บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1022 เส้นทางที่แตกต่าง
เมื่อจิ้งเหอได้ยินดังนั้นแล้วก็เงียบ หลังจากนิ่งงันอยู่พักหนึ่งก็ไปหาหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิง
ตั้งแต่จากกันที่เมื่อหลวงก็ผ่านไปนานมากแล้ว จิ้งเหอได้ยินว่าหยวนชิงหลิงขนาดท้องสองก็คลอดแล้ว อดสะท้อนใจเป็นไม่ได้ “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
“เจ้าจะกลับเมืองหลวงไหม? คนที่บ้านเจ้าก็คิดถึงเจ้านะ น่าจะกลับไปเยี่ยมได้แล้ว” หยวนชิงหลิงกล่าว
แต่จิ้งเหอกลับพูดอย่างขมขื่น “หลายปีที่อยู่ข้างนอก ครอบครัวเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจปล่อยวางได้เลย อยากกลับไปดูสักหน่อย แต่ก็กลัวว่ากลับไปแล้วจะออกมาไม่ได้อีก จะอยู่ก็อยู่ไม่ไหว”
หยู่เหวินเห้าจึงเอ่ย “เจ้าอยู่ข้างนอกตามลำพัง ทั้งยังไม่เป็นวรยุทธ์ อันตรายมาก คนรับใช้ข้างตัวซักคนก็ไม่มี กลับเมืองหลวงดีกว่า ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้า”
จิ้งเหอหัวเราะ “ชินแล้วล่ะ ถ้าตอนนี้มีคนรับใช้ข้ายังจะไม่ชินเสียอีก ข้อดีของการอยู่ตัวคนเดียวก็คือเจ้าอยากทำอะไรก็ได้ทำ ชินกับวันเวลาที่อิสระกลับไปอยู่แบบมีพันธนาการไม่ได้แล้ว ที่ข้ามาหาพวกเจ้าก็เพราะอยากให้พวกเจ้าเกลี้ยกล่อมให้เขาไปต้าโจว ขอให้ท่านแม่ทัพช่วยขอร้องท่านอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ เขาเป็นขุนพล แขนหักแล้วภายภาคหน้าจะปกป้องแคว้นได้ยังไง?”
หยู่เหวินเห้าทอดสายตาออกไป อ๋องเว่ยก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน สายตาหวาดหวั่นผิดหวัง เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้ามองมาเขาก็ตั้งศีรษะตรง ดวงตาแฝงการไต่ตาม
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าเขายังรักจิ้งเหออยู่ เรื่องที่พี่สามตะลุยจีบนางยังราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หยู่เหวินเห้ารู้สึกเสียดายมาก
“ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขา แต่เจ้าก็รู้ว่าพอพี่สามหัวรั้นขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่ ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เขาเสี่ยงอันตรายที่จะถูกตีขาหักก็ต้องพาเจ้าไป…” หยู่เหวินเห้าพูดแต่พองามก็หยุด แล้วมองจิ้งเหอจวิ้นจู่
ดวงตาจิ้งเหอนิ่ง “อย่างกับเรื่องเมื่อชาติที่แล้วแน่ะ”
“ถ้าเจ้ายอมไปกับเขา เขาต้องไม่ปฏิเสธแน่” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
จิ้งเหอชะงัก “ข้าไป?”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ลำบากใจนิดหน่อย แต่ที่จริงก็ไม่เป็นไร ไม่มีแขนข้างหนึ่งก็ยังเข้าสนามรบได้เหมือนกัน อย่างมากก็แค่อันตรายมากหน่อยเท่านั้น แต่สงครามที่ไหนไม่อันตรายล่ะ?”
จิ้งเหอขมวดคิ้ว ถอนหายใจเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินแล้วหมุนตัวจากไป
เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นความกังวลหนักจากดวงตานางแล้ว จึงอดบ่นหยู่เหวินเห้าไม่ได้ “ทำไมเจ้าต้องขู่นางด้วยล่ะ? นี่ไม่ทำให้นางเสียใจหรอกหรือ?”
“เจ้าไม่รู้สึกเสียดายพวกเขาหรือ?” หยู่เหวินเห้ายื่นมือโอบไหล่หยวนชิงหลิง นั่งอยู่ที่พื้นเขา ลมหนาวพัดโชย พัดจนปวดใบหน้า
หยวนชิงหลิงอิงอยู่ที่ไหล่ของหยู่เหวินเห้า “เสียดาย แต่จะทำยังไงได้ล่ะ? ตอนนี้ยังกลับไปเหมือนเมื่อก่อนได้อีกหรือ?”
