บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1024 ทะเลาะกันทำไม
อะซี่ไปหาหยวนชิงหลิง ส่วนสวีอีก็ไปหาหยู่เหวินเห้า
เมื่อสวีอีเห็นท่าทางหยู่เหวินเห้ายังโกรธจัดอยู่ ก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “นายท่าน ท่านโกรธอะไรกันน่ะขอรับ? ก็แค่คำพูดประโยคเดียวไม่ใช่หรือ? พวกท่านผ่านอุปสรรคด้วยกันมาเท่าไรแล้ว กับแค่คำพูดประโยคเดียวก็จะแบ่งลูกกันเนี่ยนะ?”
หยู่เหวินเห้าระบายอารมณ์ไปยกหนึ่ง และรู้สึกว่าการวิวาทกันครั้งนี้ไม่มีเหตุผล เขาถามสวีอี “เจ้าว่าข้าผิดหรือเปล่า?”
สวีอีเอ่ย “เรื่องนี้มีผิดถูกที่ไหนกันขอรับ? ก็แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ยังต้องพูดถึงถูกผิดอีก? แถมยังจะแบ่งลูก? นี่มันเกินไปแล้ว ไม่เหมือนท่านด้วย”
หยู่เหวินเห้านั่งขัดสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้ายังมึนงงอยู่เล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าจิตใจหงุดหงิดเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลาที่พูดถึงหงเย่…”
“งั้นท่านไม่ต้องพูดถึงก็ได้นี่ขอรับ”
หยู่เหวินเห้านิ่งงัน “ชื่อนี้ชอบผุดอยู่ในใจอยู่เรื่อย ข้าก็บอกไม่ถูกว่าทำไมเป็นอย่างนี้ แถมพอผุดขึ้นมาก็ทำให้นึกถึงคำพูดที่เขาพูดตอนอยู่ริมทะเลสาบ อย่างกับมีมารเข้าคุมจิตใจ ขนาดตอนนี้พูดถึงก็รู้สึกร้อนรุ่มกระวนกระวาย อารมณ์เสีย ก่อนมาเจียงเป่ย ถึงจะบอกว่านึกถึงแล้วจะรู้สึกเคืองๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้”
“หงเย่ก็ใส่กู่อะไรไม่เป็น ท่านนั่นแหละที่คิดไปเอง หรือว่าท่านคิดว่าหงเย่จะแย่งพระชายาไปได้จริงหรือ? พระชายานิสัยยังไง ท่านน่าจะรู้ดี” สวีอีเอ่ย
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว คิดไปเอง? ที่จริงเขาเชื่อเจ้าหยวนหมดใจ และไม่เชื่อว่าหงเย่จะแย่งนางได้ด้วย คำพูดนั้นแม้ฟังแล้วจะปวดใจ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็แค่หมองใจนิดหน่อยเท่านั้น เหตุใดตอนนี้ถึงทำให้เขากับเจ้าหยวนปล่อยอารมณ์กันได้ถึงเพียงนี้?
ส่วนทางอะซี่ก็ดึงหยวนชิงหลิงเข้าห้องครัว ที่พักคนเดินทางมีห้องครัวเฉพาะ อะซี่ไล่คนออกไป จากนั้นก็นวดแป้งทำซุปเส้นแบนให้หยวนชิงหลิง แล้วเกลี้ยกล่อม “พี่หยวน ท่านกับองค์รัชทายาทเกิดอะไรขึ้น? เรื่องนิดเดียวก็ทะเลาะกัน มันไม่น่าเลยนี่”
หยวนชิงหลิงกินไปสองสามคำ จิตใจว้าวุ่นมาก “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเกิดอะไรขึ้น เอาแต่พูดถึงหงเย่ ข้าไม่เกี่ยวข้องกับหงเย่ซักหน่อย แต่เขาก็เอาแต่พูดอยู่นั่นแหละ ฟังจนอารมณ์ขึ้น”
เมื่อนั้นอะซี่จึงหัวเราะ “นี่มีอะไรให้น่าโมโหกัน? แสดงว่าเขาใส่ใจท่านมากไง อีกอย่าง ข้อเสียขององค์รัชทายาทก็มีเป็นกอง ท่านยังทนรับได้ ทำไมพูดนิดหน่อยก็ถือโทษเสียแล้วล่ะ?”
