พบว่านางหันกลับไปมองเขา ก็รีบเอาลงอย่างรวดเร็ว ควงหมัดทำท่าทางจะชกต่อย
หยวนหย่งอี้เดินกลับมาแล้ว ยืนข้างกายเขา
เขาต่อยเสาไม้ กล่าวด้วยลมหายใจหอบ “ไปสิ ยังไม่ไปอีกหรือ? ไม่ต้องสนใจข้า ข้าต่อยอีกครู่หนึ่งค่อยกินอาหารเช้า”
“ฝึกซ้อมนานเท่าไหร่แล้ว?” หยวนหย่งอี้ถาม
“เพิ่งจะครึ่งชั่วยาม” หนุ่มรับใช้ข้างกายกล่าว
หยวนหย่งอี้ดึงข้อมือของเขาไว้ “กินอาหารเข้าก่อนค่อยฝึก ข้าไม่ไปที่ท่านพี่หยวนทางนั้นแล้ว วันนี้ฝึกวิทยายุทธเป็นเพื่อนท่าน”
อ๋องฉีกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ? เจ้ายอมฝึกเป็นเพื่อนข้า?”
“ใช่ ข้าก็ละเลยการฝึกวิทยายุทธมานานมากแล้ว ฝึกเป็นเพื่อนท่านพอดี หลังจากนี้จะฝึกวิทยายุทธเป็นเพื่อนท่านสองชั่วยามทุกวันตอนเช้า” หยวนหย่งอี้กล่าว
อ๋องฉีสะบัดมือทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ดี ชั่งดีมากๆ เจ้าอ้วน เจ้าดีจริงๆ”
เขาหันไปหยิบผ้าขนหนูในมือของหนุ่มรับใช้ เช็ดเหงื่อบนหน้า ในใจร้องไห้สองครั้ง น้ำตาไหลไปในจิตใจ ฝึกซ้อมสองชั่วยามทุกวัน? ไม่เอา ตอนนี้ครึ่งชั่วยามเขาก็แทบจะตายแล้ว
วันนี้หยวนชิงหลิงพาเฉินจิ่นหนิงและผู้หญิงผู้นั้นที่ชื่อว่าโม่ยี่ออกไปเดินเล่นซื้อของด้วยกัน
ขึ้นรถม้าแล้ว นางเพิ่งจะนึกได้ว่าหลังจากที่ตัวเองมาถึงที่นี่แล้ว ออกไปเดินเล่นซื้อของน้อยมากจริงๆ
วันนี้หยวนหย่งอี้ไม่มา เดิมทียังหวังให้นางเป็นผู้นำทาง
วันนี้อะซี่ไม่มา พาหยู่เหวินเห้าและแม่ทัพใหญ่เฉินจิ้งถิงไปเยี่ยมเยียนตระกูลหยวน อะซี่หายากที่จะได้พบแม่ทัพใหญ่เฉินจิ้งถิง ดังนั้นจึงตามกลับบ้านไปแล้ว
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า แม้จวิ้นจู่จะมีฐานะเป็นแม่ทัพ แต่ผู้หญิงโดยมากล้วนชอบเครื่องประดับ ดังนั้นจึงพานางและโม่ยี่ไปร้านเครื่องประดับ
เจ้าของร้านทักทายอย่างเป็นมิตรมาก เห็นสินค้าสวยๆงามๆละลานตา แสงทองอร่าม หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าเลือกอย่างไร จึงชำเลืองมองเฉินจิ่นหนิงแล้วกล่าว “จวิ้นจู่ดูว่ามีของอะไรที่ชอบหรือไม่?”
มองออก เฉินจิ่นหนิงก็ไม่เหมือนคนที่คุ้นชินกับการเดินเล่นในร้านค้า มองดูด้วยสายตาที่งงงันครู่หนึ่ง จึงเลือกกำไลอันหนึ่งได้
หยวนชิงหลิงออกเงินซื้อมา ยังต่อราคาอีกนิดหน่อย จากหนึ่งร้อยตำลึงต่อจนเหลือเก้าสิบห้าตำลึง แต่ว่า หลังจากที่จวิ้นจู่ออกไปกับเจ้าของร้านผู้นั้นครู่หนึ่ง เจ้าของร้านเก็บนางเพียงแค่ห้าสิบตำลึง นี่ชั่งแปลกจริงๆ
สำหรับประสบการณ์ตื้นๆของตัวเองนางรู้สึกเคอะเขินมาก ประจวบเหมาะกับเวลานี้ ได้ยินว่าโม่ยี่ผู้นั้นพูดกับเฉินจิ่นหนิงว่านางต่อรองราคาไม่เป็น การฟังของนางดีมาก คนอื่นกดเสียงต่ำพูดจา นางก็ล้วนได้ยินแล้ว ยิ่งรู้สึกเก้ๆกังๆแล้ว
ตลอดทางเดินเล่น ก็ได้ยินโม่ยี่บอกว่าต้องการไปดูเครื่องลายคราม อีกทั้งนางยังพึมพำเสียงเบาๆ “หลังจากที่ข้ากลับแคว้นต้าโจวแล้ว ก็ต้องกลับบ้านแล้ว ถ้าหากสามารถเอาเครื่องลายครามกลับไปได้สองสามชิ้น ข้าก็ร่ำรวยแล้ว ล้วนเป็นวัตถุโบราณ”
หยวนชิงหลิงสนใจต่อประโยคนี้เป็นพิเศษ มองนางด้วยความประหลาดใจสองสามครั้ง เพราะประโยคนี้ ความคิดผุดขึ้นในสมองอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งไม่มีกระจิตกระใจจะเดินเล่นไปตลอดทาง
