บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1032 สถานะไม่เหมือนเดิมแล้ว
ในวันที่สามของวันตรุษจีน เดิมทีหวงกุ้ยเฟยคิดจะเรียกหยวนชิงหลิงเข้าวังมา เพื่อจะอธิบายเรื่องของฮู่เฟยให้มันชัดเจน แต่เมื่อนางย้อนคิดดูดี ๆ แล้วพบว่า วันที่สามของตรุษจีนถือเป็นวันไม่ดี (ตามความเชื่อของคนจีน วันนี้จะไม่นิยมทำอะไรนอกจากอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ล่วงลับเพราะเป็นวันฤกษ์ไม่ดี) เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว การเลือกวันนี้มาพูดเรื่องนี้จึงดูไม่เหมาะสม จึงไม่ได้มีการทูลขอให้มีพระราชโองการลงไป
ทางฮู่เฟยเองก็ร้อนใจเหมือนหนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปีแล้วเช่นกัน นางไม่ได้คิดในแง่ว่าเป็นฤกษ์ดีฤกษ์ร้ายอะไรทั้งนั้น คิดแค่ว่าไม่อยากให้คนเข้าใจผิดว่านางมีเจตนาแอบแฝง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางอยากอธิบายให้พระชายารัชทายาทฟังให้มันชัดเจน ด้วยเหตุนี้นางจึงคิดว่าหวงกุ้ยเฟยก็คงวิตกกังวล อยากอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนพอ ๆ กับนาง คงจะเชิญหยวนชิงหลิงให้เข้าวังมาในวันที่สามของตรุษจีนแน่ ๆ นางจึงสั่งให้คนไปสอบถามอยู่หลายครั้ง แต่กลับพบว่าหวงกุ้ยเฟยไม่ได้มีการทูลขอพระราชโองการใด ๆ ลงไป ทั้งยังไม่เห็นพระชายารัชทายาทเข้าวังมาอีกด้วย
ในใจนางวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันแรกของตรุษจีนจนถึงวันที่สาม นางไม่เคยเห็นฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักของนางเลย นางเริ่มคิดฟุ้งซ่าน รู้สึกว่าทุกคนล้วนไม่ไว้ใจนาง ชั่วขณะหนึ่ง นางถึงกับรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ
นางเรียกทุกคนที่รับใช้ในตำหนักมา แล้วเค้นถามอย่างละเอียดทีละคน เพื่อจะดูว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสอนให้เจ้าสิบพูด แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนปฏิเสธ
ในความสิ้นหวังหมดหนทาง ฮู่เฟยทำได้แค่ต้องถามเจ้าสิบตัวน้อยอีกครั้ง ว่าใครกันแน่ที่พูดเรื่องนี้กับเขา แต่เจ้าสิบยังเล็กมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจำได้หรือไม่ กระทั่งตำแหน่งฮ่องเต้คืออะไรเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ พอถูกฮู่เฟยบังคับถามหลาย ๆ ครั้งเข้า เขาก็ร้องไห้อย่างเดียวไม่พูดอะไรอีก ฮู่เฟยบันดาลโทสะขึ้นมาเลยตีเขาไปสองสามครั้ง
เจ้าสิบเองก็มีนิสัยค่อนข้างเจ้าอารมณ์เช่นกัน จู่ ๆ ก็ถูกตีโดยไม่มีเหตุผล จึงรู้สึกไม่มีความสุข ร้องไห้งอแงเอะอะว่าต้องการจะไปฟ้องเสด็จพ่อ ฮู่เฟยถูกเขาอาละวาดใส่จนเหนื่อยล้าไปทั้งกายใจ อีกทั้งไม่มีใครที่พอจะพูดคุยด้วยได้ จึงสั่งให้คนไปกราบทูลฮ่องเต้ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีพระราชานุญาต ให้คนที่บ้านนางเข้าวังมาพบเจอหน้ากันสักครั้ง