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองนาง ตะลึงเล็กน้อย “ข้อเสียเป็นกอง? มีข้อเสียอะไรหรือ?”
หือ?
อะซี่นั่งลงนับนิ้ว “ขี้เหนียว ดุ๊ดุ ขี้โมโห ความรู้ไม่รอบ ชอบหักเงินเดือน อาศัยผลประโยชน์จากผู้อื่น…”
หยวนชิงหลิงฟังแล้วก็งุนงง รีบยื่นมือไปกดนิ้วอะซี่ไว้ “ไม่ถูกนี่ อะซี่ นี่สวีอีเป็นคนพูดแล้วมั้ง? นี่มันถือเป็นข้อเสียอะไรกัน? ขี้เหนียวนั่นสืบเชื้อมาจากบรรพบุรุษ โทษเขาไม่ได้ ดุกับขี้โมโหก็แค่กับสวีอีเท่านั้น กับคนอื่นก็เป็นมิตรดีนี่ สำหรับความรู้ไม่รอบ ถึงจะสู้บัณฑิตใหญ่ไม่ได้ แต่นโยบายปกครองแคว้นตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบันเขาก็ท่องได้คล่อง ส่วนชอบหักเงินเดือน…ทำไมหรือ? เขายังหักเงินเดือนสวีอีหรือ? ทังหยางไม่ได้เป็นคนจ่ายเงินเดือนเขาหรือ? ข้าดูบัญชีแล้ว ทุกเดือนก็ให้เขาเหมือนกัน แถมตอนนี้เขายังมีเบี้ยหวัดอีก แล้วในจวนยังมีให้เขาเพิ่มอีกนะ”
อะซี่หัวเราะร่า “ดูสิ ข้าแค่พูดถึงข้อเสียเขาหน่อยเดียว ท่านก็ตื่นตระหนกจะแย่แล้ว แล้วทำไมยังทะเลาะกันเพราะคำพูดประโยคเดียวอีกล่ะ? แต่จะว่าไปนะ เรื่องหักเงินเดือนนี่เป็นเรื่องสำคัญ ให้น่ะให้แล้ว แต่พอถึงมือสวีอีก็ไปอยู่ในมือองค์รัชทายาททันที เห็นว่าขอยืมก่อน”
หยวนชิงหลิงพูดไม่ออก “กินใช้อะไรเขาก็ไม่ขัดสน ทุกเดือนยังมีเงินย่อยใช้ เขายังจะหักเงินของสวีอีอีก?”
“สวีอีบอกว่าบางทีก็ต้องเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าคนในกรมพระนคร องค์ชายไปกินกับอ๋องฉีหลายมื้อ ทางนั้นไม่ชอบใจ คิดว่าเขาขี้เหนียว ก็เลยรวมคนมาถลุงเขาไปสองสามมื้อ”
หยวนชิงหลิงจะหัวเราะร้องไห้ก็ไม่ใช่ “น้องเจ็ดนี่ก็จริงๆ เลย ไม่รู้หรือว่าพวกเรากำลังลำบาก?”
อะซี่หัวเราะกล่าว “ท่านไม่ได้ลำบากจริงซักหน่อย แต่ใช้เงินกับคนอื่น ดูสิ ทำบ้านให้ข้ากับสวีอีหมดไปตั้งหลายหมื่นชั่ง ขูดรีดกับท่านกับองค์รัชทายาทนั่นแหละ เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท ชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ในมือไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่กลับยอมรัดเข็มขัดแน่นอยู่กับท่าน ที่จริงพระองค์ก็ไม่เลวเลยนะ ท่านอย่าโกรธเขาเลย”
หยวนชิงหลิงกระซิบ “แล้วทำไมถึงไปหักเงินเดือนของสวีอีล่ะ? ติดอยู่เท่าไร?”
