บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1033 ใต้เท้าทังเข้าเรือน
หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงหยวนเสด็จมา หยวนชิงหลิงก็ไปที่พระตำหนักฉินคุน ระหว่างทางที่ไปจิตใจก็ว้าวุ่นไปหมด พูดคุยกับไท่ซ่างหวงที่พระตำหนักฉินคุน ก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก ไท่ซ่างหวงเป็นคนที่ไม่ไว้หน้าคนทำงานแบบขอไปทีอยู่แล้ว จึงไล่ตะเพิดนางออกจากวังไป
หลังจากกลับไปที่จวน หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หยู่เหวินเห้ารู้เรื่องชัดเจนก็นึกขำ
“แค่เพราะคำพูดประโยคเดียวของเจ้าสิบ ก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้เชียวรึ ? นี่มันน่าขำเหลือเกินแล้ว”
“ แต่ดูจากท่าทางของฮู่เฟย ดูเหมือนว่านางจะร้องไห้มาสองสามวันแล้ว” หยวนชิงหลิงพูด นางไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องตลก แต่เป็นเรื่องที่ออกจะน่าเศร้าสลดด้วย เพราะถึงแม้ว่าเมื่อก่อนระหว่างนางกับฮู่เฟยจะไม่ได้เป็นมิตรที่สนิทสนมกันจนเป็นพิเศษ แต่ก็พูดได้ว่า ถือเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างสนิทสนมระดับหนึ่ง แต่เพราะคำพูดประโยคเดียว ก็สามารถก่อให้เกิดความสงสัยคลางแคลงใจกันได้ทันที
นางไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง แค่รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีบางอย่างที่มันชัดเจนขึ้นมาในขอบเขตของมัน
“ฮู่เฟยหาเรื่องกลัดกลุ้มใจให้ตัวเองทั้งนั้น ใครจะไปคิดจริงจังกันล่ะ? ตอนนี้เจ้าสิบรู้แต่วิธีกิน ดื่ม ขับถ่าย แล้วก็เล่น เขาไม่รู้หรอกว่าการเป็นฮ่องเต้มันหมายความว่าอย่างไร ถ้าเจ้าไม่เชื่อล่ะก็ ลองถามเจ้าของหวานน้อยของพวกเราดูก็ได้ ไม่แน่ว่าบางทีพวกเขาก็อาจไม่รู้เหมือนกันนั่นล่ะ” หยู่เหวินเห้าพูด
หยวนชิงหลิงฝืนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “นั่นก็ถูกต้อง แต่เมื่อเห็นฮู่เฟยหวาดวิตกขนาดนั้น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่นางก็คิดเหมือนกันว่าอาจมีใครบางคน คิดจะใช้วิธีนี้เพื่อสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนาง ยื่นมือออกไปโอบประคองไหล่ของนางไว้ พูดอย่างจริงจังว่า: “ที่จริงแล้วจนถึงทุกวันนี้ เจ้าหยวน เจ้ายังคิดว่าข้าจะจัดการกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้อีกอย่างนั้นรึ? ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเลย ต่อให้เป็นระหว่างราชนิกูลในราชวงศ์ของเราเอง ข้าก็มีมาตรการตอบโต้และรับมือได้ทั้งหมดนั่นล่ะ”
เมื่อมองดูใบหน้าที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วของเขา หยวนชิงหลิงก็ตระหนักขึ้นมาได้ในทันทีว่า แท้ที่จริง ผู้คนมากมายรอบตัวเขาต่างก็เติบโตขึ้นมาก ทั้งสวีอี อะซี่ หมันเอ๋อ และแม้แต่เจ้าห้า เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาเพิ่งได้พบกัน แทบจะเรียกได้ว่าสามารถใช้คำว่าเปลี่ยนร่างเกิดใหม่มาอธิบายได้เลยทีเดียว
น้ำหนักที่ถูกกดทับในใจมาตลอดทั้งวันนี้ เป็นเพราะความมั่นใจของหยู่เหวินเห้า จึงสูญสลายหายวับไปในทันที
หยู่เหวินเห้ากอดนางเบา ๆ ไว้ในอ้อมแขน “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วอย่างไรล่ะ ว่าข้าไม่ค่อยสนใจบัลลังก์นี้นักหรอก นี่คือคำพูดจากใจจริง แต่มีบางครั้งที่ข้าก็ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบ ตอนที่กลับมาจากบ้านเดิม ข้าก็ครุ่นคิดดูแล้วรอบหนึ่ง คิดว่าไม่ต้องวางใจใครทั้งนั้น พวกเขาไม่มีทางแซงหน้าข้าไปได้ นี่แหละคือความจริง”
เดิมทีนี่เป็นหัวข้อเคร่งขรึมจริงจัง แต่หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ กลับรู้สึกอยากจะหัวเราะขึ้นมา “เจ้าคุยฟุ้งเชียวนะ”
