บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1008 เขตหมอผี
ได้แต่ฟังหมันเอ๋อพูดต่อไปว่า “เขตหมอผีนี้เป็นการมาถึงดินแดนแห่งความตาย ถ้าเป็นไปได้อย่าพกอาวุธเข้าไปข้างในมากเกินไป พวกเราตอนนี้มีประมาณห้าพันคน ข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยต้องทิ้งอาวุธเอาไว้ครึ่งหนึ่ง”
อ๋องเว่ยคัดค้านขึ้นเป็นคนแรก “ไม่สามารถทิ้งอาวุธได้ ถ้าหากไม่มีอาวุธ ถ้าเข้าไปในเขตหมอผีแล้วจะให้ต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรืออย่างไร”
หมันเอ๋อแบมือออก “ท่านอ๋อง ถ้าหากทหารหลงทางอยู่ในเขตหมอผี และไม่สามารถกลับออกมาได้อีก ท่านโปรดชั่งใจด้วย”
คำพูดของหมันเอ๋อ ทำให้แม่นมฉินแคลงใจเป็นอย่างมาก นางมองหมันเอ๋อนิ่งๆ รู้สึกไม่ชอบมาพากล
นางเชิญอะซี่ออกไปอีกฟาก ถามขึ้นว่า “แม่นางอะซี่ ยาที่เจ้าให้หมันเอ๋อกิน เป็นยันต์เลือดอักษรวัสติกะที่ไทเฮาหลงให้มาจริงหรือ ”
อะซี่บอกว่า “ถูกต้อง พระชายารัชทายาทมอบให้ข้าเองกับมือ”
แม่นมฉินพูดว่า “ไม่ปกติ”
อะซี่นิ่งอึ้งไป “ไม่ปกติ อะไรไม่ปกติ นางนึกเรื่องเมื่อก่อนออกแล้วมิใช่หรือ”
แม่นมฉินเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “มีสองจุดที่น่าสงสัย จุดที่หนึ่ง แผนที่ค่ายกลของหมอผีมี ล้วนซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งและข้างในยังแฝงไปด้วยทฤษฎีที่ลึกล้ำ แม้จะดูแค่แวบเดียวแล้วจำการจัดวางของค่ายกลได้ แต่ค่ายกลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ขาดสาย เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกไขออกได้ง่ายๆ จุดที่สอง หลังจากนางแก้วิชาปลูกชีวีแล้ว นึกถึงเรื่องในอดีต เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าความเสียใจของนางนั้นมีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
อะซี่ครุ่นคิด หลังจากกินยาแล้ว หมันเอ๋อก็จำเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าโศกเศร้ามา อารมณ์แทบจะพังครืนลงมาด้วยซ้ำ หลังจากปลอบใจแล้วจึงอบอุ่นขึ้นมาบ้าง ดูแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อได้รับการเตือนจากแม่นมฉินเช่นนี้ อะซี่ก็รู้สึกน่าแปลกอยู่บ้าง
เมื่อก่อนตอนที่นึกถึงเรื่องราวขึ้นมา หมันเอ๋อทั้งกระโดดลงไปในทะเลสาบทั้งฝันร้าย แต่ทำไมวันนี้คำพูดปลอบโยนไม่กี่คำก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นได้แล้ว
แม่นมฉินพูดต่อไปว่า “เข้ามาในเขตหมอผี ไม่ให้พกพาอาวุธ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เขตหมอผีเป็นดินแดนแห่งความตาย แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับพลังชีวิตของคนเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาวุธหรือสิ่งนอกกายอื่นๆเลย”
อะซี่รู้สึกตกใจเล็กน้อย “แล้วทำไมหมันเอ๋อต้องพูดเช่นนี้ด้วย”
“ไม่รู้ ”สายตาของแม่นมฉินซับซ้อนมาก เงยหน้าขึ้นมองไปทางหมันเอ๋อ หมันเอ๋อกำลังพูดคุยกับหยู่เหวินเทียน ไม่ว่าจะมีท่าทีหรือน้ำเสียงที่พูดคุย รู้สึกได้ว่าไม่เหมือนค่อยเหมือนก่อนหน้านี้ “ข้าสงสัยว่าอาถรรพ์สาวหมอผียังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมด”
“แต่ยานี้ก็ไม่ใช่ของปลอม พระชายารัชทายาทให้ข้าเองกับมือ และหลังจากกินยาแล้ววิชาปลูกชีวีก็ถูกถอนออกแล้ว จำเรื่องราวในสมัยเด็กๆได้ ใช่แล้วแม่นมฉิน ท่านก็กินยาเช่นกัน ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ”อะซี่ถาม
