บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1030 เข้าใจผิด
ฉินเฟยมีความคับแค้นอยู่ในใจ นึกถึงบุตรชายตัวเองที่ได้รับทุกขเวทนาอยู่ข้างนอกแล้วก็เสียใจนัก ทั้งอยู่ในวังตำแหน่งของนางก็ไม่สูงเท่าหวงกุ้ยเฟย ความโปรดปรานไม่เท่าฮู่เฟย ความโดดเดี่ยวอ้างว้างในวังหลวง แม้อยากหาความอบอุ่นสักนิดก็ไม่มี แล้วยังคิดถึงบุตรชายที่ลำบากมากกว่าตน ด้วยเหตุนี้นางเห็นอะไรจึงขัดหูขัดตาไปหมด
นางไม่ได้จงใจทำลายความสงบสุขในวังหลวง นางแค่อยากระบายความคับแค้นใจเท่านั้น นางรู้ดีว่าหาเรื่องฮู่เฟยไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้ ถึงฮ่องเต้จะไม่โปรดฮู่เฟย นางก็ทำอะไรฮู่เฟยไม่ได้อยู่ดี นิสัยฮู่เฟยแข็งกร้าว แม้ไม่ใช่คนสุดโต่ง แต่หากแค้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้คนเบื้องหลังนางออกหน้า นางก็ลงมือบีบให้ตายเองได้
หวงกุ้ยเฟยเข้าใจดี รู้ว่าฉินเฟยอยากก่อกวนบรรยากาศชื่นมื่นสักหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีประสงค์ร้ายอะไร แต่ทางฮู่เฟย…คำพูดที่เจ้าสิบพูดออกมาก็ทำให้ผู้คนไม่สบอารมณ์จริงๆ เป็นเด็กเพิ่งอายุเท่าไร? ถึงกับพูดอย่างนั้นได้ หากไม่มีคนเสี้ยมสอนแล้วใครจะเชื่อ?
นางนึกถึงตอนที่เจ้าห้ากับชายาออกจากวัง เจ้าห้าจ้องเจ้าสิบตลอด ส่วนพระชายารัชทายาทกลับเอาแต่สนทนากับฮูหยินเหยา สีหน้าไม่ดีนัก แต่ไหนมาพระชายารัชทายาทก็คิดถึงส่วนรวม เมื่อคืนบรรยากาศเช่นนั้น นางก็ทำหน้าเครียด เห็นได้ว่าติดใจกับคำพูดนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องสอบถามฮู่เฟย ดูว่าระยะนี้เจ้าสิบสัมผัสใกล้ชิดกับใครบ้าง
รอจนเหล่านางสนมกลับไปแล้ว หวงกุ้ยเฟยก็ให้คนไปเชิญฮู่เฟยมา
เมื่อนานฮู่เฟยก็พาเจ้าสิบเดินขึ้นหน้ามาย่อคำนับดวงตานางบวมแดง ยังมีน้ำตาหลงเหลืออยู่
หวงกุ้ยเฟยเรียกให้นางมานั่งข้างๆ จากนั้นก็อุ้มเจ้าสิบตัวน้อย เจ้าสิบขานด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ถวายพระพรหวงกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
หวงกุ้ยเฟยเอ็นดูเจ้าสิบจากใจจริง รอยยิ้มอ่อนโยนมีเมตตา “กุยเอ๋อเป็นเด็กดี บอกข้าซิว่าวันนี้กินอะไร?”
