บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1011 เจ้าไม่ใช่หมันเอ๋อ
พักผ่อนหนึ่งคืน วันที่สองก็เริ่มออกเดินทาง ในใจทุกคนไม่สงสัยในตัวหมันเอ๋ออีก วางใจเดินทางไปพร้อมกับนาง
เข้ามาถึงวงแหวนสวรรค์ ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา ที่นี่หนาวเยือกเย็นอย่างมาก มีต้นไม้มีมากกว่าวงแหวนพิภพอย่างมาก และเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สูงตระหง่าน ถนนก็เห็นไม่ชัดเจน ล้วนกำลังเหยียบย่ำต้นหญ้า บนพื้นลื่นมาก จากการสะสมใบไม้ร่วงเป็นเวลานาน เพราะมีความชื้นมาก หายใจจึงค่อนข้างลำบาก
หมอกเมฆหนาแน่นกว่าวงแหวนพิภพ มองเห็นทัศนะวิสัยประมาณห้าหรือหกเมตร เพื่อให้ทุกคนมองเห็นนาง หมันเอ๋อหักกิ่งไม้ชูผ้าเช็ดหน้าสีแดงของตนเอง แล้วก็เข้าไปในหมู่เมฆหมอก คนที่ตามหลังก็สามารถเห็นผ้าสีแดงผืนนี้ อย่างไม่หลงทาง
อะซี่รู้สึกหายใจยิ่งอยู่ก็ยิ่งลำบาก ทั่วทั้งหุบเขา ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของทุกคน มีเสียงคนไอหลายทีเป็นบางครั้ง จากนั้นเสียงไอแต่ละคนค่อยๆดังขึ้น
“มีคนเป็นลมแล้ว” ภายในขบวน ได้ยินเสียงคนกรีดร้องขึ้นมาในทันใด อ๋องเว่ยรีบเดินไปทางด้านหลัง คนที่เป็นลมเป็นทหารคนหนึ่ง สีหน้าเขียวม่วง ริมฝีปากจะซีดขาวและแฝงไปด้วยสีม่วง เป็นอาการของการหายใจไม่ออก
“หลบหน่อย ไม่ต้องล้อมรอบเขา” อ๋องเว่ยพูดขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึม ยกแขนเสื้อขึ้นแล้วก็ช่วยพัดให้กับเขา มีทหารช่วยบีบนวดให้กับเขา จากนั้นสักพัก เขาก็ค่อยๆฟื้นขึ้นมา แต่ดูแล้วคงเดินต่อไปไม่ไหว
“หาคนมาแบกเขา โดยหมุนเปลี่ยนกันแบก” อ๋องเว่ยออกคำสั่งพูดขึ้น
แบกหนึ่งคนแล้วก็เดินหน้าต่อ แต่ต่อมากลับยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีคนเป็นลมเยอะขึ้น ภายใน 1 ชั่วโมง มีคนเป็นลมไปแล้วสิบกว่าคน แม้แต่อะซี่ก็ทนไม่ไหว ต้องให้สวีอีแบกไว้
ในใจอ๋องเว่ยแอบเป็นกังวล จึงเดินไปถามหมันเอ๋อว่า “วงแหวนสวรรค์นี้ ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเดินออกไปได้?”
หมันเอ๋อชูผ้าเช็ดหน้าสีแดงไว้ หันมามองดูอ๋องเว่ยอย่างสงบ พร้อมพูดขึ้นว่า “อย่างน้อย 6 ชั่วโมง นี่คือเร็วที่สุดแล้ว”
“ยังเหลืออีก 5 ชั่วโมงหรือ?” อ๋องเว่ยพูดขึ้นอย่างตกใจว่า “หกชั่วโมงฟ้าก็มืดแล้ว จะต้องพักที่นี่หนึ่งคืนหรือ? แบบนั้นจะได้อย่างไร?”
หมันเอ๋ออมยิ้มขึ้นมาพร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ไม่ได้ก็ไม่มีหนทางแล้ว เดินย้อนกลับเป็นวงแหวนพิภพ ท่านไม่อยากช่วยจวิ้นจู่แล้วหรือ?”