“ไม่ ข้าพูดความจริงนะ ข้าคิดว่าไม่ว่าจะเป็นอ๋องชินหรือองค์ชายที่ไหนก็ช่าง ล้วนไม่มีใครที่เทียบข้าได้เลยแม้แต่คนเดียว” หยู่เหวินเห้าเชิดหน้ายกคางขึ้น แสดงท่าทางหลงตัวเองเล็กน้อย
หยวนชิงหลิงยกมือขึ้นโอบรอบคอของเขา แล้วพูดอย่างเสน่หาว่า: “ใช่ ในใจของข้า เจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด” แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนที่เซ่อซ่าที่สุดด้วยเช่นกัน
หยู่เหวินเห้าหัวเราะชอบใจ “เรื่องของฮู่เฟยไม่นานก็จะผ่านพ้นไป ไม่ต้องกังวลหรอก ความสัมพันธ์ของเจ้ากับฮู่เฟยจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรแน่ เสด็จพ่อไม่มีวันเชื่อคำพูดนี้อยู่แล้ว แต่ทางเจ้าสิบไม่แน่ว่าจะมีคนพูดอะไรแบบนี้กรอกหูให้เขาฟัง ทางตำหนักฉ่ายเหลียนต้องตรวจสอบดูให้ละเอียดสักหน่อย พวกเรายังไม่รู้กระทั่งว่าใครคือศัตรู แต่ก็ไม่ต้องร้อนใจไป เจ้าหยวน คนที่มีความทะเยอทะยานน่ะ ไม่มีทางยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมได้หรอก สุดท้ายมันก็จะค่อย ๆโผล่หัวออกมาให้เราเห็นจนได้ ”
นี่ต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
อีกทั้งตัวตนของศัตรูรายนี้ ดูเหมือนมี ดูเหมือนไม่มี ขบคิดไม่แตก เดิมทีไม่ว่าอะไรเขาก็ผลักไปลงที่หงเย่ทั้งหมด แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ฝีมือหงเย่แน่นอน
อ๋องอานก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ อ๋องจี้หรือก็….. โคลนเลนพรรคนั้นช่างมันเถอะ
ปีใหม่ผ่านไปอย่างง่ายดาย นอกจากเรื่องราวเล็กกระจิดริดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นอีก
วันที่แปดของวันตรุษจีนเป็นวันเริ่มเปิดทำงานของราชสำนัก และยังเป็นวันมหามงคลด้วย ส่วนเรือนของใต้เท้าทังก็เริ่มขนย้ายเครื่องเรือนเข้าไปแล้วเช่นกัน
อะซี่แอบไปดูแล้วกลับมาบอกหยวนชิงหลิงว่า ใต้เท้าทังนั้นยากจนมากจริง ๆ เขาซื้อแค่เตียงหนึ่งหลัง ตู้หนึ่งหลัง โต๊ะอาหารหนึ่งตัวกับเก้าอี้แค่สองสามตัว ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้อีกเลย กระทั่งฉากกั้นบังลมสักฉากก็ยังไม่มี
หยวนชิงหลิงแปลกใจมาก จะว่าไปเงินของใต้เท้าทังก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่น่าจะขัดสนยากไร้ได้ขนาดนี้สิ ? รอจนกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ หยวนชิงหลิงก็เรียกทังหยางมาพูดคุยถามไถ่เกี่ยวกับเรือนใหม่ แล้วถามอย่างสุภาพว่า: “ได้ยินมาว่าเริ่มมีการขนเครื่องเรือนเข้าไปแล้ว เจ้ามีเงินพอซื้อหรือไม่? ถ้าไม่พอ ก็ไปเบิกมาจากห้องบัญชีก่อนก็ได้ ต้องซื้ออะไรก็ซื้ออันนั้นเถอะ ไม่ต้องประหยัดมากมายนักหรอก”
ทังหยางถึงกับหัวเราะขึ้นมา “พระชายารัชทายาท สิ่งที่ท่านพูดมาช่างทำให้กระหม่อมทั้งขบขันทั้งซาบซึ้งยิ่งนัก ปกติท่านเองก็แทบไม่อาจตัดใจใช้จ่ายได้ ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนประหยัดยิ่งนัก แต่กลับมาบอกกระหม่อมว่าไม่ต้องประหยัดก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เรือนใหม่ทั้งที ก็ควรต้องซื้อทุกอย่างที่จำเป็นต้องซื้อนั่นล่ะ”
ดวงตาของทังหยางเกิดประกายวาบด้วยความซาบซึ้ง ประสานมือพลางพูดว่า “พระชายารัชทายาททรงมีเมตตายิ่งนัก แต่ไม่จำเป็นหรอก กระหม่อมมีเงินอยู่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ได้สะสมเงินบางส่วนไว้ใช้จ่ายในอนาคตบ้างแล้ว”
“เช่นนั้นก็ได้!” หยวนชิงหลิงรู้สึกค่อนข้างแปลกใจขึ้นมาอีกแล้ว ในเมื่อมีเงินแท้ ๆ ทำไมถึงได้จัดการทุกอย่างออกมาได้ทรุดโทรมแร้นแค้นขนาดนี้กันนะ?
นางถามอีกครั้ง: “เจ้าวางแผนว่าจะย้ายเข้าเรือนใหม่เมื่อไหร่รึ? จะจัดพิธีหรือไม่?”