“ไม่ได้หรือ? พี่สามก็สำนึกผิดแล้ว” หยู่เหวินเห้าเอ่ย รู้ผิดรู้แก้เป็นยอดคน เสเพลกลับใจทองแลกก็ไม่ยอมไง
หยวนชิงหลิงเอ่ย “เขาสำนึกผิดจะมีประโยชน์อะไร? เขาไม่ใช่คนที่ถูกทำร้ายซักหน่อย”
“ผู้หญิงคิดเล็กคิดน้อย” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
หยวนชิงหลิงหงุดหงิด “ยังต้องแบ่งชายแบ่งหญิงอะไรอีก? อย่างเช่นนะ ถ้าข้านอกใจไปท้องกับผู้ชายข้างนอก เจ้าจะยกโทษให้ง่ายๆ ไหม?”
หยู่เหวินเห้าถลึงตาใส่นางทันที “พูดถึงพี่สามก็พี่สามสิ พูดถึงพวกเราทำไมกัน? ถ้าเจ้าทำอย่างนั้นข้าจะหักขาเจ้าซะ แล้วให้ม้าแยกร่างหงเย่ซะ”
หยวนชิงหลิงซัดเข้าที่แขนเขาทีหนึ่ง “ข้าก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น เกี่ยวอะไรกับหงเย่? ข้าจะหาชายอื่นต้องหาแต่หงเย่เท่านั้นหรือ? ในแผ่นดินมีผู้ชายตั้งมากมาย”
หยู่เหวินเห้าโมโหเอ่ย “ตอนนี้ก็มีแต่เขาที่ตาต่ำมาชอบเจ้านั่นแหละ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นที่ชื่นชอบมากหรือยังไง?”
หยวนชิงหลิงอารมณ์เสีย “ใช่สิ! ข้ามันไม่เป็นที่ชื่นชอบ ข้าหาคนมาชอบไม่ได้แล้ว เพราะงั้นตอนนี้เจ้าก็เลยปักใจคิดว่าข้าจากเจ้าไปไม่ได้ หยู่เหวินเห้า อย่ารังแกกันให้มากนักนะ ในเมื่อเจ้าเอาแต่พูดถึงหงเย่ งั้นข้าก็จะกลับเมืองหลวงไปหาเขา!”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปทันที
หยู่เหวินเห้าโมโหพูด “ตัวเองพูดผิดแล้วมาโทษข้า แม้แต่ผู้หญิงคนอื่นข้าก็ยังไม่กล้าชายตามอง เจ้ายังอยากไปมีลูกกับคนอื่นหรือ? เจ้าไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยล่ะ? ยังจะกลับไปหาหงเย่อีก ไปเลย!”
เมื่อสวีอีกับอะซี่ได้ยินเสียงวิวาท อะซี่ก็ตามหยวนชิงหลิงไป ส่วนสวีอีก็เดินเข้ามาถาม “องค์ชาย พระชายาจะไปมีบุตรกับใครหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ใครบอกว่ามี? สมมุติเท่านั้น!”
“สมมุติแล้วท่านยังโกรธอีก? หากเป็นเรื่องจริงมิต้องเป็นเรื่องใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีหัวเราะ
หยู่เหวินเห้าถลึงตาใส่สวีอีด้วยความคับอก หากเป็นจริงก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว เมื่อเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว ตอนนี้เขาจึงเข้าใจการไม่ให้อภัยของจิ้งเหอ
แต่หากเจ้าหยวนไปหาชายชู้ แล้วยังแขนหักเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อช่วยเขา เช่นนั้นเขาจะยกโทษให้นางไหม? เมื่อคิดเช่นนั้นหยู่เหวินเห้าก็สูดลมเย็นเข้าลึก เขารับที่จะเป็นแบบนี้กับเจ้าหยวนไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง มีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไร?
หลังจากโศกนาฏกรรมในสมรภูมิผ่านพ้น บุญคุณความแค้น ชีวิตประจำวันก็กลับมาเป็นปกติสักที คนที่มีความคิดต่างก็ไปตามหนทางแห่งตน
จิ้งถิงกับจิ่นหนิงจะกลับต้าโจว ดังนั้นก่อนที่จะจากกันไปตามทางของตัวเองจึงถามอ๋องเว่ยอีกครั้ง ถามว่าเขาจะตามไปต้าโจวด้วยกันหรือไม่ หากจะไปก็ต้องส่งคนไปอารักขาจำนวนหนึ่ง
ทว่าอ๋องเว่ยกลับปฏิเสธ บอกว่าจะกลับจวนเจียงเป่ยกับอ๋องอาน คำพูดนี้ทำจนอ๋องอานตบปากเขาไปทีหนึ่งทันที “เจ้าบ้าไปแล้วใช่ไหม? รักษาได้ทำไมไม่รักษา?”
