บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1031 เรือนของใต้เท้าทัง
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ผ่านไปอีกสักพักพวกเขาก็จะกลับมา มีการแต่งตั้งฐานันดรอย่างเป็นทางการจากราชสำนัก ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรอนาน ก็จะได้เจอกับพวกเขาแล้วล่ะ”
“แต่งตั้ง?” หยวนชิงหลิงตกตะลึง ทำไมก่อนหน้านี้นางถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน?
หยู่เหวินเห้ายิ้มพลางพูดว่า “หมันเอ๋อเป็นลูกสาวของอ๋องหนานเจียง ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วหนานเจียงก็ต้องมีตัวแทนของอ๋องหนานเจียงผู้ชอบธรรมอยู่วันยังค่ำ”
หยวนชิงหลิงเลิกคิ้วขึ้นทันที “หมายความว่า จะแต่งตั้งหมันเอ๋อขึ้นเป็นอ๋องหนานเจียงอย่างนั้นรึ?”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “ใช่ เมื่อปีที่แล้วเสด็จพ่อเคยหารือกับข้าเรื่องนี้แล้ว ราว ๆ เดือนสามพวกเขาก็คงจะมาถึงเมืองหลวง หลังจากได้รับการแต่งตั้ง พวกเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงระยะหนึ่ง ยังจำกลุ่มคนหนานเจียงที่มาตามหาลูกสาวของอ๋องหนานเจียงกลุ่มนั้นได้หรือไม่?
ท่ามกลางคนเหล่านั้น บ้างก็มีคนที่มีเจตนาซ่อนเร้น บ้างก็ติดตามพวกเขามาด้วยความจริงใจ ถึงเวลานั้นข้าจะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในเมืองหลวง แล้วคัดกรองทีละคน เพื่อหลีกเลี่ยงหลังจากที่พวกเขากลับไปที่นั่นแล้ว หมันเอ๋อกับเจ้าเก้าไม่สามารถจัดการได้ เพราะไม่รู้จักเนื้อแท้ของคนชัดเจนพอ ”
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า: “เรื่องราวมากมายขนาดนั้น เจ้าล้วนจัดการทุกอย่างได้จนหมด เจ้าห้า ตอนนี้เจ้าช่างใจเย็นพึ่งพาได้เหลือเกินแล้ว”
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจเบา ๆ ไล้นิ้วเรียวขาวบอบบางของนางช้าๆ “ไม่ใจเย็นได้อย่างไรล่ะ? ข้าเป็นพ่อของลูกห้าคนแล้วนะ หากยังทำตัวใจร้อนวู่วาม จะไม่ทำให้เด็ก ๆ ดูถูกเอาได้หรอกรึ?”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ แต่พูดในใจว่า: พวกเขาตอนนี้ก็ไม่ค่อยเห็นเจ้าในสายตานักหรอก แต่โชคดีที่พวกเขากลัวเจ้าอยู่บ้าง ก็ยังนับว่าพอจะดูแลสั่งสอนได้เป็นการชั่วคราวล่ะนะ
ในตอนค่ำ ทุกคนในครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยกัน และดื่มเหล้าบ้างเล็กน้อย แม่นมสี่เป็นคนคออ่อน ดื่มเข้าไปได้ไม่กี่จอกก็เวียนหัว จนต้องกลับห้องไปก่อนทั้งที่ยังกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ
หยวนชิงหลิงคิดที่จะสั่งให้คนเก็บไว้ให้นางสักจำนวนหนึ่ง รอจนนางสร่างเมาค่อยให้นางกิน อะซี่กลับแอบหัวเราะพลางพูดว่า “ไม่ต้องเก็บไว้หรอก จะเก็บไว้ทำไมกัน? ตั้งแต่ช่วงยามอู่นางยุ่งอยู่กับการทำงานในครัวเล็ก ๆ ของนาง ทำอาหารตั้งหลายอย่าง หลังจากนั้นก็มีคนมากินข้าวเป็นเพื่อนนาง”
“หา?” หยวนชิงหลิงตกใจ จากนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมา “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ข้ายังว่าทำไมแค่ดื่มไปได้ไม่กี่จอกก็เมาเสียแล้ว ปรากฎว่ามีนัดกับคนในดวงใจแล้วนี่เอง”
“ก่อนหน้านี้โส่วฝู่ได้ส่งคนมาบอกว่าเขาจะมาคืนนี้ บอกด้วยว่าแม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกส่งมาล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว จะมาพักที่นี่สักหนึ่งคืน แม่นมสี่จึงสั่งให้คนทำความสะอาดห้องว่างไว้ให้เขาได้มาพัก”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้น “ทำไมถึงไม่นอนด้วยกันล่ะ?”