รอยยิ้มนี้ปรากฏในสายตาอ๋องเว่ย ดูผิดปกติอย่างไม่สบายใจ โดยเฉพาะเป็นการหลบซ่อนอยู่ในหมู่หมอกเมฆ ยิ่งทำให้รู้สึกแปลกประหลาด แต่ประโยคที่ว่า “ท่านไม่ช่วยจวิ้นจู่แล้วหรือ?” ประโยคนี้ยังคงทำให้อ๋องเว่ยรวบเก็บความสงสัย สั่งกองกำลังใหญ่เดินหน้าต่อไป
ยิ่งเดินไปข้างหน้า หมอกเมฆก็ยิ่งหนาแน่น คนที่อยู่ใกล้ชิดกันก็แทบมองเห็นไม่ชัดเจน เห็นเพียงสีแดงโบกลอยอยู่ข้างหน้าอย่างสลัว ทุกคนต่างก็ไม่กล้าเดินช้า เดินไล่ติดตามไป กลับยิ่งอยู่ก็ยิ่งหายใจลำบาก แล้วก็มีคนล้มลงอีกบางส่วน
เพราะหายใจลำบาก ตนเองก็เดินอย่างทุกข์ยากแล้ว ยังต้องแบกคนอีก เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระเท่าตัว ไม่ช้า คนที่แบกคนก็เป็นลมไปหลายคน ความตื่นตระหนกหวาดกลัวเริ่มลามไปสู่เหล่าทหาร
ในใจแม่นมฉินก็ยิ่งอยู่ยิ่งบสน ดึงหยู่เหวิยเทียนไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ผิดปกติ เจ้าไปเดินติดตามใกล้ชิดหมันเอ๋อ จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดที่สุด หากท่านก็พบว่าผิดปกติ ก็ให้จับตัวนางไว้ อย่าให้นางหนีไป”
หยู่เหวิยเทียนปักดาบไว้บนพื้น หายใจเข้าหนึ่งที พร้อมพูดขึ้นว่า “อย่างไรถึงถือว่าผิดปกติ? ตอนนี้ข้าก็รู้สึกว่าผิดปกติอย่างมาก อีกอย่าง เดิมที่เจ้าพูดถึงสัตว์หายากและแปลกใหม่เหล่านั้น วัชพืชดอกไม้ป่ามีพิษ ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง มีแต่หมอกเมฆพวกนี้”
นี่เป็นสถานที่อะไรกันแน่? ทำไมแม้แต่หายใจก็ลำบากขนาดนี้
แม่นมฉินเพราะรู้สึกว่าแปลกตรงนี้ วงแหวนพิภพกับวงแหวนสวรรค์ของเขตหมอผี ล้วนมีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่ และข้างทางก็มีวัชพืชดอกไม้ป่ามีพิษ ดอกไม้กินคนก็มี แต่ก็เดินมาถึงวงแหวนสวรรค์แล้ว นอกจากวงแหวนรอบนอกที่บรรจบกับวงแหวนพิภพจะเห็นงูพิษและแมลงมีพิษแล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
อีกอย่าง แม้แต่นางเองก็รู้สึกหายใจค่อนข้างลำบาก นางเคยเดินผ่านในเขตหมอผีหลายครั้ง อย่างแรกหมอกเมฆไม่หนาแน่นขนาดนี้ สามารถมองเห็นถนนได้อย่างชัดเจน
อย่างที่สองจะไม่มีอาการหายใจลำบาก นางไม่ถือว่าอาการหนัก ถือว่ายังสามารถหายใจได้ปกติ แต่คนอื่นอาการหนักมาก หากพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกาย ถึงแม้นางจะมีศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ละเลยการฝึกฝนมาเป็นปีแล้ว เทียบกับทหารหนุ่มไม่ได้ แต่อาการของพวกเขาสาหัสกว่านางอย่างมาก แม้แต่อ๋องชุนก็ดูแย่กว่านางมาก
“ไม่ต้องสนใจ หากนางเดินเร็ว ไม่ว่ายังไงก็จะต้องตามไป” ในใจแม่นมฉิน ก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร จึงรีบให้หยู่เหวิยเทียนไปติดตามหมันเอ๋อ
นางยังมีความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือหมันเอ๋อถูกเลือดอาถรรพ์
แต่ความเป็นไปได้นี้มีน้อยมาก เพราะเท่าที่นางรู้ หลายปีมานี้นอกจากมีหมอผีคนหนึ่งที่ตัดขาดออกจากโลกภายนอกแล้ว ก็ไม่มีหมอผีตายจากไป เลือดอาถรรพ์นี้เป็นการแลกด้วยชีวิตของหมอผี หากเพื่อลงเลือดอาถรรพ์ แล้วเสียสละหมอผีคนหนึ่ง นั่นเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มเลย
หยู่เหวิยเทียนก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว รู้สึกว่าวงแหวนสวรรค์นี้แปลกประหลาดอย่างมาก จึงรีบไปไล่ตามหมันเอ๋อที่เดินนำอยู่ข้างหน้า
หมันเอ๋อเดินเร็วมาก เขาก็ตามมาเร็ว พูดไปก็แปลก ตอนที่ตั้งใจจะไล่ตามหมันเอ๋อ เขากลับหายใจไม่ลำบากเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หมอกเมฆตรงหน้า ก็ดูเหมือนจะไม่หนาแน่นขนาดนั้น
เขานึกว่าจะสามารถเดินออกจากวงแหวนสวรรค์ได้ในไม่ช้าแล้ว จึงรีบหันไปตะโกนพูดกับทุกคนว่า “เร็ว…..”
