บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 546
ประตูไม่ได้เปิดออก แต่หน้าต่างเปิดแง้มออกมา แม่นมสี่ผ้าสวมปิดจมูกชะโงกออกมาจากด้านในอย่างตื่นตระหนก โสวฝู่ฉู่รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง คิดจับกุมมือนาง
แม่นมสี่เห็นเขาไม่ได้บาดเจ็บ แต่ดวงตาดำคล้ำ ท่าทางการวิ่งเข้ามาก็โผลกเผลก พลันหลบถอยไปด้านหลังทันที ทว่ากลับไม่ได้ปิดหน้าต่างลง
เพียงมองอยู่เงียบ ๆ และเอ่ยประโยคหนึ่งกับเขา “อายุมากขนาดนี้แล้ว ยังลงไม้ลงมืออันใดกัน คิดว่ากระดูกเปราะไม่พออีกหรือ?”
โสวฝู่ฉู่มองนาง “แค่เห็นคนรังแกเจ้าไม่ได้”
“ดูบาดแผลบนกายท่านพวกนี้สิ!” เสียงแม่นมสี่สะอึกสะอื้น หลุบตาลง ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างน่าปวดใจ
โสวฝู่ฉู่ยิ้มแย้มออกมา “วางใจเถิด ตาเฒ่านั่นเจ็บหนักกว่าข้านัก”
แม่นมสี่มองท่าทางถือดีของเขา เอ่ยอย่างจนใจ “ท่านนะดื้อดึง ท่านมัวสนใจเรื่องงานบ้านงานเมือง ไม่ได้ฝึกวรยุทธมานาน จูกั๋วกงไม่ละเลยการฝึกวรยุทธ ท่านจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เช่นไร ถูกต่อยจนกลายเป็นเช่นนี้ ถือว่าเขายังยั้งมือไว้บ้าง ท่านอย่าไปพบเขาอีกเลย มันเกี่ยวข้องอันใดกับเขา เขาไม่ได้ทำข้าโมโหจริง ๆ”
โสวฝู่ฉู่อยากปีนหน้าต่างเข้าไปอย่างอดใจไม่ไหว “เช่นนั้นเจ้าหลบหน้าข้าทำไม เจ้าสวมสิ่งนี้เพื่ออันใด คนที่เป็นวัณโรคถึงใช้สิ่งนี้ รีบถอดออกเร็ว เดี๋ยวจะโชคร้าย”
แม่นมสี่ถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าป่วย ท่านอย่าเข้ามา”
“ป่วยเป็นอันใด?” แววตาโสวฝู่ฉู่พลันเคร่งขรึมลง แต่ใบหน้าไม่ได้แสดงออกถึงความตกตะลึงหรือเศร้าโศก ราวกับเขาเรื่องที่เขาคาดการณ์ไว้มากนั้น เวลานี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
“โรคร้าย ท่านรีบไป ข้าไม่อยากพบท่าน” แม่นมสี่เบนหน้าไปด้านหลัง “ให้เกียรติข้าบ้างเถิด ความจริงข้าไม่อยากบอกท่าน ข้าไม่อยากให้ท่านเห็นความอัปลักษณ์นั้นของข้า”
โสวฝู่ฉู่พลันยิ้มออกมา มองนางพร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยน “อย่าโง่เง่า เจ้าคิดว่าอายุปานนี้แล้ว ที่ผ่านมาข้าชื่นชอบในความงามของเจ้าหรือ เจ้าอัปลักษณ์เพียงใด เพียงเป็นเจ้า ข้าล้วนยอมพบเจอ เปิดประตูเถิด เดิมทีข้าคาดเดาเรื่องพวกนี้ไว้ หากเจ้ากระทั่งพระชายารัชทายาทไม่ยอมพบหน้า ต้องไม่ปกติแน่”
แม่นมสี่สะอื้นขึ้น “หากท่านเดาสิ่งเหล่านี้ออก เหตุใดต้องไปทะเลาะกับจูกั๋วกงอีกเล่า?”
“ตาเฒ่านั่นขัดหูขัดตาข้ามานานแล้ว เลยหาข้ออ้างจัดการเขาสักยกเท่านั้น หากเจ้าไม่สบายใจเพราะเขา ข้าจะไม่ฆ่าเขาหรือ?”