แม่นมฉินพูดว่า “อาการของข้ากับหมันเอ๋อไม่เหมือนกัน การฝึกฝนของข้าในเจียงเป่ย สามารถสกัดกั้นได้เล็กน้อย ขณะเดียวกันในหลายปีมานี้ รู้สึกคุ้นเคยแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ด้วยเหตุนี้ หลังจากกินยาแล้วข้ารู้สึกค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากเข้าไปในภูเขาแล้ว ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และต้องคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของอาการนางให้มาก ”
อะซี่ฟังนางพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ยานี้ตามหลักแล้วไม่มีของปลอมแน่ ไทเฮาหลงไม่จำเป็นต้องทำร้ายทุกคน และหมันเอ๋อเองก็นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาแล้ว ความเศร้าเสียใจนั้นไม่เหมือนกับการแสร้งทำเลย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม่นมฉินคิดมากไปเอง เป็นเพราะหมันเอ๋อไม่ยอมรับนางฉะนั้นนางจึงคิดว่าหมันเอ๋อมีปัญหาหรือไม่
อะซี่คิดเช่นนี้ เงยหน้าขึ้นมองหมันเอ๋อกับหยู่เหวินเทียนที่โต้เถียงกันจนใบหน้าและหูแดงก่ำ นึกถึงเมื่อครู่ที่นางบอกว่ารู้ทางเข้าภูเขา ท่าทีนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่เหมือนหมันเอ๋อคนก่อนเลยไม่แต่น้อย
ขณะที่กำลังนิ่งอึ้ง ก็เห็นหยู่เหวินเทียนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป นางเดินเข้าไปถามหมันเอ๋อ “เจ้ากับท่านอ๋องเก้าทะเลาะอะไรกัน”
หมันเอ๋อถอนหายใจ “ข้าหวังให้เขาสามารถเกลี้ยกล่อมอ๋องเว่ยได้ ให้ทหารส่วนหนึ่งถอดชุดเกราะปลดอาวุธเข้าไปในภูเขา แต่ว่าเขาเองก็ไม่เห็นด้วย”
อะซี่มองนาง “เจ้าแน่ใจจริงๆหรือว่าไม่สามารถนำอาวุธเข้าไปได้มากเกินไป ในดินแดนแห่งความตายนี้ร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ แม้แต่อาวุธก็ไม่สามารถพกพาได้”
หมันเอ๋อพูดอธิบายว่า “อาวุธของเหล่าทหาร ส่วนมากเคยฆ่าศัตรูในสนามรบมาก่อน เคยเปื้อนเลือดแล้ว อาวุธนับว่าเป็นพลังที่แข็งแกร่ง และก็นับว่าเป็นพลังหยาง เลือดนับว่าเป็นพลังหยิน เขตหมอผีเป็นดินแดนหยินแห่งความตาย ในสถานการณ์ที่หยินและหยางไม่ถูกกัน กลับกลายเป็นว่าอาวุธจะไม่สามารถควบคุมได้ทำให้เกิดสถานการณ์ของการทำร้ายตนเองหรือคนอื่นเกิดขึ้น ข้าเสนอแนะให้ปลดอาวุธบางส่วนออก เพื่อหวังว่าจะทำให้พลังหยินหยางเกิดความสมดุล แต่อ๋องชุนไม่เห็นด้วย บอกว่าทหารจำเป็นต้องมีอาวุธ โง่เขลาเสียจริง”
อะซี่ได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่คำพูดสุดท้ายที่ว่าโง่เขลานั้น กลับทำให้นางได้ยินแล้วเกิดความรู้สึกไม่เข้ากันเลย
นางพยักหน้า “ข้าขอปรึกษากับสวีอีสักครู่ ดูสิว่าสวีอีจะสามารถเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องได้หรือไม่”
“ดี รีบไปเถอะ”หมันเอ๋อรีบพูดขึ้น
อะซี่ลากตัวสวีอีไปอีกฟากหนึ่ง กดเสียงลงต่ำและพูดว่า “นกพิราบสื่อสารที่จวิ้นจู่จิ่นหนิงส่งมาเล่า”
“อยู่บนหลังม้า ”สวีอีเห็นนางเหมือนมีลับลมคมใน ก็ถามขึ้นว่า “ทำไมหรือ”
“ส่งจดหมายกลับไปให้จวิ้นจู่ และบอกว่าหลังจากหมันเอ๋อกินยาแล้วน่าประหลาดอยู่บ้าง ให้จวิ้นจู่ช่วยทูลถามไทเฮาดู นี่นับว่าเป็นอาการอะไรกันแน่”
อะซี่พูดแล้ว ก็กำชับอีกคำหนึ่งว่า “ตอนที่ปล่อยนกพิราบสื่อสารอย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด”
สวีอีมองนาง “เจ้าก็รู้สึกว่าหมันเอ๋อผิดปกติเช่นกันหรือ”