ราชวงศ์เป่ยถัง ไม่ได้ควบคุมการพบหน้าของบรรดาสนมนางในกับคนที่บ้านเดิมอย่างเคร่งครัดนัก อีกทั้งเดิมทีเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยก็มักจะเข้าวังมาพบฮู่เฟยบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากคนในตำหนักไปทูลฮ่องเต้หมิงหยวน กลับถูกฮ่องเต้หมิงหยวนปฏิเสธโดยตรัสว่า รอให้ถึงวันที่ห้าของตรุษจีน จึงจะอนุญาตให้คนที่บ้านของบรรดานางสนมเข้าวังมาเยี่ยมญาติ
ฮ่องเต้หมิงหยวนปฏิเสธ ยิ่งทำให้ฮุ่เฟยคิดมากขึ้นไปอีก เอาแต่ร้องไห้ทั้งคืน วันรุ่งขึ้นนางอดรนทนไม่ไหวแล้ว จึงสั่งคนออกจากวังไปเชิญหยวนชิงหลิงมาพบที่วัง
นางสั่งให้คนเฝ้าดูอยู่ที่หน้าประตูวัง เมื่อไหร่ที่หยวนชิงหลิงก้าวขาเข้ามาในวัง ก็ให้รีบไปเชิญหวงกุ้ยเฟยมาทันที
ฮู่เฟยเป็นคนเอ่ยปากเชิญ หยวนชิงหลิงย่อมต้องมาแน่นอน และนางยังต้องนำยาโรคหอบหืดไปให้ไท่ซ่างหวงด้วย
รอจนนางเข้ามาในวัง ฮู่เฟยก็ไปเชิญหวงกุ้ยเฟยมา อันที่จริงเดิมทีหวงกุ้ยเฟยก็วางแผนไว้ว่าจะเชิญหยวนชิงหลิงมาในวันนี้ แต่ไม่คิดว่าฮู่เฟยจะร้อนใจจนเก็บอาการไม่อยู่ขนาดนี้ แต่ก็ดีแล้ว จะได้คุยกันให้มันเข้าใจชัดเจนทีเดียวไปเลย
เมื่อนางมาถึงตำหนักฉ่ายเหลียนหยวนชิงหลิงก็เพิ่งมาถึงพอดี นางรีบค้อมกายคำนับหวงกุ้ยเฟย แล้วเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน
ฮู่เฟยรออยู่ข้างใน เมื่อได้ยินเสียงประกาศหน้าตำหนัก นางก็พาเจ้าสิบอออกจากตำหนัก ดวงตาที่บวมช้ำแดงก่ำนั้น เมื่อได้เห็นหยวนชิงหลิง นางก็ทนไม่ไหวร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง คว้าตัวเจ้าสิบมาคุกเข่าลงพร้อมกันบนบันไดหิน ร้องไห้พลางสบถสาบานต่อสวรรค์ว่า “สวรรค์อยู่เบื้องบน ผืนดินอยู่เบื้องล่าง ให้ฟ้าดินเป็นพยาน หากข้ามีความคิดโลภในตำแหน่งฮ่องเต้แม้เพียงเล็กน้อย ขอให้พวกเราแม่ลูกถูกทัณฑ์ห้าม้าแยกร่าง ไม่ได้ตายดี!”
การกระทำเช่นนี้ของฮู่เฟย ทำให้หยวนชิงหลิงถึงกับตกตะลึง “พระสนมฮู่เฟย ทำไมเจ้าถึงได้พูดจาร้ายแรงแบบนี้ออกมาล่ะ?”
หวงกุ้ยเฟยเห็นท่าทีแบบนี้ของนางก็โกรธมากเช่นกัน “เพ้ย! ตัวเจ้าเองจะสบถสาบานอะไรก็เรื่องของเจ้าเถอะ ทำไมต้องพาเด็กไปสาบานกับเจ้าด้วยล่ะ? เจ้าสิบลุกขึ้น มาหาท่านแม่หวงกุ้ยเฟยเร็วเข้า”
เดิมทีเจ้าสิบก็รู้สึกน้อยอกน้อยใจเหลือเกินแล้ว แต่ตอนนี้ได้มาเห็นว่าท่านแม่หวงกุ้ยเฟยเอ็นดูตัวเอง จึงร้องไห้พลางวิ่งไปฟ้องหวงกุ้ยเฟยว่า “ท่านแม่ตีข้า ท่านแม่ตีข้า”
หวงกุ้ยเฟยกอดเจ้าสิบ แล้วหันไปมองฮู่เฟย โกรธจนริมฝีปากสั่นเทาไปหมด “ เจ้าคิดว่าเจ้าทำอะไรอยู่รู้ตัวหรือไม่? จะทำให้ลูกต้องน้อยเนื้อต่ำใจไปทำไมกัน?”