เขาหันกลับไปมองหยวนชิงหลิงที่ถอยอยู่ข้างกายหยู่เหวินเห้า ก่อนเอ่ยถามว่า “มีผ้าปิดจมูกนั่นหรือไม่ นำมาให้ข้าสักชิ้น ข้าจะเข้าไป”
แม่นมสี่รีบหมุนกาย เอ่ยอย่างร้อนรน “ข้าพูดแล้วว่าห้ามเข้ามา ท่านไม่เข้าใจหรือ?”
หยวนชิงหลิงกลับหยิบผ้าปิดจมูกชิ้นหนึ่งออกมาให้โสวฝู่ฉู่อย่างรวดเร็ว “มี สวมซะ หากระวังไม่เกิดสิ่งใดขึ้นแน่ แม่นมสี่กังวลเกินไป นางสวมผ้าปิดจมูกไปดูพวกเหล่าขนมหวาน ล้วนไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่”
คำนี้หยวนชิงหลิงพูดให้แก่แม่นมสี่ฟัง ก่อนเห็นแม่นมสี่น้ำตาไหล สำหรับแม่นมสี่ สิ่งที่สิ้นหวังที่สุดคือนางไม่สามารถเห็นพวกเหล่าขนมหวาน
นางขังตนเองไว้ด้านใน หนึ่งวันยาวนานราวหนึ่งปี ก่อนนี้ทุกวันทุกชั่วยามล้วนจัดสรรไว้อย่างชัดเจน แม้จะเหนื่อยทั้งกายและใจ แต่มีความสุขอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเหล่าขนมหวานยิ้มออกมา ทำให้โลกของนางอบอุ่นสว่างไสว
แต่ตอนนี้ มีเพียงกำแพงสี่ด้าน มีเพียงบรรยากาศมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนี้เท่านั้น
หลังโสวฝู่ฉู่สวมผ้าปิดจมูกเรียบร้อย คิดผลักประตูเข้าไป แต่แม่นมสี่ยืนกรานว่าไม่เปิด เขาจึงยักไหล่ ก่อนปีนหน้าต่างเข้าไป
จากนั้นแม้แม่นมสี่เอ่ยตำหนิ แต่เสียงค่อย ๆ เบาหายไป สุดท้ายยอมรับการเข้ามาของโสวฝู่ฉู่
หยู่เหวินเห้ามองอย่างตกใจเล็กน้อย จากนั้นมองหยวนชิงหลิงอย่างกลุ้มใจพร้อมเอ่ยว่า “แม่นมสี่คือคนที่ดื้อดึงอย่างมาก แต่เจอโสวฝู่กลับใจอ่อน หากเพียงรักคนผู้นั้นจากใจจริง ทุกเรื่องล้วนเชื่อฟังเขา”
หยวนชิงหลิงเดินไปด้านนอก ก่อนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดอันใด อย่ามัวอ้อมค้อม มีสิ่งใดก็พูดมา”
หยู่เหวินเห้าวิ่งตามไป ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ไม่ได้พูดสิ่งใด แค่บางครั้งเจ้าต้องเชื่อฟังข้าบ้าง เช่นตอนกลางคืน ไม่ควรเอาแต่อ้างสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อหลบเลี่ยง”
“ข้าไม่ได้มีข้ออ้าง ข้าปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา” หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
หยู่เหวินเห้าจึงเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าตนทำถูกต้องหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหยุดกายลง ก่อนหันกลับไปมองเขา “ในสมองอย่าเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นได้หรือไม่?”
“ร้องขอเพียงใดก็ไม่ได้ จะไม่ให้คิดได้เช่นไร?” สีหน้าจริงจังของหยู่เหวินเห้าสลายไป ก่อนเอ่ยอย่างน้อยใจอย่างหนัก
“เจ้าใช่ร้องขอแล้วไม่ได้จริงหรือ มีผู้ใดเหมือนเจ้าบ้าง เจ้าไม่หลับไม่นอนทั้งคืนแล้วผู้อื่นไม่ต้องหลับนอนหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างโมโห
หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่าวไม่ยอมแพ้ “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าไม่มีคนเช่นข้า เจ้าไม่ได้หลบแอบฟังอยู่ใต้เตียงผู้อื่น ข้าเป็นคนหนุ่ม เจ้าคิดว่าแก่ชราเช่นเสด็จพ่องั้นหรือ?”
หยวนชิงหลิงได้ยินประโยคนี้ ภายในสมองพลันปรากฏเด็กมากมายขึ้นมา ก่อนกระตุกมุมปากขึ้น “หุบปาก!”
หยู่เหวินเห้ากุมมือนาง “ได้ พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว จริงสิ เตรียมการไว้พร้อมแล้ว พรุ่งนี้จะส่งบิดาเจ้าออกจากเมืองหลวง”
“ดี!” หยวนชิงหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดต้องส่งคนผู้นี้จากไปแล้ว “เขาไปผู้เดียวหรือพาผู้ใดไปด้วย?”
“มารดาเจ้ายืนกรานจะตามไปด้วย นางโจวไม่ยอมไป ให้เหตุผลว่าจะอยู่ปรนนิบัติฮูหยินใหญ่ในเมืองหลวง กลัวไปถิ่นทุรกันดารแล้วเสียมากกว่า!”
หยวนชิงหลิงนิ่งเงียบ นางหวงคือหญิงเทิดทูนสามี บิดามารดาและบุตรชายไม่สำคัญเท่ากับบุรุษ เกรงว่าแม้ชายผู้นี้เป็นขยะ นางต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าไว้
หยวนชิงผิงมาก่อนแต่งออกไป เอ่ยว่านางหวงทราบเรื่องเจ้าพระยาจิ้งมีความสัมพันธ์กับฮูหยินมากมายอยู่ข้างนอก นางหวงไม่เพียงไม่โมโห ยังเอ่ยว่าเขาถูกบังคับ นี่ทำให้เขาลำบากและได้รับความไม่เป็นธรรม
ดังนั้น นางจึงไม่ตำหนิเจ้าพระยาจิ้งแม้ประโยคเดียว กลับคิดหาข้ออ้างมากมายมาแก้ตัวให้เขา
สุดท้าย เปลี่ยนให้เจ้าพระยาจิ้งกลายเป็นคนถูกทำร้าย หญิงพวกนั้นล้วนเป็นอันธพาล บีบบังคับสามีนาง
ดังนั้นการที่นางหวงต้องการตามเจ้าพระยาจิ้งไป หยวนชิงหลิงจึงไม่แปลกใจแม้แต่นิดเดียว นางหวงและนางโจวต่อสู้กันมาตลอดชีวิต ครั้งนี้นางโจวปล่อยมือเอง นางน่าจะคิดว่าสุดท้ายตนได้รับชัยชนะเป็นแน่?
หญิงโง่เขลา ให้นางลุ่มหลงสักระยะเถอะ รอไปจากเมืองหลวง กลัวว่านางต้องทุกข์ทรมาน
แต่นางหวงคงไม่คิดน้อยใจ บางคนคิดว่าการทุกข์ทรมานเพื่อบุรุษ คือสิ่งที่เต็มใจทำ
หยู่เหวินเห้าเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เจ้าจะไปเยี่ยมท่านย่าหรือไม่ บิดาเจ้าจากไปแล้ว นางน่าจะเสียใจเช่นกัน”
“ดี!” หยวนชิงหลิงพยักหน้า และไม่โกรธเคืองอีก เช่นไรคือบุตรชายของตน ตอนนี้ระหกระเหินหนีไปที่อื่น ในใจท่านย่าต้องเสียใจอย่างยิ่งแน่
นางมองหนู่เหวินเห้า รู้สึกว่าความคิดเขานับวันยิ่งรอบคอบ รู้จักดูแลเอาใจใส่ความรู้สึกของผู้อื่น
หลังโสวฝู่ฉู่อยู่ในห้องแม่นมสี่กว่าครึ่งชั่วยาม ออกมาพูดคุยกับหยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิง สีหน้าเขาหนักแน่นอย่างยิ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ตอนนี้อารมณ์นางสงบลงแล้วชั่วคราว เมื่อเอ่ยถามนางว่าจำว่า เคยสัมผัสใกล้ชิดคนป่วยโรคเรื้อนได้หรือไม่ นางนึกอยู่นาน จึงนึกได้ว่าประมาณห้าเดือนก่อนหน้านี้ ได้ไปเดินเล่นกับอะซี่ และประคองสตรีที่หกล้ม นางหนึ่ง เห็นหลังมือของสตรีผู้นั้นมีแผลพุพอง หลังจากนั้นเพราะรีบร้อนไปซื้อของ จึงไม่ได้ล้างมือ อาจจะติดเชื้อจากครั้งนั้นก็เป็นได้”