ทังหยางตอบว่า: “กระหม่อมจะย้ายเข้าไปอยู่ในวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ และไม่จำเป็นต้องทำพิธีใด ๆ แค่ทุกคนมาทานอาหารร่วมกันสักมื้อ ถึงเวลากระหม่อมจะมาเชิญทุกท่าน”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ข้ายังไม่เคยเห็นภรรยาของเจ้าเลย ครั้งนี้นับว่ามีโอกาสได้เจอกันแล้ว หลังจากนี้ได้ไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ ก็คงจะดี”
ทังหยางยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพานางมาทักทายพระชายาบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้นางก็เคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่าอยากจะมาเยี่ยมเยียนทักทายท่าน จะได้กล่าวขอบคุณด้วยตัวเองสักครั้ง”
“เกรงใจเกินไปแล้ว!” หยวนชิงหลิงยิ้มตอบ
ทังหยางกล่าวลา แต่ทันใดนั้นก็หันกลับมาแล้วพูดว่า: “พระชายารัชทายาท อาหารเย็นคืนพรุ่งนี้จัดที่เรือนใหม่ของกระหม่อม เพราะโต๊ะเก้าอี้ไม่พอ จึงต้องขอหยิบยืมจากจวนอ๋องไปก่อน และจะขอยืมแรงคนจากในจวนมาช่วยข้าจัดเตรียมหน่อยจะได้หรือไม่?”
“เจ้าจัดการได้ตามสมควรเลย เดิมทีโดยพื้นฐาน เรื่องภายในจวนก็เป็นเจ้าที่จัดการความเรียบร้อยทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่ต้องถามข้าหรอก ” หยวนชิงหลิงตอบ
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบคุณพระชายารัชทายาท!” ทังหยางประสานมือลาแล้วเดินออกไป
ใต้เท้าทังย้ายเข้าเรือนใหม่จะเชิญทุกคนมากินข้าว นี่ทำให้ทุกคนมีความสุขมาก เพราะใต้เท้าทังเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวจริง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเขายอมควักกระเป๋าจ่ายค่าอาหารเพื่อเชิญใครกินข้าวมาก่อนเลย
สวีอียิ่งดีใจกว่าใคร เพราะหลังจากนี้เขาจะสามารถเป็นเพื่อนบ้านกับใต้เท้าทังได้อีก บ้านทั้งสองหลังถูกกั้นด้วยกำแพงผืนเดียว เขายังแอบพูดกับอะซี่ด้วยว่า จากนี้ถ้าใต้เท้าทังกับภรรยาทะเลาะกัน พวกเขาก็จะได้ยินแล้วล่ะ
อะซี่พูดโดยหน้าตาไม่แสดงอารมณ์ว่า “ใช่แล้ว หลังจากนี้เวลาที่ข้าทุบตีเจ้า พวกเขาก็จะได้ยินด้วยเช่นกัน”
สวีอีรู้สึกว่าอะซี่หลังจากแต่งงานแล้ว มีนิสัยที่อ่อนโยนใส่ใจได้เพียงเดือนเดียว ตอนนี้ก็กลับสู่สภาพเดิมอีกแล้ว พูดจาแต่ละทีหาสาระดีๆไม่เคยได้
ทุกคนต่างเตรียมของขวัญไว้พร้อม วันรุ่งขึ้นพวกเขาได้ยินเสียงประทัดถูกจุด คาดว่าพวกเขาน่าจะย้ายเข้ามาแล้ว
ตามที่คาดการณ์ไว้ ลู่หยาวิ่งไปสอบถามให้แน่ใจรอบหนึ่งก่อน เมื่อกลับมาก็บอกว่าทำพิธีบูชาเทพเจ้าแล้ว รอแค่หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ก็สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ทันที
ยามอู่ หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงก็นำหมู่คณะไปที่นั่น ทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกของจวนนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย เป็นเพียงการพาคนกลุ่มหนึ่งเดินดุ่ม ๆ มายังเรือนใหม่ของทังหยางเท่านั้น
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าเข้าไป แวบแรกที่เห็นกลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับโต๊ะและเก้าอี้พวกนี้อย่างยิ่ง หลังจากถามหยวนชิงหลิง ถึงได้รู้ว่าไปย้ายมาจากจวนอ๋อง จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ท่านอ๋อง พระชายา เชิญทุกท่านนั่งก่อน กระหม่อมจะพาภรรยาออกมาทักทาย” ทังหยางพูดพลางหันหลังเดินเข้าไป
อะซี่ค่อนข้างตื่นเต้น พูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้พบฮูหยินของไต้เท้าทัง”
“ใครบ้างล่ะที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้พบ? ” สวีอีก็สงสัยมากเช่นกัน ฮูหยินของใต้เท้าทังจะน่าทึ่งขนาดไหนกันแน่นะ? ถึงกับทำให้เขาเก็บซ่อนนางไว้ตั้งหลายปีโดยไม่ยอมพามาให้ทุกคนได้พบหน้าบ้างเลย