บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 552
อาการป่วยของแม่นมสี่ เพราะรู้อย่างทันท่วงที ผ่านการรักษาไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า ก็หายดีขึ้นมากแล้ว
อีกทั้ง รอยด่างดำวงกลมที่อยู่บนใบหน้าก็มองแทบไม่เห็นแล้ว
ในกล่องยาของหยวนชิงหลิง เป็นครั้งแรกที่ปรากฏกล้องจุลทรรศน์ สามารถรวบรวมเพื่อทำการทดสอบส่องกล้องย้อมสีแบบทนกรดอย่างมั่นคงได้แล้ว
นางพบว่า อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่จำเป็นต้องต่อพ่วงกับไฟฟ้าต่างก็ปรากฏขึ้นในกล่องยา เพียงแค่นางคิดเท่านั้น
หลังจากการส่องกล้อง จากตัวอย่างที่ได้จากแผลเป็นบนผิวหนังของแม่นมสี่ไม่ได้ตรวจพบแบคทีเรียจากโรคเรื้อนอีกแล้ว นี่หมายความว่า โรคของนางไม่มีการแพร่กระจายแล้ว
ที่จริง โรคเรื้อนสามารถติดต่อกันได้จากการหายใจหรือการสัมผัส แต่ว่า ที่จริงในร่างกายของคนส่วนมากต่างก็มีภูมิต้านทาน ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้สัมผัสกับแบคทีเรียตัวนี้แล้วจะเป็นโรคเรื้อนได้ ช่วงนั้นพอดีกับที่แม่นมสี่ได้รับบาดเจ็บ ร่างกายอ่อนแอ จึงติดเชื้อโดยไม่ตั้งใจ
ตอนที่นางประกาศให้แม่นมสี่สามารถออกจากลานบ้าน ไปดูเหล่าของว่างได้อย่างอิสระแล้ว แม่นมสี่กลับกอดหมอนร้องไห้ขึ้นมา
หยวนชิงหลิงถอยออกมา ให้นางได้ร้องไห้เต็มที่
การรักษาในหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ก็ลำบากนางไม่น้อย ที่อึดอัดที่สุดคงเป็นเรื่องความทรมานทางจิตใจ
ดูท่าทีแม่นมสี่ที่ดีใจจนน้ำตาไหล นางยิ่งตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะช่วยรักษาคนป่วยโรคเรื้อนบนเขาโรคเรื้อน
แต่ว่า แม่นมสี่ยังคงไม่ยินดีจะออกจากเรือน ไม่ใช่นางไม่เชื่อพระชายารัชทายาท เพียงแต่นางกังวลว่าโรคนี้ยังไม่หายขาดทั้งหมด แค่มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ นางก็ไม่ยินดี
คิดไม่ถึงว่า การเก็บตัวของแม่นมสี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า กลับทำให้อ๋องอันผิดสังเกตจนเกิดความสนใจขึ้นมาได้
แม้ว่าตอนนี้อ๋องอันจะอยู่ที่กองทัพทางใต้ แต่ก็ยังคงสามารถกลับเมืองหลวงได้เป็นครั้งคราว
เพราะหลังจากนี้ไม่นาน ก็จะเป็นวันเกิดของกุ้ยเฟย ฉะนั้นพออ๋องอันกลับมาเมืองหลวง ก็ไปมอบของขวัญให้กับกุ้ยเฟยเป็นอันดับแรก
กลับมาถึงจวนอ๋องอัน ก็ไปพบปะกับพระชายาอันพูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกอะหลูเข้าไปยังห้องหนังสือ
“ทางเจ้าห้ามีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือไม่ ”หลังจากอ๋องอันนั่งลงแล้วก็ถามขึ้น
อยู่ที่กองทัพทางใต้อยู่หลายเดือน เขาตากแดดจนดำคล้ำไปมาก แต่ดวงตายังคงเย็นชาเช่นเดิม ในสายตามีแววโหดเหี้ยมเต็มไปหมด
อะหลูเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง หลังจากรัชทายาทมีการเสนอแนะให้เป็นพันธมิตรกับต้าโจว ตอนนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างกลับใจ แม้แต่ขุนนางที่แต่ไหนแต่ไรก็ยืนอยู่ตรงกลางหรือว่าคนที่อยู่ฝั่งพวกเราบางส่วน ต่างก็ไปเข้ากับฝั่งนั้น แม้แต่จูกั๋วกงก็แสดงความคิดเห็นดีเห็นงามด้วยตนเอง”
อ๋องอันเอ่ยเสียงเย็นว่า“ข้าไม่เคยจะคิดหวังพึ่งพาเขา เป็นท่านตาที่คิดมาตลอดว่าสามารถดึงคนมารวมกันได้ จูกั๋วกงก็เป็นคนหัวดื้อหัวรั้น เมื่อก่อนคิดว่าเขาคงจะสามารถควบคุมเซียวเหยากงได้บ้าง ตอนนี้ปรับความเข้าใจกับเซียวเหยากงแล้วหรือ ”
อะหลูส่ายหน้า “ยัง ยังคงแค้นฝังใจเช่นเดิม”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจเขา ”อ๋องอันเคาะโต๊ะ เอ่ยอย่างเกลียดชังว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าหากับเฉินจิ้งถิงที่มาจากต้าโจวคนนั้นสนิทกันมาก ไม่คิดว่าจะนำไปสู่การทำเรื่องนี้จนสำเร็จ ตอนนี้เขาสร้างความดีความชอบ พวกนกสองหัวย่อมต้องโน้มเอนเป็นธรรมดา ไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องการคนใจโลเล ถ้าไม่ใช่คนที่จงรักภักดีต่อข้าอย่างแท้จริง ข้ายอมขาดแคลนดีกว่าได้คนด้อยคุณภาพ”
อะหลูเดินอ้อมไปด้านหลังเขา ใบหน้าขาวสะอาดแนบชิดไปที่ข้างหูของเขา สองมือราวกับมังกรแหวกว่ายที่โอบล้อมรอบคอเขาเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ท่านอย่างกังวลใจเลย ตอนนี้หยู่เหวินเห้าโอหังเกินไป พวกเราย่อมสามารถจับจุดผิดของเขาได้ จากนั้นก็ทำให้เขาไม่มีทางฟื้นคืนมาได้ตลอดกาล”
ในดวงตาของอ๋องอันมีเปลวไฟลุกโชนขึ้น “หยู่เหวินเห้าแม้จะดูเหมือนสบายๆไม่ใส่ใจอะไร แต่ว่าจิตใจเขาล้ำลึกมาก อีกทั้งข้างกายยังมีคนมากมายคอยช่วยเหลือ ฝั่งเขานั้นไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย ยังไม่สู้เข้าไปภายในจวนเพื่อเสาะหาช่องโหว่ ทางหยวนชิงหลิงมีพฤติกรรมอะไรไม่ปกติหรือไม่ ”
อะหลูครุ่นคิด “หยวนชิงหลิงนั้นวางตัวได้ดีมาก ส่งเจ้าพระยาจิ้งออกไปแล้ว ส่วนมากก็อยู่แต่ใจจวนน้อยมากที่จะออกไปไหนมาไหน แต่ว่า พูดแล้วก็มีเรื่องหนึ่งที่น่าประหลาดใจมาก แม่นมสี่คนนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้วที่ไม่เห็นนางออกจากจวนแม้แต่ครึ่งก้าว”
“แม่นมสี่”อ๋องอันเหลือบมองขึ้นมา “เจ้าแน่ใจ”
“แน่ใจ นางออกจากจวนครั้งที่แล้ว คือร่วมเดินทางกับหยวนชิงหลิงไปจวนจูกั๋วกง จากนั้นหยวนชิงหลิงไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่พานางไปด้วย แม้กระทั่งเข้าวังก็ไม่ได้พาไป อีกทั้ง คนที่ข้าส่งไปสังเกตการณ์จวนอ๋องฉู่ก็กลับมารายงานว่า ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่านี้ คนที่ออกไปซื้อหาของใช้จำเป็นในจวนอ๋องฉู่ ล้วนมีอะซี่หรือไม่ก็หมันเอ๋อเป็นผู้รับผิดชอบ กระทั่งบางทีทังหยางก็ไปจัดการเอง และเรื่องเหล่านี้ เมื่อก่อนล้วนเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของแม่นมสี่ ”
อ๋องอันดึงมือของนางเอาไว้ ลากมาไว้ข้างหน้า สายตาร้อนแรงจ้องมองนาง “หรือว่าโรคกำเริบแล้ว”
อะหลูนิ่งอึ้ง “เพิ่งจะครึ่งปี ตามหลักแล้วไม่เร็วขนาดนี้”
“ไม่ ไม่เร็ว ก่อนหน้านี้ท่านหมอเคยบอกไว้ หลังจากสัมผัสกับผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องรอหลายปีจึงจะมีอาการกำเริบ บางคนไม่กี่เดือนก็กำเริบแล้ว”
อ๋องอันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “เจ้าหาใครสักคนไปหาข่าวที่จวนอ๋องฉู่ ไม่ว่าต้องเสียค่าตอบแทนเท่าไหร่ หรือต้องมีนักสืบตายสักคนสองคน ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าแม่นมสี่โรคกำเริบหรือไม่”
อะหลูพยักหน้า นั่งอยู่บนตักของอ๋องอัน ร่างกายอ้อนแอ้นอิงแอบอยู่บนร่างเขา ดวงตาหวานฉ่ำ “ท่านอ๋อง ถ้าหากแม่นมสี่เป็นโ
รคเรื้อนจริง เช่นนั้นทั้งจวนอ๋องฉู่ก็ต้องถูกปิดตาย หน้าที่เจ้ากรมการพระนครของหยู่เหวินเห้า เกรงว่าต้องลงจากม้าเป็นครั้งที่สามแล้ว”
สายตาของอ๋องอันมีแววโหดเหี้ยมวาบผ่าน “ข้าไม่ได้ต้องการให้เขาลงจากตำแหน่งเจ้ากรมการพระนคร แต่ต้องการให้เขาไร้ซึ่งโอกาสในการพลิกกลับมาได้อีก”
อะหลูคลอเคลียเข้าไป “ท่านอ๋องพูดถูก ต้องให้เขาตายอย่างไร้ที่ฝังศพ จึงจะทำให้ไม่สามารถพลิกกลับมาได้อีก”
อ๋องอันกอดรัดเอวบอบบางอ้อนแอ้นของนางเอาไว้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้หมอหลวงเฉาเป็นหมอประจำจวนของจวนอ๋องฉู่ ถ้าหากแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อนจริง หยวนชิงหลิงต้องหาตัวหมอหลวงเฉาเพื่อร่วมมือกันทำการรักษา เพราะโรคร้ายเช่นนี้ คิดว่าหยวนชิงหลิงเองคงไร้ทางรักษาให้หายได้ ฉะนั้น เจ้าสามารถเริ่มสืบจากเขาได้ ”
“ได้”อะหลูพึมพำรับคำหนึ่งเสียง สายตามีแววระยิบระยับซ่อนอยู่ “คืนนี้ท่านไม่ไปไหนใช่หรือไม่ ไม่สู้ คืนนี้อยู่กับข้าที่นี่”
อ๋องอันมองใบหน้าที่แสนจะงดงามของนาง แต่ในใจกลับไร้ซึ่งอารมณ์เพลิดเพลิน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ ยากนักที่ข้าจะได้กลับมาสักครั้งหนึ่ง ย่อมต้องอยู่เป็นเพื่อนพระชายาสักหน่อย เจ้าไปเถอะ ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว”
แวววิบวับในตาของอะหลูค่อยๆเลือนหายไป “เพคะ”
นางลุกขึ้นจากร่างของอ๋องอัน ปิดบังความผิดหวังที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า หมุนตัวเดินออกไป
อะหลูเดินไปถึงประตูก็เจอเข้ากับพระชายาอัน พระชายาอันยกน้ำแกงเข้ามา อะหลูย่อตัวคำนับ “พระชายา”
“แม่นางอะหลูก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”ใบหน้าของพระชายาอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส“พวกเจ้ากำลังปรึกษาหารือเรื่องงานหรือ ”
“ไม่ได้คุยเรื่องงาน ท่านอ๋องเรียกข้าน้อยมาคุยเฉยๆ ตอนนี้คุยเสร็จแล้ว พระชายาเข้าไปเถอะ”อะหลูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พระชายาอันพูดเสียงเบาว่า “ได้”
อะหลูหันกลับไปคิดจะเปิดประตูให้นาง แต่ทันใดนั้นก็หันกลับมาพูดกับพระชายาอันว่า “พระชายาต้มน้ำแกงอะไรหรือ”
“เป็นเป็ดตุ๋นมะระ ดับร้อนขับความชื้น ”พระชายาอันกล่าว
อะหลูขมวดคิ้วขึ้นมา “น้ำแกงนี้ไม่เหมาะ ตอนนี้ท่านอ๋องอาศัยอยู่ในกองทัพเป็นเวลานาน เหน็ดเหนื่อยลำบาก ควรเปลี่ยนเป็นน้ำแกงที่ช่วยบำรุงร่างกาย เป็ดตุ๋นมะระช่วยดับร้อนขับความชื้น เมื่อกินเข้าไปแล้วกลับจะทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นทำลายลมปราณ เปลี่ยนเป็นโต่วต๋งตุ๋นไก่เถอะ จะเหมาะสมมากกว่า ”
พระชายาได้ยินคำพูดที่ราวกับสั่งการ ก็เอ่ยตอบรับอย่างไม่ตั้งใจว่า “ได้ ข้าจะให้คนไปเปลี่ยนมาใหม่”
“ไปเถอะ ”อะหลูพูด
พระชายาหมุนตัวเดินกลับไป ในใจมีความรู้สึกไม่เหมาะสมอยู่ลึกๆ ทำไมอยู่ต่อหน้าอะหลู จึงได้รู้สึกว่าอะหลูต่างหากที่เป็นพระชายา ส่วนนางเป็นเหมือนสาวรับใช้