“เช่นนี้ไม่ดีกระมังพ่ะย่ะค่ะ!” สวีอีก็เงยหน้าขึ้นเหมือนกัน “ยังไม่ได้แต่งงานกันเลย”
“ พวกเขาสองคนจะแต่งหรือไม่แต่ง มันแตกต่างกันตรงไหน? ”
อะซี่ส่ายหน้า “ไม่หรอก แม่นมสี่บอกไว้แล้วว่า พวกเขาจะเป็นแค่เพื่อนที่รู้ใจกัน แค่กินข้าวด้วยกัน พูดคุยกันแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
สวีอีคล้อยตามภรรยาเป็นปี่เป็นขลุ่ย “ใช่ไหมล่ะ? จนปาเข้าไปเกือบจะหกสิบแล้ว ยังจะนอนด้วยกันอยู่รึ?”
หยู่เหวินเห้าเงื้อมือขึ้นได้ ก็ตบเข้าที่หัวสวีอีไปฉาดใหญ่ๆ “อายุหกสิบแล้วมันทำไมรึ? คนวัยหกสิบก็ยังมีใจมีแรงอยู่นี่ พอเจ้าหกสิบแล้วเจ้าก็ไม่ต้องการภรรยาแล้วอย่างนั้นรึ?”
อะซี่จ้องมองไปที่สวีอีด้วยสายตาโหดเหี้ยม สวีอีจึงรู้ตัวว่าพูดผิดไป รีบก้มหน้าสำนึกผิดทันที
ท่านย่าหยวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นมสี่ดูยังอ่อนวัยจริงๆ ดูไม่เหมือนคนในวัยหกสิบ เลย จริงๆ แล้วคนอายุหก เจ็ดสิบที่ยังมีความรักหวานชื่นก็ยังมีอีกมากมายนัก มีอะไรแปลกล่ะ?
แค่เป็นคนที่เราชอบก็เพียงพอแล้ว ทุกข์ยากลำบากมาทั้งชีวิต ไยต้องฝืนทำผิดต่อตัวเองเพราะสายตาที่คนรอบข้างมองมาด้วยล่ะ? ข้าเองก็รู้สึกชื่นชมมากที่พวกเขาสองคนเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน ดูแลกันในยามแก่เฒ่า เมื่อแก่ตัวไปแล้วมีคนที่รักอยู่เคียงข้าง นับเป็นเรื่องที่มีความสุขจนเกินบรรยายเลยไม่ใช่รึ?”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าคุณย่ากำลังคิดถึงคุณปู่อีกแล้ว จึงเอื้อมมือออกไปจับมือนางไว้ “มีเด็ก ๆ อยู่เคียงข้างก็มีความสุขเช่นกันเจ้าค่ะ”
คุณย่าหยวนมองบรรดาเจ้าขนมหวานตัวน้อย ๆ ที่นั่งกินข้าวกันอยู่ “มีความสุขสิ มีความสุขมาก”
ในใจของย่าหยวนมักจะรู้สึกเสียดายอยู่เสมอ เพราะชีวิตที่มีความสุขของนางชีวิตนี้ คนที่นางรักใคร่ห่วงใยคนนั้นไม่มีโอกาสได้เห็น และจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกต่อไปแล้ว
เมื่อคนเราสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป จะมีช่องว่างช่องหนึ่งเกิดขึ้นในหัวใจจนรู้สึกว่ามันช่างว่างเปล่าหงอยเหงา
ลู่หยาเดินเข้ามาจากข้างนอก พูดขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ หัวสิงโตได้ถูกส่งไปให้ใต้เท้าทังเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับความกรุณาของท่าน”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ทุก ๆ วันปีใหม่ ข้ามักจะเรียกให้เขาพาครอบครัวมากินข้าวร่วมกัน เขาก็ไม่ยอมพามา ข้ายังไม่เคยมีโอกาสได้พบภรรยาของเขาเลยสักครั้ง”
นางมองไปที่หยู่เหวินเห้า”เจ้าเคยเห็นหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ถ้าเจ้าไม่พูดขึ้นมา ข้าก็แทบจะลืมไปแล้วว่าทังหยางแต่งงานแล้ว”
สวีอีพูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ต้องได้พบเข้าสักวันแน่ รอให้ถึงเวลาที่เรือนสร้างเสร็จแล้ว เขาย่อมต้องพาครอบครัวเข้ามาอยู่ไม่ใช่รึ? ข้ารู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว แต่ไม่มีลูก จนอายุสามสิบกว่า ๆ แล้วก็ยังไม่มีลูก วันหน้าใครจะช่วยเลี้ยงดูในยามแก่ชราหนอ? หรือเขาคิดว่าจะให้จวนท่านอ๋องเลี้ยงเขาไปตลอดชีวิตกันนะ?”
เดิมทีสวีอีคิดว่าถ้าเขาแต่งเมียไม่ได้จริง ๆ เขาก็จะอยู่ในจวนท่านอ๋องไปตลอดชีวิต
“เรือนก็สร้างมานานแล้ว แต่ก็ยังสร้างไม่เสร็จเสียที สวีอี ช่วงนี้ท่านทังคงยุ่งเหลือเกินแล้ว หากเจ้ามีเวลาก็ไปช่วยหยิบช่วยจับงานช่างเสียหน่อย เพื่อให้เขาสามารถย้ายเข้าไปได้เร็วขึ้น” หยวนชิงหลิงพูด
สวีอีพูดว่า: “กระหม่อมไม่อาจช่วยเรื่องงานช่างได้พ่ะย่ะค่ะ การก่อสร้างทั้งหมดที่อยู่ภายใน ล้วนเป็นใต้เท้าทังที่ออกแบบด้วยตัวเองทั้งสิ้น ข้าเคยได้ดูสองสามครั้ง รู้สึกว่าแปลกยิ่งนัก”
“แปลกอย่างไรรึ?” หยวนชิงหลิงถาม
“ไม่มีส่วนของตัวเรือนกับห้องรับแขก หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือมีแค่ผนังสี่ด้าน มีลานเล็กๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งขั้นบันไดหิน” สวีอียักไหล่ “เดิมทีข้ายังคิดว่าใต้เท้าทังจะออกแบบอย่างหรูหราอลังการเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเหมือนห้องเก็บของห้องหนึ่ง ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก”
ฟังจากที่พูด ทำให้ทั้งหยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าต่างก็สนใจอยากจะไปดูเสียหน่อย หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ทุกคนก็ถือตะเกียงไปที่นั่นพร้อมกัน
เพื่ออำนวยความสะดวกให้สวีอีกับทังหยาง จวนอ๋องฉู่ยังจงใจเปิดประตูด้านหลังไว้เพื่อจะได้ตรงเข้าไปหากันได้ง่าย ด้านซ้ายหลังของสวีอี ด้านขวาหลังของทังหยาง แยกจากกันด้วยทางเดินกว้างประมาณระยะหนึ่งช่วงแขน
ผนังโดยรอบเป็นผนังผืนเดียวกับจวนอ๋องฉู่ ทางเข้ามีขนาดใหญ่มาก ทางเข้าเรือนสวีอีมีบันไดหินสองขั้น แต่ฝั่งทังหยางไม่มี เป็นพื้นเรียบ ๆ ตรงไป สิ่งที่เห็นคืออาคารที่ปลูกสร้างส่วนด้านในเป็นอาคารใหญ่ที่ดูคล้ายโกดังเก็บของ ไม่มีการแบ่งสัดส่วนเป็นเรือนหลักหรือห้องรับแขกต่าง ๆ มีเพียงห้องครัวเล็ก ๆ ที่ด้านซ้ายของลานบ้านเท่านั้น
“เอ๋ ของพวกนี้คืออะไรกัน?” อะซี่เดินไปที่ผนังส่วนลานบ้านแล้วเอื้อมมือออกไป กดลงไป “นุ่มจริง ผนังนี้ปูด้วยอะไรน่ะ?”
