บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1007 ข้ารู้ว่าไปอย่างไร
เขามองหยวนชิงหลิง ราวกับเห็นความเฉยชาและไร้ซึ่งความสะทกสะท้านใดๆในสายตาของนาง เขาลุกขึ้นอย่างโมโห
“ข้ามองท่านผิดไป ข้าคิดมาตลอดว่า อย่างน้อยท่านก็เป็นคนมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ตอนนี้ท่านวางมาดสูงส่งออกมา มองดูความเป็นความตายอย่างนิ่งดูดาย แต่ท่านกลับเป็นคนที่อยู่เหนือความเป็นความตาย ตอนนี้ท่านพูดจาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นคนเสแสร้ง ท่านหลอกลวงมากรู้หรือไม่ ถ้าหากที่ตายไปเป็นหยู่เหวินเห้าหรือลูกของท่าน ท่านจะยังคงไม่สะทกสะท้านเช่นนี้อยู่หรือไม่”
เขาพูดจบ ก็มองหยวนชิงหลิงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อจากไป
หยวนชิงหลิงมองเงาหลังที่เดินออกไปด้วยความโมโห ยิ้มขม นับว่าได้เห็นตัวจริงของหงเย่แล้ว แต่ไม่มีความสุขเลยจริงๆ
เสแสร้ง หลอกลวง ช่างเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงใจเสียจริง และนางก็ไร้หนทางโต้แย้ง
เพราะนางก็คือตัวอย่างที่สามารถต่อต้านความตายได้ นางเสพสุขอยู่ในสิทธิพิเศษ แต่จะทำลายไม่ให้ผู้อื่นได้เสพสุขด้วย ทำให้น่าดูถูกจริงๆ
จิ่นหนิงเข้ามาจากข้างนอก นางไม่ได้ไปไหนไกล สำหรับหงเย่ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีความระแวงอยู่ในใจ ฉะนั้นจึงฟังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หลังจากหงเย่ไปแล้วนางจึงเข้ามา
“อย่าเอาคำพูดของเขามาใส่ใจ เจ้าไม่ได้ทำผิด”จิ่นหนิงนิ่งลงและพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงมองนาง “ข้าไม่เป็นไร ข้าได้เตรียมใจไว้สำหรับเผชิญหน้ากับความโกรธของเขาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว มีบางเรื่อง ที่จริงข้าได้ทำผิดตั้งแต่เริ่มต้น ดีที่ข้ามีโอกาสทำให้เรื่องราววุ่นวายกลับมาเป็นปกติได้ ไม่ได้ทำผิดต่อไปเรื่อยๆ”
จิ่นหนิงพยักหน้า “อืม ตัวเองรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็พอแล้ว คนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่ต้องสนใจ”
หัวใจของหยวนชิงหลิงนั้นแน่วแน่ แต่คำพูดของหงเย่ก็ทำให้นางรู้สึกเสียใจและเป็นทุกข์จริงๆ
กลับไปที่ห้องอย่างไม่มีความสุข พวกลูกๆต่างก็อยู่ในห้อง หยวนชิงหลิงให้แม่นมออกไป อุ้มสองฝาแฝดขึ้นมาในอ้อมอก ถอนหายใจเบาๆ “ที่จริง แม่อยากจะให้พวกเจ้าเป็นเด็กธรรมดามากกว่า ”
ทังหยวนใส่ใจและอ่อนไหว โถมตัวอยู่บนเข่าของหยวนชิงหลิงถามขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ท่านไม่มีความสุขหรือ”
“ไม่ใช่”หยวนชิงหลิงวางสองฝาแฝดลง ลูบที่ศีรษะของทังหยวน “ทังหยวนกินอิ่มหรือยัง”
“กินอิ่มแล้ว”ทังหยวนรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง “ที่อยากกินก็ไม่ได้กิน กินอะไรง่ายๆไปก่อนแล้วกัน”
คำพูดที่เป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงหลุดหัวเราะออกมา นางอุ้มทังหยวนขึ้นมาหอมไปที่แก้มของเขาหนึ่งที พูดว่า “เอาล่ะ นอนเถอะ”
ลูกเชื่อฟัง ปีนขึ้นไปนอนอย่างรู้ตัวด้วยตนเอง พอเชื่อฟังขึ้นมาแล้ว ช่างทำให้รู้สึกน่าสงสารจริงๆ
สองฝาแฝดก็นอนแล้ว สองฝาแฝดนั้นไม่ต้องกล่อม ไม่ว่าจะถึงเวลานอนหรือไม่ ง่วงก็หลับ สำหรับพวกเขาแล้ว ชีวิตไม่มีอะไรมากไปกว่าการกินดื่มขับถ่ายและนอนหลับ