ฮู่เฟยก็ร้องไห้พลางพูดว่า: “ก็ถ้าไม่ทำอย่างนี้ พระชายารัชทายาทจะเชื่อข้าหรือไม่ล่ะ?”
หยวนชิงหลิงเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? พระสนมฮู่เฟยรีบลุกขึ้นเร็วเข้า คุกเข่าอ้อนวอนฟ้าดินไปทำไมกัน? นี่ไม่ใช่วันกราบไหว้สักการะเสียหน่อย”
หยวนชิงหลิงรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า ช่วยพยุงนางขึ้นมา เพราะฮู่เฟยเหมือนจะคุกเข่าแล้วมองมาที่นาง ตัวนางไม่อาจรับมันได้ อย่างไรฮู่เฟยก็เป็นผู้หญิงของเสด็จพ่อ
เมื่อเข้าไปในตำหนัก หยวนชิงหลิงถามว่า “สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
ฮุ่เฟยเห็นนางแกล้งทำท่าสับสนไม่รู้เรื่องราว จึงพูดอย่างไม่หักหน้าว่า “ประโยคที่เจ้าสิบพูดในงานเลี้ยงในวังเมื่อวันส่งท้ายปีเก่า คิดว่าพระชายารัชทายาทคงจะไม่สบายใจเป็นแน่ แต่ข้ากล้าสาบานต่อสวรรค์เลยว่า ข้าไม่เคยสอนให้เขาพูดคำพูดแบบนั้น และไม่เคยมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัวมาก่อนด้วย”
หยวนชิงหลิงตกใจ หันไปมองเจ้าสิบที่กำลังสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของหวงกุ้ยเฟย “เจ้าสิบพูดอะไรรึ?”
นางสนมหูถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง “ทำไมพระชายารัชทายาทต้องให้พูดออกมาชัด ๆ แบบนี้ด้วยล่ะ? ก็ที่เขาพูดว่าวันข้างหน้าเขาจะเป็นฮ่องเต้นั่นอย่างไรเล่า!”
หยวนชิงหลิงถึงกับหลุดหัวเราะ มองไปที่เจ้าสิบพลางพูดอย่างติดตลกว่า: “โย่ว เจ้าหนูน้อย ช่างเป็นเด็กที่ทะเยอทะยานไม่เลวเลย เจ้าอยากเป็นฮ่องเต้หรอกรึ?”
เวลานี้เจ้าสิบไม่กล้าพูดคำนี้ออกมาแล้ว รีบมุดตัวเข้าไปซ่อนอยู่ในอ้อมแขนของหวงกุ้ยเฟย “ไม่อยาก ไม่อยาก!”
หยวนชิงหลิงมองไปที่ฮู่เฟย “เด็กคนนี้ยังเล็กแค่นี้ พูดคำพูดแบบนี้ออกมาคงไม่ส่งผลร้ายกับใครได้หรอก พระสนมฮู่เฟย แค่เพราะเรื่องเท่านี้เองน่ะรึ?”
ฮู่เฟยพูดว่า: “แต่วันนั้นข้าอยากอธิบายกับเจ้าสักสองสามคำให้เข้าใจ แต่ก็เรียกเจ้าไว้ไม่ได้นี่”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ข้าไม่ได้ยินจริง ๆ พูดตามตรงนะ ข้าไม่ได้ยินคำที่เจ้าสิบพูดในวันนั้นด้วย ตอนนั้นข้ากำลังพูดถึงเรื่องของจวิ้นจู่เมิ่งเยว่ ต่อให้ข้าจะได้ยินจริง ๆ คำพูดนี้มันจะมีอะไรให้วิตกกังวลกันล่ะ? ไม่ว่าเจ้าสิบจะบอกว่าเขาอยากเป็นอะไรก็ตาม มันก็เป็นแค่คำพูดหรือความทะเยอทะยานแบบเด็ก ๆ เท่านั้นเอง คิดว่าข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กอย่างนั้นรึ? เจ้ามองว่าข้าใจแคบเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?”