สวีอีพูดว่า “ด้านในล้วนเป็นฟางแห้ง นุ่มมาก ผสมกับโคลนแล้วพอกลงไปบนนั้น อย่างไรก็ตามผนังนี้ไม่รับน้ำหนัก มันอาศัยพิงไปกับผนังของจวน ต้องเสียเวลาตั้งนานกว่าจะทำเจ้าผนังนี้ขึ้นมาได้ ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่? ”
“ดูเหมือนว่าใต้เท้าทังจะไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวเลย ไม่รู้ว่าภรรยาของเขาเป็นคนแบบไหนรึ?” อะซี่ถาม
“ใต้เท้าทังเป็นคนที่รสนิยมสูง ภรรยาของเขาต้องสวยมากแน่ ๆ ” หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วพูดขณะที่สายตาก็หันไปมองทางหยู่เหวินเห้า เขาน่าจะเป็นคนที่รู้จักทังหยางชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าหยู่เหวินเห้ากลับพูดอย่างมึนงงว่า: “ไม่รู้สิ ยังไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนเลย แต่เคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเขาค่อนข้างจะเหลวไหลไร้สาระ ชอบเที่ยวตามแหล่งเริงรมย์อะไรแบบนั้น แต่หลายปีมานี้ก็ไม่เคยเห็นว่าเขาไปที่แบบนั้นเลย”
“ใต้เท้าทังก็อายุเกือบสี่สิบแล้วกระมัง? ต่อให้แต่งงานตอนอายุยี่สิบสอง นั่นมันก็ต้องเป็นเรื่องราว ๆ สิบปีหรือไม่ก็ยี่สิบปีมาแล้ว หลังจากแต่งงานแล้วยังจะไปที่แบบนั้นอีก มันก็ดูจะมากเกินไปหน่อยนะ”
อะซี่รู้สึกไม่คุ้มแทนฮูหยินของใต้เท้าทัง สร้างเรือนพักอาศัยทั้งทีก็สร้างเสียอย่างกับเรือนจำขนาดใหญ่ ดูอย่างไรก็เห็นได้แค่ว่า ใต้เท้าทังเป็นแค่ผู้ชายกากเดนที่ใช้ไม่ได้คนหนึ่ง
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “คนเสเพลที่กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีมีค่ามากกว่าทองคำนะ”
หยวนชิงหลิงดึงแขนของเขาแล้วเดินออกไป “อื้ม เจ้าห้า ช่วงนี้ดูเจ้าจะชอบพูดประโยคนี้เป็นพิเศษนะ หรือในใจเจ้ารู้สึกซาบซึ้งกับคำนี้อย่างนั้นรึ?”
“ซาบซึ้งอะไร? พูดเรื่องอื่นแท้ ๆ ทำไมมันถึงย้อนกลับมาเกี่ยวข้องกับข้าได้ล่ะ? ข้าไม่จำเป็นต้องนึกถึงอดีต เพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรอย่างนั้นอยู่แล้ว ” หยู่เหวินเห้าดิ้นรนปรารถนาหาทางเอาชีวิตรอดด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม
หยวนชิงหลิงถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ลมหนาวพัดโชยจนกายหนาวเหน็บ แต่คืนนี้ในใจกลับอบอุ่นจนไม่อาจหาอะไรมาเทียบเทียมได้