“กินเจพ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าสิบเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง
หวงกุ้ยเฟยเงยหน้ามองฮู่เฟย การกินเจหลังจากวันตรุษจีนเป็นกฎที่ไท่เฮาเซียน (*เป็นคำเรียกไทเฮาที่สิ้นพระชนม์แล้ว) กำหนดไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไทเฮาเซียนนับถือศาสนาพุทธจึงเป็นผู้นำวังหลังกินเจถวายพระพุทธหลังจากเริ่มปีใหม่ หลังจากไทเฮาเซียนสิ้นแล้ว ที่จริงกฎนี้ก็ไม่มีใครยึดถืออีก คิดไม่ถึงว่าฮู่เฟยยังรักษากฎนี้ไว้
หวงกุ้ยเฟยมอบลูกอมให้เจ้าสิบไปกำหนึ่ง อมยิ้มเอ่ย “ดี ไปเล่นเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านแม่เจ้าหน่อย”
เจ้าสิบเอี้ยวตัวลงไปอย่างร่าเริง แล้วออกไปเล่นด้วยการนำของแม่นม
จากนั้นหวงกุ้ยเฟยก็ให้นางกำนัลข้ารับใช้ทั้งหมดออกไป แล้วมองฮู่เฟยกล่าว “คำพูดของฉินเฟยเจ้าไม่ต้องใส่ใจ เจ้าก็รู้นิสัยนางปากคอเราะรายมาแต่ไหนแต่ไร ในใจไม่ได้คิดร้าย”
เมื่อคืนฮู่เฟยแทบไม่ได้นอน ดวงตาแดง ขอบตาดำ แม้แต่งหน้าก็กลบความซีดเซียวไม่มิด เมื่อได้ยินหวงกุ้ยเฟยเอ่ยถึง นางก็ไม่รู้จะโกรธแค้นหรือน้อยใจดี แต่ที่มากกว่านั้นก็คือทำอะไรไม่ถูก “หวงกุ้ยเฟยเพคะ ทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้สอนให้เขาพูดเช่นนั้นจริงๆ หม่อมฉันขอพูดตามตรง หม่อมฉันไม่เคยคิดถึงเลย ”
“ข้ารู้ ข้ารู้นิสัยเจ้า” หวงกุ้ยเฟยให้นางมานั่งตรงหน้า ตบหลังมือนางแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าลองคิดดีๆ ซิ คนในตำหนักเชื่อได้หมดหรือไม่? มีใครสอนให้เขาพูดแบบนี้หรือไม่? นี่เป็นคนที่ทำร้ายเจ้านะ เจ้าต้องคิดให้ดี”
ฮู่เฟยส่ายหน้าอย่างงุนงง “ตั้งแต่ย้ายเข้าตำหนักฉ่ายเหลียนตอนหน้าหนาว คนข้างตัวก็เป็นคนเดิมที่เคยปรนนิบัติเกือบหมด มีไม่กี่คนที่ทางกรมวังโยกย้ายมา แต่ก็ไม่ได้ให้เข้าตำหนักปรนนิบัติ ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่ได้สังเกตเพคะ”
“เจ้าต้องสังเกตนะ ข้าสงสัยว่าตำหนักเจ้าจะมีคนเจตนาร้ายแอบแฝงเข้ามา กุยเอ๋อยังเล็กขนาดนั้น จะรู้ได้ยังไงว่าฮ่องเต้คืออะไร? อ้าปากก็โพล่งออก ต้องมีคนเสี้ยมสอนแน่”
ดวงตาฮู่เฟยมีความแค้น “หากให้หม่อมฉันรู้ว่าเป็นใคร ต้องไม่ให้มันตายดีแน่เพคะ”
หวงกุ้ยเฟยจึงกล่าวกำชับ “กลับไปแล้วเจ้าต้องสังเกตให้มาก ถึงจะเป็นคนใกล้ชิดมาแต่ก่อนก็ไม่ใช่จะเชื่อได้หมด ตอนนี้ท่านพ่อของเจ้าก็สนิทกับองค์รัชทายาทมาก เจ้ากับพระชายารัชทายาทก็เข้ากันได้ดี หากต้องบาดหมางกันเพราะเรื่องนี้จะไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย”
ฮู่เฟยยิ้มอย่างขื่นขม น้ำตาคลอ “พระชายารัชทายาทสงสัยหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็สงสัยหม่อมฉัน เมื่อคืนเดิมคิดจะรั้งตัวพระชายารัชทายาทอยู่คุยซักหน่อย อธิบายให้ชัด ไหนจะรู้ว่านางไม่แม้แต่จะสนใจ เดินตรงออกไป แถมตั้งแต่เมื่อคืน ฝ่าบาทก็ทำหน้ากริ้วใส่หม่อมฉัน ฝ่าบาทไม่รู้นิสัยหม่อมฉันขนาดนี้เชียวหรือ? แม้แต่หวงกุ้ยเฟยยังเชื่อหม่อมฉัน แล้วทำไมฝ่าบาทไม่เชื่อหม่อมฉันล่ะเพคะ?”
หวงกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “ดูสิ เจ้าคิดฟุ้งซ่านอีกแล้วละสิ? ฝ่าบาททรงทราบนิสัยเจ้าดี จะสงสัยเจ้าได้ยังไง? ส่วนทางพระชายารัชทายาท เดิมนางก็เป็นผู้รอบรู้มีคุณธรรม อธิบายให้ชัดก็เรียบร้อยแล้ว อีกสองวันข้าจะเชิญนางเข้าวัง อธิบายเรื่องนี้กับนางก็จบ”
ถึงอย่างไรฮู่เฟยก็อายุน้อย แม้นิสัยจะแข็งกร้าวแต่กลับไม่เคยผ่านเรื่องแบบนี้ จึงได้แต่เชื่อฟังหวงกุ้ยเฟยทั้งหมด
หวงกุ้ยเฟยยังปลอบไปอีกหน่อยถึงให้นางกลับ
แต่กระนั้นหวงกุ้ยเฟยก็ยังกังวล แม้เมื่อคืนฮ่องเต้อยู่ที่นี่ แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย เพียงแต่ครุ่นคิดอยู่นาน ทว่าทรงคิดอย่างไรนั้น นางก็หารู้ไม่
หวังจริงๆ ว่าฮ่องเต้จะไม่สงสัยฮู่เฟย มิเช่นนั้นทั้งราชสำนักและวังหลังไม่ต้องวุ่นวายกันอีกหรือ?