เขาหยุดคำพูด แล้วมองถนนด้านหลังอย่างตกตะลึง ถนนด้านหลังแทบไม่มีหมอกเมฆอะไรเลย แต่ ขบวนใหญ่ที่ตามเขาอยู่ด้านหลังเมื่อกี้ กลับไม่เห็นแล้ว
ในใจของเขาสั่นสะเทือน หันไปถามหมันเอ๋อ แต่ยังไม่ทันได้ถาม กลับรู้สึกปวดท้อง เขาก้มลงมองดู ก็เห็นปิ่นปักผมอันหนึ่งเสียบอยู่ที่ท้อง เลือดไหลออกมา เงาร่างคนคนหนึ่งค่อยๆถอยห่าง ยืนห่างออกไปสิบฟุตแล้วมองดูเขา ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มมืดมน
“หมันเอ๋อ เจ้า…..” เขากุมท้องไว้ มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้วงความฝัน ไม่แท้จริง จนเมื่อมือทั้งคู่สัมผัสถึงเลือด รู้สึกเจ็บปวดบริเวณท้อง ค่อยรู้สึกถึงความจริงขึ้นมา
หมันเอ๋อหัวเราะเยาะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ล่วงเกินแล้ว”
“ทำไม?” หยู่เหวิยเทียนมองดูนางอย่างไม่อยากเชื่อ พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมเจ้าต้องลงมือทำร้ายข้า? ข้าเคยช่วยชีวิตเจ้า”
“ท่านอ๋องไม่ควรที่จะไล่ตามมา” หมันเอ๋อเงยหน้าขึ้น มองดูเขาด้วยท่าทีแลดูพอใจ ถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ในเขตหมอผีนี้เข้ามาไม่ง่าย คนที่บุกรุกเข้ามาในเขตหมอผี ล้วนต้องตายทั้งหมด”
หยู่เหวิยเทียนพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “พวกเขา…พวกเขาล่ะ?”
หมันเอ๋อหัวเราะอย่างหม่นหมอง พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเขาจะเดินวนอยู่ที่นี่ เดินวนตลอดจนตาย แต่ว่าไม่นาน พวกเขาก็จะหายใจไม่ออก ไม่ต้องรอจนหิวตาย วางใจได้ พวกเขาจะไม่ทุกข์ทรมานอย่างมาก”
หยู่เหวิยเทียนมองดูใบหน้าของนาง ที่เปลี่ยนกลายเป็นน่ากลัวอย่างแปลกประหลาดขึ้นมาในทันใด พร้อมพูดขึ้นอย่างตกตลึงสงสัยว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าไม่ใช่หมันเอ๋อ”
หมันเอ๋อหัวเราะเสียงดังขึ้นมาในทันใด หัวเราะเสร็จ แล้วก็มองดูหยู่เหวิยเทียน พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่หมันเอ๋อแล้วจะเป็นใคร? ข้าก็คือหมันเอ๋อ ยังไม่ได้ขอบคุนท่านอ๋องที่ช่วยชีวิตไว้เลย”
หยู่เหวิยเทียนจ้องมองนางอยู่สักพัก จู่ๆก็ปล่อยมือที่กุมท้องไว้ รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วบีบคอของนางไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “เจ้าไม่ใช่ เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หมันเอ๋อถูกบีบคอไว้ เท้าทั้งคู่ลอยขึ้น กลับไม่หวาดกลัว ใบหน้าที่แดงก่ำ เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นมาอย่างช้าๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยลมหายใจเย็นยะเยือก
“พูดมา พวกเขาล่ะ? เจ้ารีบพาพวกเขาออกมา” หยู่เหวิยเทียนร้อนใจ และก็ไม่กล้าฆ่านางจริงๆ ทำได้เพียงโยนลงบนพื้น พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโห