บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 550
ไท่ซ่างหวงมองนาง ก่อนเอ่ยอู้อี้ “จู่ ๆ เจ้ามีเหตุผลเช่นนี้ ข้าไม่คุ้นชินยิ่งนัก”
หยวนชิงหลิงนั่งลงบนบันไดหิน มองไท่ซ่างหวงนั่งอยู่ด้านข้าง นึกถึงหลายวันก่อนนางนั่งเช่นนี้อยู่ข้างกายท่านยา
ทันใดนั้นคิดว่าคนที่มีความสุข ความจริงคือตนเองถึงจะถูก
บ้านหนึ่งมีหนึ่งเฒ่า เหมือนมีเจ้าทรัพย์ นางตอนนี้มีเจ้าทรัพย์สองคนแล้ว
น่าเสียดายก็คือ คุณย่าของนาง
ในใจหยวนชิงหลิงอดโศกเศร้าขึ้นมาไม่ได้ ความโศกเศร้านี้ไร้คำอธิบาย กระทั่งนางไม่มีวิธีรับรู้ถึงสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเขา
หากสามารถพบหน้าพวกเขาสักครั้ง ให้นางทุ่มเทมากเพียงใดล้วนยินยอม แต่ความจริงไม่ว่านางจะทุ่มเทเพียงใด ล้วนเป็นไปไม่ได้
พอคิดถึงตรงนี้ นางอดตาแดงก่ำไม่ได้
ไท่ซ่างหวงเอียงมองอยู่ตลอด เมื่อเห็นนางจะร้องไห้อย่างไร้เหตุผล เอ่ยด้วยเสียงอ่อนลงว่า “เอาล่ะ ต่อไปข้าจะสูบให้หน่อยลง ไม่ต้องกังวล”
หยวนชิงหลิงเช็ดดวงตาอย่างสะเปะสะปะครู่หนึ่ง “ท่านพูดเอง อย่าเสียใจภายหลังนะเพคะ”
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น!” ไท่ซ่างหวงเอ่ยเสียงต่ำ
ฉางกงกงยืนอยู่ด้านข้าง กลอกตาขึ้นลงอย่างดูถูกออกมา พูดคำไหนคำนั้น? ผายลมไล่ตามทันจริง ๆ เพียงปล่อยออกมาสลายไป
ขณะในใจฉางกงกงดูถูก มักจะเผยท่าทางประหลาดต่าง ๆ และไร้ทางควบคุมออกมา ตัวอย่างเช่น การเล่นหูเล่นตาอย่างรุนแรง สองมือไม่รู้ว่าต้องวางที่ใด เป็นต้น
ทุกครั้งมักต้องให้ไท่ซ่างหวงถลึงตาใส่เขา เขาจึงสงบใจลงได้
หยวนชิงหลิงคุ้นชินกับรูปแบบความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดังนั้นเอาแต่ยิ้มไม่พูด ในใจอิจฉาความรู้สึกไม่เคยเปลี่ยนแปลงของนายบ่าวทั้งสอง ทำให้รับรู้ถึงการพึ่งพาอาศัยกัน
ไท่ซ่างหวงเอ่ยถามถึงเรื่องแม่นมสี่และการเปิดโรงเรียนแพทย์ของนาง
หยวนชิงหลิงย่อมบอกความจริงเรื่องอาการป่วยของแม่นม แต่โชคดีที่ไท่ซ่างหวงไม่คิดว่าโชคนี้เลวร้าย เพียงเอ่ยว่าแม่นมสี่โชคร้าย ได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้ ช่างโชคร้ายเสียจริง
โชคร้ายจริง ๆ เพียงประคองคนบนถนนก็ติดเชื้อ
ไท่ซ่างหวงเมื่อได้ยินหยวนชิงหลิงสามารถรักษาโรคเรื้อนให้หายขาดได้ เบิกดวงตากว้าง “โรคเรื้อน”
“เพคะ” หยวนชิงหลิงกล่าว
ไท่ซ่างหวงจัดท่านั่ง “โรคเรื้อนรักษาให้หายได้หรือ?”
“ได้เพคะ” ทันใดนั้นหยวนชิงหลิงรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย มีเพียงด้านนี้ที่ทำให้นางสามารถนางรับรู้ถึงการมีตัวตน
ไท่ซ่างหวงก็เผยความปิติยินดีและภูมิใจออกมา
ส่วนเรื่องโรงเรียนแพทย์ หยวนชิงหลิงกลับแปลกใจบางส่วน “เหตุใดท่านจึงรู้เรื่องนี้เพคะ?”
ตามจริงแล้วนางหาสถานที่หรือสร้างโรงเรียนล้วนดำเนินการอย่างเป็นความลับ และแม้จะรู้ว่านางก่อสร้างสิ่งขนาดใหญ่ ก็ไม่รู้ว่านางต้องการทำสิ่งใด
ไท่ซ่างหวงเอ่ยอย่างโอหังว่า “เรื่องใดของเจ้าที่สามารถปิดบังข้าได้?”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดก็รู้สึกว่าเอ่ยถามประโยคนี้ช่างไร้ความจำเป็น จึงระบายความทุกข์ออกไป “เลือกสถานที่ได้แล้วเพคะ ตอนนี้มีที่ปรับที่ดินและกำลังคนมาสร้าง แต่ปัญหาหนักคือไม่มีอาจารย์ผู้สอน ท่านว่า สามารถใช้บารมีท่าน…”
หยวนชิงหลิงยังเอ่ยไม่จบ ไท่ซ่างหวงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ได้!”
“เหตุใดไม่ได้เพคะ? นี่เป็นเรื่องความสุขของราษฎร!” หยวนชิงหลิงถลึงตาพลางกล่าว
ไท่ซ่างหวงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าอายุปูนนี้แล้ว ยังต้องใช้สมองมากมายทำไมหัน เรื่องนี้เดิมทียากที่จัดการ หมอคนใดจะยอมทิ้งโรงหมอของตนมาเป็นอาจารย์สอนศิษย์ให้กับเจ้า นี่ยังถือว่าไม่สำคัญ ต่อไปนักเรียนในโรงเรียนแพทย์ของเจ้าจบมาเป็นหมอ โรงหมอหุ้ยหมิงต้องขยายสาขาเพิ่มขึ้น เจ้ากำลังทำลายเส้นทางทำมาหากินผู้อื่น เกรงว่าเพียงเจ้าเอ่ยเรื่องโรงเรียนแพทย์นี้ออกไป หมอทั่วเมืองหลวงต้องลุกขึ้นคัดค้าน เป็นปรปักษ์กับเจ้าแน่”
“ปัญหานี้ข้าคิดไว้เช่นกัน แต่เรื่องนี้ถึงอย่างไรต้องตัดสินใจทำ โรงหมอหุ้ยหมิงเหตุใดไม่สามารถขยายสาขาไปพื้นที่อื่นได้ นั่นเพราะจำนวนหมอไม่เพียงหมอ และโรงหมอหุ้ยหมิง นอกจากผู้อาวุโสหลายคนนั้น ฝีมือแพทย์ของหมออื่นล้วนไม่ได้เรื่อง รักษาได้เพียงเป็นไข้ตัวร้อนปกติเท่านั้น โรคที่ซับซ้อนขึ้นมาไม่สามารถรักษา คนกินอาหารหลายประเภท ล้วนต้องป่วยไข้แน่ โรงหมอส่วนตัวแพงหูฉี่ โรงหมอหุ้ยหมิงเข้าแถวรอนาน ฝีมือการรักษายังไม่ได้เรื่อง นี่คือปัญหาของราษฎรนะท่าน!”