ตรุษจีนวันที่สองหยวนชิงหลิงก็พาทุกคนกลับบ้านเดิมเยี่ยมเยียนฮูหยินใหญ่ที่จวนเจ้าพระยาจิ้ง หยวนชิงผิงก็กลับมาเหมือนกัน กินข้าวพร้อมหน้า ฮูหยินใหญ่ให้อั่งเปา ทั้งยังเตรียมข้าวของให้พวกนางเอากลับไปบ้านอีก
หยวนชิงหลิงหัวเราะเอ่ย “ลูกสาวชิงทรัพย์ (*ลูกสาวที่ออกเรือนแล้วแต่มักกลับบ้านมาเอาของที่บ้านไป) จริงๆ กลับมาเที่ยวนี้ก็ขนไปจนหมด ท่านย่า ท่านต้องซื้อให้มากหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นของน้อยนิดในจวนพวกนั้นจะไม่พอขน”
เมื่อนั้นฮูหยินใหญ่จวนเจ้าพระยาจิ้งจึงเอ่ยอย่างผยอง “เพชรนิลจินดาไม่มี ของกินของใช้มีครบ อยากขนเมื่อไรก็มาขน”
ฮูหยินใหญ่ย่อมภูมิฐานอยู่แล้ว อย่าว่าแต่หลายปีมานี้สะสมมาไม่น้อย ตอนนี้ยังมีคนมากมายเข้าหา ก็ใครให้นางเป็นท่านย่าของพระชายารัชทายาทเล่า?
ระหว่างทางกลับจวน หยู่เหวินเห้ามองสิ่งของที่ฮูหยินใหญ่ให้มาแล้วก็พูดกับหยวนชิงหลิง “ท่านย่าหน้าใหญ่ใจโตจริงๆ ให้รังนกเรามาต้องหลายชั่ง ข้ากระดากใจรับ”
“รับไว้เถอะ ไม่รับนางจะไม่สบายใจ ไว้ค่อยส่งของกลับไปมากหน่อยก็ได้” ความสุขของหยวนชิงหลิงเต็มล้นพ้น ที่จวนเจ้าพระยาจิ้งมีท่านย่าอยู่คนหนึ่ง ที่บ้านก็ยังมีคุณย่าแท้ๆ อีกคนหนึ่ง กับท่านที่อยู่ที่บ้านก็พูดกันไว้ก่อนแล้วว่าคืนนี้จะทอดหัวสิงโต (*ชื่ออาหารชนิดหนึ่ง)
“จริงสิ ไม่รู้ว่าฮูหยินเหยาจะกลับบ้านเดิมหรือเปล่านะ ไม่งั้นคืนนี้ก็เชิญนางมากินข้าวด้วย” หยวนชิงหลิงเอ่ยขึ้น
“นางไม่กลับอยู่แล้วล่ะ หญิงที่ถูกหย่าร้างวันที่สองจะไม่กลับบ้าน เจ้าอยากเชิญก็เชิญมาเถอะพอดีเลย จวิ้นจู่จะได้มาเล่นกับเด็กๆ” หยู่เหวินเห้ากล่าว
“ได้ ข้าจะให้หมันเอ๋อ…ให้ลู่หยาไปเชิญ!” หยวนชิงหลิงกล่าว จากนั้นก็ค่อยๆ มีความกังวลในดวงตา “ไม่รู้ตอนนี้หมันเอ๋อจะเป็นยังไงบ้างนะ? ฉลองตรุษจีนไม่มีนางอยู่ข้างๆ มักรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป”
หยู่เหวินเห้าโอบบ่านาง “น้องเก้าส่งจดหมายมา พวกเขาอยู่หนานเจียงก็ค่อยๆ สะสมเส้นสายได้แล้ว คนที่เคยติดตามอ๋องหนานเจียงในสมัยก่อนก็กลับมาติดตามหมันเอ๋อมากแล้ว ตอนนี้แม่นมฉินก็พักอยู่กับพวกเขา ถึงจะไม่ได้นับเป็นแม่ลูก แต่ก็อยู่ด้วยกันเหมือนแม่ลูก”
หยวนชิงหลิงจึงเอ่ย “งั้นก็ดีสิ ดูท่าทุกอย่างจะราบรื่นนะ”