บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 533
มือนางจูใหญ่ยังไม่ทันตบลงไป เงยหน้ามองดูหยวนชิงหลิง แววตาแฝงไปด้วยความร้ายกาจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ที่นางทะนงตัวล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา
ท่าทีแบบนี้ หายวับไปในทันที แววตาประชดประชันกลับมาแทนที่ พร้อมพูดขึ้นอย่างประชดประชันว่า “พระชายารัชทายาท หรือว่าข้าจะสั่งสอนบ่าวใช้ที่พูดจาไร้มารยาทไม่ได้เลยหรือ? เจ้าเห็นว่าจวนกั๋วกงเป็นสถานที่อะไร? เป็นแค่บ่าวใช้ก็กล้าร้องตะคอกเห่าใส่เจ้านายได้หรือ?”
หยวนชิงหลิงไม่พูดอะไร เดินไปดึงอะซี่ออกมาจากเขา จากนั้นมองดูนางจูใหญ่ นางจูใหญ่หัวเราะเยาะพร้อมพูดขึ้นว่า “ช่างเป็นพระชายารัชทายาทที่ยุติธรรมและชาญฉลาดจริงๆ กลับตามใจละเลยให้บ่าวใช้กระทำผิด บ่าวใช้ที่พูดจาโอหังหยาบคาย คุ้มกับที่พระชายารัชทายาทควรปกป้องขนาดนี้หรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ก่อนอื่น ข้าไม่ได้ปกป้องนาง ข้าปกป้องเจ้า ปากเจ้าร้ายกาจขนาดนี้ ด้วยนิสัยของอะซี่ จะต้องทำร้ายเจ้าจนฟันร่วงแน่ อย่างรอง อะซี่ไม่ใช่บ่าวใช้จวนอ๋องฉู่ของข้า นางเป็นคนของตระกูลหยวน เจ้าเป็นฮูหยินตราตั้งชั้นรอง ล่วงล้ำไม่ได้ แต่ตระกูลหยวนก็ใช่ว่าจะรังแกได้ง่ายๆ อีกอย่าง ที่อะซี่พูดเมื่อกี้ เจ้าเคยได้พูดจริงไหม? หากเจ้าพูดจริง อย่าว่าแต่เจ้าเป็นฮูหยินตราตั้งชั้นรอง เป็นชั้นหนึ่ง ข้าก็สามารถที่จะกำหนดโทษเจ้าได้ นินทาว่าร้ายข้าลับหลัง หมิ่นเมินในความหวังดีของข้า ข้ามาอย่างไม่ได้แต่งหน้า เจ้าว่าข้าหน้าตาไม่เรียบร้อย ผมเพ้ากระเซอะกระเซิง เหยียดหยาบดูถูกจวนจูกั๋วกงของเจ้า กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ใครกันที่ไม่เห็นหัวคน? หากเจ้าเคยพูดเช่นนี้จริง ฉีกปากของเจ้าให้ขาดยังน้อยไป”
พูดจบ นางหันตัวมองดูจูกั๋วกง พูดขึ้นด้วยแววตาโมโหว่า “ท่านกั๋วกง ลูกสาวของท่านกําเริบเสิบสาน เอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ(ใช้ความคิดเห็นที่เลวไปคาดเดาคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง) หากคนของจวนกั๋วกงเป็นเช่นนี้ งั้นข้ามาก็สูญเปล่า ขอลา”
จูกั๋วกงฟังอยู่ตลอด ตอนที่ยังไม่รู้สถานะของอะซี่ ก็รู้สึกว่าอะซี่ทำเกินไป ยังไงไม่ว่านางจูใหญ่พูดว่าอะไร นางก็เป็นฮูหยินตราตั้งชั้นรอง ถกเถียงฮูหยินตราตั้ง ถือว่าไม่มีมารยาทเลยสักนิด
แต่เมื่อรู้ว่าเป็นคนของตระกูลหยวน เขาก็เข้าใจแล้ว คนตระกูลหยวนถึงจะหยาบคาย แต่มีเพียงกฎของตระกูลหยวน พวกเขาเห็นว่ากฎก็คือสากลใช้ได้ทุกที่
และก็ได้ยินคำพูดไม่สมควรพวกนั้นของนางจูใหญ่ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้หยวนชิงหลิงก็จากทันทีเพราะคำพูดพวกนี้ เขาพูดรั้งหยวนชิงหลิงก่อน แล้วจ้องมองนางจูใหญ่อย่างดุเดือด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่เคยพูดคำพูดพวกนั้น?”