ไท่ซ่างหวงสะบัดพัด ก่อนเอ่ยว่า “ผู้ใดจะไม่รู้ว่าคือปัญหาของราษฎร แต่ปัญหาของราษฎรมีมากมาย ไม่เพียงแค่เรื่องนี้”
“เห็นปัญหาใดก็แก้ไขไป” หยวนชิงหลิงกล่าว
“งั้นเจ้าดำเนินการเถอะ” ท่าทีไท่ซ่างหวงคือไม่คิดเข้าไปยุ่งแม้แต่น้อย
หยวนชิงหลิงกังวล เดิมคิดว่าสุดท้ายหากไร้หนทาง จะระบายความยากลำบากต่อหน้าไท่ซ่างหวงสักสองประโยค เขาต้องออกหน้าอย่างมีคุณธรรมแน่
ดูท่า คงชอบพึ่งพาอาศัยมากเกินไป นางและเจ้าห้าต้องเลิกอาศัยผู้อื่นแล้ว
ดังนั้นเรื่องการรักษาคนบนเขาโรคเรื้อนนี้ หยวนชิงหลิงเก็บงำเอาไว้ไม่บอกไท่ซ่างหวง เลี่ยงไม่ให้ฉางกงกงปากพล่อยออกไปประกาศแทนนาง
หลังออกจากวัง นางขบคิดอยู่บนรถม้าครู่หนึ่ง คิดว่าเรื่องอาจารย์ผู้สอนต้องรีบจัดการ พระชายาจี้มีเส้นสาย มิสู้ไปพบนาง ดูว่ามีหนทางใดบ้าง
นางเรียกให้สวีอีหันหัวรถม้ากลับ มุ่งตรงไปที่วังอ๋องจี้
เพิ่งก้าวเข้ามาในวังอ๋องจี้ ยังไม่ได้พบพระชายาจี้ ฉู่หมิงหยางกลับออกมาพบนาง
ไม่เจอกันนาน ฉู่หมิงหยางอวบอั๋นขึ้นมาก และแต่งกายอย่างสวยหรู บนศีรษะเต็มไปด้วยไข่มุก คิ้ววาดอย่างประณีต ริมฝีปากแดงสด มวยเหล้าผมขึ้นสูง ขณะเดินเข้ามา ป้ายหยกส่งเสียง ความโอหังเปี่ยมล้น
แต่ สายตาหยวนชิงหลิงกลับพบ ใต้การแต่งหน้าครบครัน รอบดวงตาดำคล้ำ ผิวหนังบวมเป่ง
ในความคิดของฉู่หมิงหยาง นี่คือหญิงที่นางดูแคลน ตั้งครรภ์แฝดสาม สามีถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท
เมื่อก่อนนางชื่นชมในตัวหยู่เหวินเห้า แต่ภายในความชื่นชมนี้แฝงไว้ด้วยความดูถูกดูแคลน มักคิดว่าพวกเก่งกาจทางทหารเช่นหยู่เหวินเห้านี้ สุดท้ายมักตำแหน่งไม่สูง เพราะไม่ใช่บุตรของฮองเฮาและไม่ใช่บุตรคนแรก ต่อมารู้ว่าท่านปู่คาดหวังกับเขาสูง สับสนอยู่ชั่วขณะ หลังอภิเษกเป็นชายารองกับอ๋องจี้ นางตัดความคิดนี้ไป
แต่อ๋องจี้ถูกจองจำ ทำให้อนาคตของนางมืดมน ทุกคนด้านนอกล้วนมองเรื่องตลกของนาง เยาะเย้ยว่านางเลือกมาก สุดท้ายเลือกคนไร้ความสามารถที่สุด
นางย่อมไม่ยอมรับ ทุกวันแต่งกายหรูหรา ใช้ท่าทางดูดีแสดงออกไปให้ผู้อื่นเห็น โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าหยวนชิงหลิงมาถึงจวน
กลับคิดนำเครื่องประดับล้ำค่าที่สุดสวมออกมา เพื่อให้หยวนชิงหลิงเห็นว่านางไม่ได้เสียใจโศกเศร้า ชีวิตของนางยังคงรุ่งเรืองสดใสเช่นเดิม
หยิ่งผยองเช่นนี้ เพราะเดิมทีขาดความมั่นใจ
หลังนางเข้ามา ไม่ได้ย่อกายคำนับ นั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างามพลางมองหยวนชิงหลิง ก่อนเอ่ยเย็นชาว่า “พระชายารัชทายาท ไม่เจอกันเสียนาน เหตุใดจึงทรุดโทรมขนาดนี้ ดูแล้ว ผู้อื่นพูดไว้ไม่มีผิดจริง ๆ หญิงมีบุตรจะบำรุงเช่นไร สุดท้ายหลุดพ้นจากคำว่าแก่ชรานี้พ้น”
หลังนางเอ่ยจบ พลางหัวเราะเสียงเย็น
หยวนชิงหลิงมองนาง คิดว่าประหลาดเล็กน้อย “จริงหรือ หลักการอันใด ข้าดูแก่ลงมากที่ใดกัน?”
ฉู่หมิงหยางเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ยโสโอหังอย่างยิ่ง
หยวนชิงหลิงหนาวสั่นไปทั่วกาย มองฉู่หมิงหยางอย่างประหลาดใจ นางเสียสติหรือ?
รอยยิ้มฉู่หมิงหยางพลันหุบลง และมองหยวนชิงหลิงอีกครั้ง ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เจ้าย่อมไม่รู้สึก ยังคิดว่ามีความสุขดีหรือ? แต่รอก่อนเถอะ ความสุขของเจ้ามีต่อไปได้ไม่กี่วันแน่ สตรีแก่ตัวลงทุกวัน ช้าเร็วต้องถูกคนทิ้งขว้าง”