นางส่ายหน้าอย่างเคือง ๆ แต่ก็นึกขำ แค่คำพูดของเด็กประโยคเดียว ฮู่เฟยถึงกับมาคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าเกิดมีใครเป็นอะไรไปแล้วนะนี่
ฮู่เฟยได้ยินประโยคนี้ กลับไม่ดีใจ กลายเป็นว่านางร้องไห้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “ขนาดเจ้ายังไม่ถือสาเลย แต่ฮ่องเต้ถือสา ฝ่าบาทไม่เชื่อข้า คิดว่าข้าเป็นเสี้ยมสอนให้ลูกกุยเอ๋อพูด แม้แต่พระชายารัชทายาทยังเชื่อข้าเลย ทำไมฝ่าบาทถึงไม่เชื่อข้าล่ะ? ขนาดว่าข้าทูลขอให้พ่อเข้าวังมาวันนี้ ฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงอนุญาติเลย”
การร้องไห้ของฮู่เฟยครั้งนี้ช่างน่าเวทนาเหลือเกินแล้ว ใบหน้าซีดเผือดของนางเต็มไปด้วยน้ำตาอาบนอง จมูกและตาก็แดงช้ำบวมเป่งอย่างน่าสงสาร
หวงกุ้ยเฟยพูดปลอบใจนางว่า: “หลังจากนี้ข้าจะไปคุยกับฝ่าบาทให้เอง เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ฮ่องเต้ทรงรู้จักนิสัยเจ้าดี ทำไมพระองค์จะไม่เชื่อเจ้าล่ะ?”
“พระองค์ไม่เชื่อหรอก ข้ายอมควักหัวใจพิสูจน์เลยก็ยังได้ พระองค์ก็แค่ไม่เชื่อข้า!” ฮู่เฟยทั้งเสียใจทั้งสิ้นหวัง เดิมทีนางอายุยังน้อย ทั้งยังลุ่มหลงฮ่องเต้หมิงหยวนอย่างมาก ความไม่เชื่อใจของฮ่องเต้หมิงหยวน เหมือนเป็นอาวุธที่มาโจมตีนางได้อย่างหนักหนาที่สุดแล้ว
หวงกุ้ยเฟยเห็นว่านางร้องไห้จนแทบจะไม่ไหวแล้ว จึงหันไปมองหยวนชิงหลิงอย่างขอความช่วยเหลือ หยวนชิงหลิงเองก็จนใจทำอะไรไม่ถูก นางจะไปก้าวก่ายเรื่องความรักระหว่างเสด็จพ่อกับพระสนมของพระองค์ได้อย่างไรล่ะ? จะพูดกล่อมก็ไม่มีคำพูดอะไรที่จะใช้กล่อมได้
สุดท้ายหวงกุ้ยเฟยจึงต้องพูดว่า: “เอาเถอะ ๆ ข้าจะไปทูลเชิญฝ่าบาทมาด้วยตัวเองแล้วกัน เจ้าก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว เพิ่งจะฉลองปีใหม่ เจ้าก็ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสังเวชเช่นนี้แล้ว เดี๋ยวก็โชคไม่ดีหรอกรู้หรือไม่?”
หวงกุ้ยเฟยพูดไปพลาง มือก็จูงมือเจ้าสิบเดินออกไปด้วยกัน แล้วสั่งให้หยวนชิงหลิงอยู่ปลอบใจนางที่นี่
วันนี้หยวนชิงหลิงรู้สึกมึนไปหมดแล้วจริง ๆ แต่เมื่อมองไปที่ฮู่เฟยซึ่งยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด นางก็ตระหนักในความจริงขึ้นมาได้ว่า เจ้าห้าคือองค์ชายรัชทายาท ได้รับการยอมรับอย่างลึกซึ้งจากทั้งราชวงศ์ สถานะของเขาไม่อาจถูกล่วงเกินได้
แค่ประโยคที่เด็กพูดแบบไม่คิดอะไรประโยคเดียว ก็ถึงกับทำให้ฮู่เฟยที่ทั้งเข้มแข็งและตรงไปตรงมาคนนั้น เกิดประหม่าวิตกได้จนถึงขนาดนี้เลยทีเดียว