อ๋องเว่ยเดือดพลุ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจเอาคืนจึงพูดด้วยความโมโห “เกี่ยวอะไรกับเจ้า? คนที่แขนหักก็ไม่ใช่เจ้าซักหน่อย!”
อ๋องอานหน้าเขียวปั้ด “ทำไมจะไม่เกี่ยว? ถ้าเจ้าแขนหักกลับไป เหยียนเอ๋อก็ต้องโทษข้าอีกนะสิ แล้วไม่ต้องเอาเรื่องสมัยก่อนที่ข้าทำมาโกรธข้าอีกหรือ? เจ้าสิ้นหวังเองอย่างมาทำให้ข้าพลอยลำบากไปด้วยสิ”
อ๋องเว่ยพูดอย่างเย็นชา “ไม่เกี่ยวกับเจ้า! ไม่ต้องพูดมาก ไม่ไปก็คือไม่ไป!”
จิ้นถิงประสานมือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเราสองสามีภรรยาก็ขอลาพวกท่านตรงนี้นะพ่ะย่ะค่ะ โปรดรักษาตัวด้วย วันข้างหน้าหากมีโอกาสแล้วค่อยพบกัน”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพและจวิ้นจู่มากที่มาช่วยเหลือ!” อ๋องเว่ยพูดอย่างซาบซึ้ง
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!” แม่ทัพจิ้นถิงประสานมืออีกครั้ง แล้วหันไปบอกลากับหยู่เหวินเห้า แต่กลับได้ยินเสียงเรียกของจิ้งเหอจวิ้นจู่ “ท่านแม่ทัพ โปรดรอก่อน!”
จิ้นถิงหันไปมองจิ้งเหอ “เชิญจวิ้นจู่พูด!”
จิ้งเหอย่อคำนับ “คำพูดขอบคุณข้าไม่ขอพูดให้มากความ บุญคุณยิ่งใหญ่ ข้าจะจดจำใส่ใจ แต่ยังอยากถามท่านแม่ทัพซักหน่อย หากจะตามท่านแม่ทัพไปด้วย ไม่ทราบจะช่วยขออ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อแขนให้เขาได้หรือไม่?”
จิ้นถิงเอ่ย “อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ฉินเทียนมากด้วยเมตตา ทั้งต้าโจวกับเป่ยถังก็เป็นพันธมิตรกัน อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ฉินเทียนต้องยินดีช่วยแน่”
อ๋องเว่ยกล่าว “ไม่ต้องรบกวนท่านหรอก ข้าไม่ไป”
จิ้งเหอมองเขา นัยน์ตาเย็นชา แต่กลับแน่วแน่ไม่อาจค้าน “พวกเราจะไป!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา อ๋องเว่ยก็ตะลึงไปพักหนึ่ง นัยน์ตารับลมมาพักหนึ่งแล้วก็แดงขึ้น อ๋องอานใช้เท้าถีบเขาไปที “จะไปไม่ไป?”
อ๋องเว่ยถลึงตาใส่เขา แล้วถึงมองจิ้งเหอ เสียบแหบ “ได้ พวกเราจะไป”
เมื่อนั้นจิ้นถิงก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ ท่านอ๋องโปรดเตรียมคนติดตามไปด้วยสักหน่อย ตอนนี้ทรงร่างกายอ่อนแอ ไม่สะดวกเดินทาง พาคนไปอีกซักหน่อยจะปลอดภัยกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องอานจึงกล่าว “ได้ ข้าจะไปจัดการ”
จากนั้นจิ้นถิงจึงบอกลากับหยู่เหวินเห้า พวกเขาออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ร่วมเป็นร่วมตายเป็นครั้งที่สองแล้ว เมื่อต้องจากกันตรงนี้ก็ให้อาลัยนัก
หยู่เหวินเห้ากล่าว “หวังจริงๆ ว่าท่านจะมาพักเป่ยถังซักระยะ ก่อนหน้านี้พวกเราพูดกันแล้วว่าต้องเหยียบผืนดินทั่วเป่ยถังกับต้าโจวด้วยกัน หวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์กับพระชายาหาเวลาว่างได้ก็มาหากระหม่อมที่เมืองเม่า ท่องเที่ยวเมืองเม่าทั่วก่อนแล้วค่อยไปที่อื่นนะพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นถิงกล่าวด้วยความอาลัย
“แน่นอน!” ดวงตาสองคู่สบกัน ไม่ปกปิดความเสียดายแม้แต่น้อย