“ทำไม เจ้าก็รู้สึกไม่ถูกต้องเช่นกันหรือ”อะซี่เห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ก็ถามขึ้นมา
สวีอีลากตัวนางออกไปไกลอีกนิด ,“ไม่ไม่เห็นหรือว่าหลังจากนางกินยาแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ใหญ่ แต่น้ำตาไม่มีสักหยด ดวงตาไม่แดงไม่บวม เจ้าปลอบนางไม่กี่คำ นางก็แสดงออกให้เห็นเหมือนคนไม่เป็นอะไร สมมุติว่าเป็นเจ้า รู้ว่าตนเองถูกฆ่าล้างโคตรขึ้นมาอย่างกะทันหัน เจ้าสามารถถูกคนอื่นปลอบใจแค่ไม่กี่คำก็ไม่เป็นไรได้หรือไม่ ”
อะซี่ขมวดคิ้วขึ้นมา แม้แต่สวีอีที่เป็นคนหยาบกระด้างยังพบความผิดปกติได้ เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาแน่นอน “เจ้ารีบปล่อยนกพิราบสื่อสาร อย่าชักช้าเด็ดขาด ”
“ได้”สวีอีหมุนตัวไปทันที
ไม่ว่าอย่างไรอ๋องเว่ยก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ทิ้งอาวุธบางส่วนไป หมันเอ๋อต้านเขาไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่อ๋องเว่ยสั่งการ เช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพใหญ่เริ่มเคลื่อนเข้าไปในภูเขา และก่อนจะเข้าภูเขา อ๋องเว่ยเฝ้าระวัง ให้เสี้ยวหงเฉิงกับลู่หยวนนำคนจำนวนหนึ่งหยุดอยู่ที่เดิม เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดได้
เปิดม่านเมฆหมอก เดิมคิดว่าเขตหมอผีจะมีอะไรที่แตกต่างออกไป แต่ว่า ตลอดการเดินทางเกือบจะหนึ่งชั่วยาม ก็ไม่พบว่ามีจุดแปลกประหลาดแต่อย่างไร ก็แค่ทางเดินบนภูเขาธรรมดาเท่านั้น
ถ้าหากจะดึงดันบอกว่าที่นี่ไม่เหมือนกับภูเขาลูกอื่น นั่นก็คงจะเป็นต้นไม้บนภูเขานี้ล้วนขึ้นอยู่ตามไหล่ทางทั้งสองข้าง และต้นไม้ทุกต้นก็มีความเล็กใหญ่สูงต่ำเกือบจะเท่ากัน ราวกับมีคนปลูกและดูแลก็ไม่ปาน กิ่งไม้ที่ยื่นออกมาบนทางก็ถูกตัดแต่งทั้งหมด มีเพียงตรงทางเลี้ยวเท่านั้น จึงสามารถมองเห็นกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา
ไม่มีสัตว์ป่าแปลกประหลาดอะไร แล้วก็ไม่มีดอกไม้ที่มีลวดลายสีสันสดใสอะไร กระทั่งเดินมานานขนาดนี้แล้ว แม้แต่มดหรือแมลงมีพิษสักตัวก็ไม่เคยเห็น
ในภูเขาเงียบสงบมาก เงยหน้าขึ้น เห็นนกอินทรีบินวนอยู่เหนือศีรษะ บางเวลาก็บินโฉบลงมา บางเวลาก็กระพือปีกบินขึ้นสูง ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาอยู่หลายส่วน
เงยหน้าขึ้นมองไปบนภูเขา เมฆหมอกโอบล้อม เห็นใบไม้สีเขียวบางส่วนที่ปรากฏขึ้นได้อย่างไม่ชัดเจนนัก นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว
แต่ว่า อ๋องเว่ยยังคงรู้สึกไม่ปกติ หยุดลงและถามแม่นมฉิน “พระอาทิตย์อยู่ทิศทางใด ทำไมจึงมองไม่เห็น ตั้งแต่เข้ามาในภูเขาแทบจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์เลย”
แม่นมฉินพูดว่า “ในเขตหมอผีนั้นเป็นดินแดนแห่งความตายจริงๆ น้อยมากที่แสงแดดจะส่องถึงได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยซะทีเดียว”
“แสงแดดส่องมาไม่ถึงแต่พวกเราเงยหน้าขึ้นก็สามารถเห็นพระอาทิตย์ได้กระมัง อีกอย่าง ต้นไม้บนภูเขาเติบโตได้ดีมาก ไม่เหมือนกับเป็นสถานที่ที่ไม่เห็นแสงตะวัน”อ๋องเว่ยมองไปรอบๆทั้งสี่ทิศ หนานเจียงอบอุ่นกว่าเมืองหลวงมาก ที่นี่แทบจะไม่รู้สึกถึงฤดูหนาวอย่างแท้จริง ใบไม้เขียวขจีเต็มภูเขา ไม่มีใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นลงมา
ดูจากความเจริญเติบโตของต้นไม้ ไม่เหมือนดินแดนแห่งความตายเลยสักนิด