หยวนชิงหลิงนอนลงไปทั้งชุดเสื้อผ้า ในห้องก่อไฟเอาไว้ อบอุ่นมาก แต่ว่าหัวใจนางมีความเย็นอยู่บ้างเล็กน้อย ที่จริงนางเย็นชาไม่แยแสต่อลิงมาก
ไม่ว่าจะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ก็ล้วนไม่แยแส
นางจะทำอะไรเพื่อลิงได้ มันตายไปแล้ว
พลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่ นอนไม่หลับ นางสวมเสื้อคลุมออกไปเดินเล่น คืนที่เงียบสงัด และยังเป็นฤดูหนาวที่เยือกเย็น แม้แต่เสียงร้องของแมลงก็ไม่มี
นางยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวอย่างเงียบๆ ลมยิ่งพัดก็ยิ่งทำให้อารมณ์วุ่นวาย กลับไปที่ห้องก็นอนไม่หลับ จึงพาหมาป่าหิมะวิ่งอยู่ข้างนอกหลายรอบ วิ่งจนเหนื่อยแล้ว กลับไปทิ้งศีรษะลงก็หลับ
วันรุ่งขึ้นตื่นมาแต่เช้า เข่อหลิงเข้ามารายงานให้ทราบว่า หงเย่กับอะโฉ่วได้จากไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ทิ้งจดหมายไว้ให้หยวนชิงหลิงฉบับหนึ่ง
หยวนชิงหลิงเปิดจดหมายออก ข้างในเขียนข้อความไว้ประโยคเดียวว่า ,“หวังว่าจะเห็นแก่ความผูกพันที่อยู่เป็นเพื่อนกันกว่าหนึ่งพันวัน เมตตาเปิดโอกาสให้มันสักครั้ง”
หัวใจของหยวนชิงหลิงยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง เมตตาเปิดโอกาสให้สักครั้งแฝงความหมายว่าให้ทำการวิจัยอีกครั้ง
เอาจดหมายซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ กินข้าวเช้าแล้ว ก็เริ่มออกเดินทาง
หยู่เหวินเห้ากับจิ้งถิงพากองทัพเดินทางได้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่หยุดพักเลยทั้งวันทั้งคืน หลังจากเปลี่ยนม้าที่ศาลาพักม้าแล้วก็เร่งเดินทางต่อ หวังว่าก่อนจะเข้าสู่เขตหมอผี สามารถพบกับทุกคนได้ จากนั้นก็ให้คนส่วนหนึ่งเข้าไปยังเขตหมอผี ที่เหลืออีกหนึ่งส่วนให้รอคำสั่งอยู่ข้างนอก
กล่าวถึงในเจียงเป่ย สวีอีกับอะซี่ที่สุดก็สามารถไล่ตามกองทัพใหญ่ทันในวันรุ่งขึ้น หมันเอ๋อได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกผลักไสไล่ส่ง หลังจากอะซี่ให้นางกินยาแล้ว รับประกันกับอ๋องเว่ยและอ๋องอัน นางจะไม่มีทางกลายเป็นสาวหมอผีของเจียงเป่ย แต่เพราะเหตุการณ์คลุ้มคลั่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อใจนาง อะซี่โมโหมาก ใช้ชื่อเสียงของการเป็นคนตระกูลหยวนสาบาน ถ้าหากหมันเอ๋อทำเรื่องที่เป็นผลเสียต่อกองทัพ คนตระกูลหยวนจะขอเป็นผู้รับผิดชอบ
อะซี่อายุน้อยไม่มีบารมี แต่ตระกูลหยวนมี ตะโกนเสียงดังเช่นนี้ จึงนับว่าสะกดอารมณ์ของทุกคนเอาไว้ได้ แต่กับหมันเอ๋อสุดท้ายก็ยังคงกังวลใจอยู่ดี
หลังจากหมันเอ๋อกินยาแล้ว แม้แต่วิชาปลูกชีวีก็ถูกคลาย หรือพูดอีกอย่างคือ ความทรงจำที่ถูกฝังกลบเอาไว้ถูกขุดคุ้ยออกมาทั้งหมด ความทรงจำทั้งหมดได้ทะลักออกมาในชั่วขณะ รวมถึงภาพที่ถูกฆ่าล้างโคตรอย่างอเนจอนาถในวันนั้นก็ถูกฉายขึ้นในหัวซ้ำๆ บีบให้นางแทบจะอกแตกตาย
ดีที่อะซี่อยู่ข้างกายนางตลอดเวลา ปลอบประโลม สั่งสอน จึงทำให้นางค่อยๆสงบลงได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรหมันเอ๋อก็ไม่อาจจะยอมรับได้ แม่นมฉินก็คือแม่ของนาง
หน้าตาต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่คล้ายกัน
อะซี่ได้เอายาถอนพิษมาเพิ่มอีกหนึ่งเม็ด ให้แม่นมฉินกินลงไป ขณะที่นางไม่ต้องใช้กำลังจิตใจทั้งหมดเพื่อต่อต้านอาถรรพ์ของสาวหมอผี ใบหน้าของนางก็จะค่อยๆหลับคืนสู่ปกติเหมือนเช่นวันวาน ถึงตอนนั้นหมันเอ๋อย่อมจำนางได้เอง
เดินอยู่ประมาณสามวัน ภายใต้การนำของหมันเอ๋อ ทำให้หลบหลีกม่านหมอกได้อย่างราบรื่น ที่สุดก็มาถึงเขตหมอผีที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ แต่เมื่อมาถึงเขตหมอผี แม่นมฉินก็พบความผิดปกติ
ค่ายกลของเขตหมอผีนางพอจะรู้อยู่บ้าง ทางเข้าอยู่ตรงด้านล่างของภูเขา แต่ว่าตอนนี้อยู่ระหว่างเมฆหมอกที่ล้อมรอบ และหาทางเข้าภูเขาในตอนแรกไม่พบแล้ว
ถ้าหากว่าแม้แต่ทางเข้าก็หาไม่พบ หลับหูหลับตาบุกเข้าไป เช่นนั้นจะยิ่งง่ายต่อการหลงทาง
“เกิดอะไรขึ้น”อ๋องเว่ยเห็นสีหน้าของแม่นมฉินทีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก็เข้ามาถาม
“ท่านอ๋อง ค่ายกลของเขตหมอผีถูกแก้ไขแล้ว”แม่นมฉินพูด
“แก้ไขแล้ว”อ๋องเว่ยนิ่งอึ้ง มองภูเขาลูกใหญ่ที่สูงตระหง่านตรงหน้า “เช่นนั้นนอกจากเข้าจากที่นี่ ยังมีทางอื่นอีกหรือไม่ อ้อมเขาลูกนี้ไปได้หรือไม่”
“ไม่ได้ จะเข้าไปข้างในต้องเข้าจากเขตหมอผีเท่านั้น”แม่นมฉินส่ายหน้าและเอ่ยขึ้น
“สามารถเข้าไปได้จากตรงนี้เท่านั้น ถ้าเช่นนั้นบุกเข้าไปได้หรือไม่”อ๋องเว่ยถามขึ้นอีก
“ไม่สามารถบุกเข้าไปได้อย่างเด็ดขาด จำเป็นต้องหาทางที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะหลงทางอยู่ข้างใน”แม่นมฉินพูด
เช่นนั้นก็น่าเป็นกังวลแล้ว หัวใจของอ๋องเว่ยร้อนรุ่ม แทบอยากจะบินขึ้นไปช่วยจิ้งเหอออกมา
เขาหันกลับไปสั่งการ สั่งให้ทหารอ้อมภูเขาสังเกตดูว่ามีทางเข้าหรือไม่
หาอยู่ครึ่งค่อนวัน รายงานกลับมาล้วนเป็นหน้าผา ไม่มีทางเข้า และมีหลายจุดที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ ไม่ได้เข้าไปสำรวจอย่างถี่ถ้วน ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้
ระหว่างที่ทุกคนอยู่ในอาการอับจนหนทาง ก็เห็นหมันเอ๋อกับอะซี่ก็เดินอ้อมภูเขากลับมาหนึ่งรอบ หมันเอ๋อเดินไปตรงหน้าอ๋องเว่ย เอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า
“นี่คือค่ายกลสวรรค์ จำเป็นต้องเข้าไปอย่างรวดเร็วดุจขี่เมฆหมอก ทั่วทุกทิศเต็มไปด้วยเมฆหมอก มีหนึ่งทิศเท่านั้นที่เป็นทางเข้า ”
แม่นมฉินนิ่งอึ้ง “ค่ายกลสวรรค์ หมันเอ๋อเจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าเคยเห็นแผนที่ค่ายกลที่เจียงเป่ย ”ตอนนี้ความทรงจำส่วนใหญ่ของหมันเอ๋อได้กลับมาแล้ว พูดอธิบายว่า “ตอนที่ข้ายังเด็กเคยถูกจับตัวมาที่นี่ เคยเห็นแผนที่ค่ายกลหลังเทวรูป มีทั้งหมดเจ็ดค่ายกล เดิมที่ใช้ค่ายกลดิน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นค่ายกลสวรรค์”
อ๋องเว่ยดีใจมาก “เจ้าเคยเห็นค่ายกล ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้ว่าเข้าไปอย่างไรหรือไม่ ”
“รู้”หมันเอ๋อพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ไม่ถูกต้อง หมันเอ๋อ แผนที่ค่ายกลข้าก็เคยเห็น แต่ถ้าหากไม่ได้อ่านหลายปีก็ไม่มีทางมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งได้แน่นอน เจ้าดูอยู่นานแค่ไหน”แม่นมฉินถามขึ้น
“ดูแค่ครั้งเดียว”หมันเอ๋อกลับมีความมั่นใจมาก “ข้าจำได้หมด วางใจได้ ข้ารู้ว่าจะต้องไปอย่างไร”
คำพูดของหมันเอ๋อ ทำให้คนบางส่วนที่หามาครึ่งค่อนวันจนรู้สึกท้อใจ เกิดฮึดสู้ขึ้นมาในทันที
แต่คำพูดต่อมาของหมันเอ๋อ กลับทำให้ความกระตือรือร้นของทุกคนดับมอดลง