ถึงร้านเครื่องลายคราม อันที่จริงก็ไม่ใช่สถานที่ขายเครื่องลายครามที่มีชื่อเสียงอะไร ก็คือร้านธรรมดาทั่วไปที่ประชาชนมาอุดหนุน แต่ก็มีสิ่งของที่เป็นงานฝีมือที่ละเอียดและงดงามอยู่บ้าง
หลังจากที่โม่ยี่เข้าไปแล้วก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เลือกถ้วยลายครามสองใบ มองดูลวดลายและสีที่เคลือบบนนั้นอย่างละเอียด “ของดี เป็นของดีจริงๆ”
“นี่ล้วนเต็มไปทั้งท้องถนน ทำไมถึงเป็นของดีแล้ว?” หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ขึ้นหน้าไปถามนาง
โม่ยี่ยิ้มอย่างลึกลับ “นี่พระชายารัชทายาทก็ไม่รู้แล้วเพคะ สิ่งของที่นี่ของพวกท่าน สำหรับข้าแล้วล้วนโด่งดังและล้ำค่าเพคะ”
“เหล่านี้ แคว้นต้าโจวก็มีนะ?” หยวนชิงหลิงกล่าว
โม่ยี่พยักหน้า “มีเพคะ แต่เครื่องลายครามที่ผลิตในแต่ละที่ล้วนไม่เหมือนกัน ของแคว้นต้าโจวข้าซื้อบ้างแล้ว เป่ยถังข้าก็ซื้อนิดหน่อยถึงจะได้เพคะ”
หยวนชิงหลิงมองดูใบหน้าที่ตื่นเต้นของนาง สงสัยเป็นอย่างมาก แต่ว่า ถามบุ่มบ่ามก็ไม่ดี
หลังจากที่พวกนางเดินดูเสร็จแล้ว จึงไปทานอาหาร
หยวนชิงหลิงแทบจะเก็บความคิดที่จะสนทนากับเฉินจิ่นหนิงไว้ไม่อยู่ มุ่งแต่จะจับตาดูโม่ยี่ไว้เพียงอย่างเดียว
ตอนเย็นย่ำพระอาทิตย์ตก พวกนางจึงได้เดินทางกลับจวน
เฉินจิ่นหนิงเป็นคนท้อง เดินเล่นทั้งวันก็เหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนแล้ว
หยวนชิงหลิงเห็นโม่ยี่ยังจัดทำเครื่องลายครามไม่กี่ชิ้นที่ซื้อมาวันนี้อยู่ในลาน จึงเข้าไปแล้วกล่าวว่า “หากว่าเจ้าชอบสิ่งเหล่านี้ ในจวนท่านอ๋องมีที่ประณีตอยู่มากมาย เจ้าต้องการไปดูหรือไม่?”
โม่ยี่เกรงใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ขอบพระทัยในความหวังดีของพระชายารัชทายาท สิ่งของในจวนท่านอ๋องล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ข้าหยิบไม่ได้เพคะ”
“ไม่เป็นไร เป็นเงินมูลค่าไม่เท่าไหร่ แต่……” หยวนชิงหลิงมองดูนาง ถามหยั่งเชิง “ที่ของพวกเจ้านั้น สิ่งของเหล่านี้มีมูลค่ามากเลยสินะ? เป็นวัตถุโบราณ”
โม่ยี่เงยหน้ามองดูนาง ในตาปรากฏความประหลาดใจออกมา “ท่าน……ทำไมท่านถึงได้คิดเช่นนี้เพคะ?”
หยวนชิงหลิงมองดูนาง “วันนี้เจ้าบอกว่า หลังจากกลับแคว้นต้าโจวแล้ว ก็ต้องกลับบ้านแล้ว บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ข้า……บ้านเกิดของข้าเป็นที่ที่ค่อนข้างห่างไกลเพคะ” โม่ยี่พูดติดอ่าง ในตาค่อนข้างตกตะลึง แต่ว่านึกถึงที่อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์เคยกำชับไว้ นางอยู่ในยุคนี้ พยายามอย่าบอกประวัติที่มาของนางกับผู้ใด
บนดวงตาของนางมีความหวัง “ปักกิ่ง? กว่างโจว? เซี่ยงไฮ้?”
โม่ยี่ล้มนั่งลงบนพื้น มองนางด้วยความประหลาดใจ “ท่าน…….”
หยวนชิงหลิงพยุงนางขึ้นช้าๆ นึกถึงทุกอย่างที่เจอในความฝัน หัวใจมีความรู้สึกปวดร้าวอย่างรวดเร็ว “เจ้าตามข้ามา ข้ามีคำพูดจะบอกกับเจ้า”
นางบอกว่านางสามารถกลับบ้านได้ ถ้าหากพวกนางอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน เช่นนั้นสามารถช่วยนางแจ้งข่าวคราวให้กับคนในครอบครัวรับรู้ได้หรือไม่?