“ไม่เท่าไรหรอก ขนาดสวีอีไม่กล้าถือสาเลย ไม่งั้นถ้าให้เขาคืนเงินค่าบ้านมา ต้องตายแน่!” อะซี่เอามือป้องปากหัวเราะ ที่จริงสวีอีก็ขี้เหนียวเหมือนกัน
เมื่อทั้งสองสนทนากันอย่างนี้ อารมณ์หยวนชิงหลิงก็เย็นลง แต่พอคลายความโกรธแล้วกลับรู้สึกแปลกอีก เมื่อก่อนขัดแย้งกับเจ้าห้าขนาดไหน ก็แค่ถกเถียงกัน วันนี้ทำไมถึงทะเลาะใหญ่โตแล้วยังจะแบ่งลูกหย่าอีกล่ะ? เรื่องนี้พูดแล้วก็ทำร้ายจิตใจนัก
“เขาพูดถึงหงเย่ ข้าก็เลยโมโห รู้สึกหาเรื่องไม่มีเหตุผล ต่อไปติดต่อกับหงเย่น้อยหน่อยจะดีกว่า มักรู้สึกว่า…” หยวนชิงหลิงกล่าว แล้วจู่ๆ ก็หยุดไป แต่ก็คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้อีก จึงไม่พูดต่อ
“รู้สึกอะไรหรือ?” อะซี่ถาม
“ไม่มีอะไร อะซี่ ขอบใจเจ้านะ รีบกลับไปพักเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีก” หยวนชิงหลิงก็กินเสร็จแล้ว ลุกขึ้นพูด
ทั้งสองจึงเดินไปด้านหน้าด้วยกัน สวีอีกำลังรออะซี่อยู่ จูงมือนางกลับห้อง
หยู่เหวินเห้านั่งอยู่ที่ขั้นบันได เงยหน้ามองหยวนชิงหลิง เส้นผมกระเซิงเล็กน้อย ถูกลมพัดจนดูทึ่มๆ ใบหน้ามีความน้อยใจและเสียใจที่พูดไม่ออก
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป ยื่นมือให้เขา เขาดึงมือหยวนชิงหลิงแล้วออกแรงถู จากนั้นก็ทำให้นางล้มอยู่ในอ้อมกอด พ่นไอขาวออกจากปาก เอ่ยวาจาที่ทั้งประหม่าทั้งร้อนรน “ขอโทษ ข้าเลอะเลือนไป”
หยวนชิงหลิงยื่นมือกอดคอเขา “ผ่านไปแล้ว พวกเราไม่โกรธกันแล้วนะ”
“อือ!” หยู่เหวินเห้าประทับรอยปากที่หน้าผากอันเย็นเฉียบของนาง หินหนักอึ้งที่ทับอยู่ในหัวใจถึงได้คลายออก
เขาอุ้มหยวนชิงหลิงกลับห้อง วางบนเตียงอย่างระมัดระวังแล้วขึ้นไปทับอยู่บนตัว ดวงตาหยวนชิงหลิงเกิดความเย้ายวน ยื่นมือคล้องคอเขา “ถ้าท่านแม่รู้ว่าเราเพิ่งกลับมาไม่นานก็ทะเลาะกัน ต้องเป็นห่วงตายแน่”
หยู่เหวินเห้ากดริมฝีปากนาง เสียใจหนัก
โชคดี โชคดีที่พวกเขายังผ่านบททดสอบมาได้
กอดกันนอนด้วยความอ่อนล้า แต่ทั้งสองต่างมีข้อข้องใจหนึ่ง ทำไมครั้งนี้ถึงทะเลาะกันได้? อย่างกับไม่มีเหตุผลเลย
เพราะหนทางยาวไกล จิตใจจึงคิดถึงบุตร ทั้งคิดถึงเรื่องนี้ก็ว้าวุ่นใจนัก พวกเขาไม่อยากนึกถึง และไม่มีใครพูดถึงอีก ถือว่ามันผ่านพ้นไปแล้ว วันถัดมาก็เดินทางต่อ ระหว่างทางได้รับข่าวว่าท่านชายสี่รับเด็กๆ กลับเมืองหลวงแล้ว ให้พวกเขากลับเมืองหลวงเลย ไม่ต้องไปรับอีก นี่ก็ลดงานไปได้มาก
หมาป่าเปาจื่อใจร้อนเสียจริง มันอยู่กับซาลาเปามาตลอด ครั้งนี้แยกกันนาน มันจึงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด ไม่กินอาหารหลายมื้อ รีบร้อนเดินทาง
สุดท้าย การเดินทางอันแสนลำบากก็สิ้นสุด กลับถึงเมืองหลวงแล้ว