นางจูใหญ่กัดฟันพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ คำพูดนี้ถึงจะผิด แต่ก็ใช่ว่านางไม่มีความคิดเป็นอื่น ทำไมถึงใจดีมารักษาท่านแม่? และพี่ใหญ่ก็ไปเชิญนางแต่เช้าแล้ว นางกลับนอนพักเที่ยงไม่ตื่นมา ปล่อยให้ท่านแม่เจ็บปวดทรมาน แล้วก็มาอย่างไม่ได้แต่งหน้า แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตั้งใจมาเหยียดหยามจวนกั๋วกงเรา บ่งบอกว่าจวนกั๋วกงเราไม่คู่ควรแก่การให้เกียรติ ท่านจะเห็นแก่หน้านางทำไม? พระชายารัชทายาทแล้วยังไง? เมื่อวานนางมาของนางเอง เราไม่ได้ขอร้องนางมาเสียหน่อย”
สีหน้าจูกั๋วกงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กลับถูกอะซี่แย่งพูดก่อนว่า “นอนพักกลางวันไม่ตื่น? เมื่อคืนพระชายารัชทายาทเข้าวังไปรักษาอาการป่วยของไท่ซ่างหวง ไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนเที่ยงเพิ่งได้กลับนอนพักแป๊บเดียว พอรู้ว่าคุณชายใหญ่มาเชิญ นางก็ลุกขึ้นมาทันที ล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆก็มาแล้ว ความตั้งใจขนาดนี้ กลับถูกเจ้าพูดกลายเป็นว่าเหยียดหยาม พระชายารัชทายาทไม่ได้มีอะไรวิเศษเลิศเลอ งั้นฮูหยินตราตั้งชั้นรองอย่างเจ้ามีอะไรวิเศษเลิศเลอ? เราไม่ช่วยแล้ว พี่หยวน อย่าไปเสียเวลาพูดกับนาง ทำดีไม่ได้ดี ไปเถอะ”
พูดเสร็จ นางดึงมือหยวนชิงหลิงแล้วก็เดินออกไป โกรธจนทนไม่ไหว
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าควรที่จะดัดนิสัยความฮึกเหิมของนางจูใหญ่เสียบ้าง หากทุกครั้งที่มาล้วนต้องทนต่อความอคติของนาง ตนเองจะต้องทนไปทำไม?
ดังนั้น ตอนที่อะซี่ดึงนางไป นางหันไปพูดกับหมันเอ๋อว่า “หมันเอ๋อ ไปถอดเข็มให้กับฮูหยินของกั๋วกง เจ้าเคยเห็นว่าข้าเคยทำอย่างไร เจ้ารู้ใช่ไหม?”
“รู้เพคะ”หมันเอ๋อรีบพูดขึ้น
“ไป ไปถอดเข็ม ข้ากับอะซี่ไปก่อนล่ะ”หยวนชิงหลิงพูดขึ้น ไม่สนใจแววตาขอร้องของจูกั๋วกง ก้าวเท้ายาวๆเดินออกไปกับอะซี่
จูกั๋วกงก็บีบบังคับอะไรไม่ได้ เพียงแค่คิดว่าฮูหยินสูญเสียโอกาสการรักษาไปแล้ว เอาความโกรธเคืองทั้งหมดที่มีลงบนตัวนางจูใหญ่ ยกฝ่ามือตบลงไปหนึ่งฉาก พร้อมตะคอกพูดขึ้นว่า “ไสหัวไป ไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามกลับมาอีก”
นางจูใหญ่เอามือกุมหน้า มองดูจูกั๋วกงด้วยแววตาอับอาย พร้อมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ? นางเป็นพระชายารัชทายาทนะ ท่านจะไม่สนใจอ๋องอานแล้วจริงๆหรือ? เขาต่างหากที่ถูกลิขิตให้เป็นฮ่องเต้ จวนอ๋องอาน ตระกูลตี๋ หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์”
สีหน้าจูกั๋วกงมืดครึ้มลง แววตาแฝงไปด้วยพายุโกรธ พร้อมพูดขึ้นว่า “ประโยคนี้ ห้ามพูดในจวนกั๋วกงเป็นครั้งที่สอง ไม่เช่นนั้น ต่อให้เป็นลูกแท้ๆ ข้าก็จะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์”
สีหน้านางจูใหญ่ย่ำแย่อย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร? เราเป็นครอบครัวเดียวกันกับอ๋องอานนะคะ”
จูกั๋วกงพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ อะซี่ตระกูลหยวนคนนั้น ถึงแม้จะบุ่มบ่าม แต่ก็ไม่ถึงขึ้นลงมือกับเจ้าไปเรื่อย เจ้าตั้งใจทำให้นางโกรธ ให้พระชายารัชทายาทถูกตั้งข้อหาให้ท้ายบ่าวใช้ อย่าอาศัยเรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงขององค์ชายรัชทายาท เจ้าคิดยังไงข้าไม่สนใจ แต่กระทำเรื่องเสื่อมทรามเช่นนี้ในจวนกั๋วกงของข้า ข้าไม่ยอมเป็นแน่”
พูดเสร็จ จูกั๋วกงสั่งคนไปตามจูโห้วเต๋อมา ให้จูโห้วเต๋อเฝ้าดูนางไปจากจวนกั๋วกง และหากไม่มีความจำเป็น ห้ามนางกลับมา
ตอนที่นางจูใหญ่ถูกขับไล่ไป หมันเอ๋อเพิ่งออกมาถึงด้านนอกพอดี
ในมือของนางถือของไว้ เห็นนางจูใหญ่ก้มตัวจะขึ้นเกี้ยว นางคิดถึงใบหน้านางจูใหญ่ที่ชั่วร้ายน่ารังเกียจนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน ใช้เท้าถีบก้นนางจูใหญ่ไปหนึ่งที จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
หมันเอ๋อวิ่งออกไปไกลมากแล้ว ยังได้ยินเสียงก่นด่าของนางจูใหญ่ หัวใจของนางเต้นแรง รู้สึกว่าตนเองหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ยังไงคนอื่นก็เป็นฮูหยินตราตั้งชั้นรอง หากจับตนเองได้แล้วจริงๆ จะต้องติดคุกแน่
แต่หมันเอ๋อคิดถึงความที่นางชั่วร้ายขนาดนี้ กล้ารังแกพระชายารัชทายาท คิดว่าถีบหนึ่งทีเพื่อได้ระบายความโมโห ติดคุกก็คุ้ม
หมันเอ๋อถีบไปหนึ่งทีนั้น นางจูใหญ่กระเด็นเอาหัวทิ่มชนเข้าไปที่เกี้ยว เจ็บปวดจนหัวของนางแทบระเบิด รอเมื่อบ่าวใช้มาประคองนาง นางยื่นมือคลำดู เลือดไหลเต็มหัว นางโกรธจนก่นด่าอย่างไม่สนใจสถานะของตน เมื่อถามชัดเจนแล้วรู้ว่าเป็น บ่าวใช้ที่พระชายารัชทายาทพามาด้วยคนนั้น ครั้งนี้มั่นใจว่าเป็นบ่าวใช้ ก็สั่งจนพาไปแจ้งความที่กรมการพระนครทันที บอกว่าถูกสาวใช้ของพระชายารัชทายาททำร้ายร่างกาย
หลังจากหยู่เหวินเห้าไม่ได้อยู่ที่กรมการพระนคร ตำแหน่งเจ้ากรมยกให้ผู้ช่วยเจ้ากรมรักษาตำแหน่งแทน ผู้ช่วยเจ้ากรมคนนี้ ปกติจะเชื่อฟังคำสั่งหยู่เหวินเห้าอย่างมาก แต่เขากลับเป็นไส้ศึกของอ๋องอาน ดังนั้น หลังจากได้รับแจ้งความจากนางจูใหญ่ ก็พาคนไปยังจวนอ๋องฉู่ด้วยตนเองทันที
ทางด้านหมันเอ๋อ หลังจากกลับมาที่จวนแล้ว ก็เล่าเรื่องที่ตนถีบนางจูใหญ่ให้หยวนชิงหลิงฟัง และยังคุกเข่าขอรับโทษ
หยวนชิงหลิงประคองนางขึ้นมา พร้อมถามขึ้นว่า “ถีบได้สะใจไหม?”
หมันเอ๋อพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “เกิดความคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน อดทนไว้ไม่อยู่ ใช้แรงไปไม่น้อย บ่าววิ่งไปไกลมากแล้ว ยังได้เสียงร้องเจ็บปวดของนางอยู่”
หยวนชิงหลิงพูดชื่นชมว่า “ถีบได้ดี ข้าติดที่สถานะของตน ไม่สะดวกที่จะลงมือ ไม่อย่างนั้น ตบหน้าไปตั้งแต่แรกแล้ว”
หมันเอ๋อคิดไม่ถึงว่าพระชายารัชทายาท ไม่เพียงตำหนินางยังชื่นชมนาง จึงค่อยวางใจ แต่จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “นาง…..คงไม่ปล่อยบ่าวแน่ บ่าวเองไม่เป็นไร ก็แค่กลัวจะเป็นการทำให้พระชายารัชทายาทต้องเดือดร้อน”