บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1037 อะโฉ่ว
หยวนชิงหลิงไม่ได้หยุดเขา เพราะเข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของหงเย่ นางเชื่อว่าหงเย่ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้นกับนาง มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเพราะนางดูเหมือนแม่ของเขาอยู่นิดหน่อยก็เท่านั้น
ดังที่ฟางหวูพูดไว้ ตลอดชีวิตนี้ของเขา เขาเพียรเยียวยารักษาช่วงวัยเด็กมาโดยตลอด
หงเย่พาพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา ความใส่ใจนี้ควรจดจำไว้เสียหน่อยจริง ๆ
ระหว่างกินข้าว หงเย่ไม่ได้พูดอะไร แค่กินอย่างเงียบ ๆ ทั้งยังไม่ได้คีบอาหารให้หยวนชิงหลิงด้วย ซึ่งทำให้อะซี่รู้สึกพอใจมาก เพราะนางกลัวว่าเขาจะทำพฤติกรรมที่มากเกินไป จึงเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดชนิดไม่ให้คลาดสายตา
ซาลาเปาแสดงท่าทีชัดเจนว่ารู้สึกเบื่อ เพราะการเดินทางครั้งนี้มีแค่ตัวเองคนเดียว ไม่มีน้องชายมาด้วย ที่ผ่านมาเขามักจะรำคาญเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของพวกน้องชายเสมอ แต่เมื่อเขาไม่ได้อยู่กับพวกน้องชาย เขากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาเสียได้
“ท่านแม่ ข้ากินเสร็จแล้วขอรับ!” เขาวางตะเกียบแล้วพูดขึ้น
“ถ้นอย่างนั้นลูกก็พาเจ้าหมาป่าออกไปเดินเล่นเถอะ อย่าไปไกลนักล่ะ ” หยวนชิงหลิงพูด
ซาลาเปากระโดดแผล็วอย่างมีความสุข “ท่านลุงค่อย ๆ กินนะ ท่านอาอะซี่ค่อย ๆ กินนะ!” พูดจบ เขาก็พาหมาป่าหิมะวิ่งออกไปทันที
หงเย่ยิ้มพลางมองดูซาลาเปา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าสอนลูกได้ดีมากเลยนะ”
“ความสุภาพระดับพื้นฐานน่ะ!” หยวนชิงหลิงจิบน้ำแกง แล้วเงยหน้าขึ้นมองชามข้าวของหงเย่ เขากินไปบ้างแล้ว แต่เกือบทั้งมื้อเขาแทบไม่กินกับข้าวอะไรเลย “อาหารไม่ถูกปากรึ?”
หงเย่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ กินไปหลายคำแล้ว”
“ เจ้ากินให้เยอะกว่านี้หน่อยก็ได้ ยังมีอีกตั้งเยอะเลยนะ ” หยวนชิงหลิงมองดูอาหารที่เขาสั่ง อันที่จริงมันอร่อยมากทีเดียว นางเองก็กินไปเยอะมาก อะซี่ก็ชอบกินเหมือนกัน มีแค่เขาที่ไม่ได้กินมากมายเท่าไหร่นัก ยังเหลืออยู่อีกเป็นครึ่งเลยทีเดียว
“เจ้ากินเยอะกว่านี้หน่อยดีกว่า” หงเย่มองนาง “ข้าเห็นว่าเจ้าชอบกิน เลยให้เจ้ากินเยอะหน่อย”
หยวนชิงหลองหลุดหัวเราะ “ต่อให้ข้าชอบกินกว่านี้อีกสักแค่ไหน ข้าก็กินเยอะขนาดนี้ไม่ไหวหรอก ข้ากินอิ่มแล้วล่ะ”
คราวนี้หงเย่ถึงค่อยหยิบตะเกียบขึ้นมาช้า ๆ “ถ้าเจ้าอิ่มแล้ว เช่นนั้นข้าจะกินให้มากกว่านี้อีกหน่อยแล้วกัน”
สิ่งนี้ทำให้หยวนชิงหลิงสับสนมึนงงไปหมดแล้วจริง ๆ ทำเหมือนกับว่านางใจร้ายใจดำไม่ยอมให้เขากินข้าวอย่างนั้นแหล่ะ แถมยังเหมือนเรียกให้เขากินของเหลืออีก เขากินต่อไปเรื่อย ๆ แต่กินช้ามาก แต่จริง ๆ แล้วการกินแบบตะกละตะกลามนักก็ไม่ดี เขาเพิ่มความเร็วนิดหน่อยด้วยการคีบอาหารที่อยากกินมาใส่ไว้ในชามตัวเอง จากนั้นก็ค่อย ๆ กินอย่างเชื่องช้า
รอจนเขากินเสร็จ ก็เดินทางกันต่อ รอจนถึงช่วงพลบค่ำก็แวะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ตลอดการเดินทาง เขาปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณอันดีมาโดยตลอด ทำให้อะซี่คลายความระแวดระวังต่อเขาไปได้บ้าง แต่ในทางกลับกัน ผู้หญิงที่ชื่ออะโฉ่วซึ่งมองหยวนชิงหลิงด้วยสายตาเกลียดชังอยู่ตลอดเวลาคนนั้น กลับทำให้อะซี่เกิดความรู้สึกระแวงนางขึ้นมามากกว่า
ก่อนหยุดพักในตอนค่ำ อะซี่มาพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “ผู้หญิงที่ชื่ออะโฉ่วนั่น พวกเราต้องคอยระวังนางให้ดีนะ ดูเหมือนนางจะเกลียดท่านมากเลยทีเดียว”
“ อะโฉ่ว? ” หยวนชิงหลิงไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับนางมากนัก เพราะใบหน้าของอะโฉ่วทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัว จึงไม่สามารถมองตรง ๆ ได้ อันที่จริง ใบหน้าของอะโฉ่วก็คล้ายกับแม่นมฉิน คือส่วนที่เป็นจุดด่างดำและความอัปลักษณ์บนใบหน้าเหล่านั้น อาจเป็นเพราะการร่ายอาคมกู่เพื่อการปลอมตัว เดิมทีอาจไม่ได้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่อะโฉ่วจะดูน่ากลัวกว่าแม่นมฉินอยู่มากเพราะแม่นมฉินจะดูน่าเกลียดเฉย ๆ ส่วนอะโฉ่วนั้นจะดูน่าเกลียดทั้งยังแฝงความชั่วร้ายไปด้วยพร้อม ๆ กัน
“ใช่ ต้องระวังตัวไว้ให้มาก ข้าเองก็จะคอยจับตามองนางด้วยเช่นกัน” อะซี่สำทับ
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปพักเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าแล้วไปที่ทะเลสาบจิ้งให้เร็วหน่อย” หยวนชิงหลิงพูด
อะซี่พยักหน้า “ตกลง ข้าจะไปเรียกซาลาเปากลับมาก่อน”
หลังจากนั้นไม่นาน ซาลาเปาก็อุ้มหมาป่าหิมะกลับมาในสภาพที่เลอะโคลนไปทั้งตัว หยวนชิงหลิงตำหนิเขาไปสองสามคำ แล้วยังต้องลงไปเรียกเสี่ยวเอ้อให้ยกน้ำร้อนมาให้เขาล้างเนื้อล้างตัว
ขณะที่นางเพิ่งจะเดินลงบันได ก็ถูกแรงหนึ่งดึงตัวเข้าไป หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ ชั่วขณะที่กำลังจะส่งเสียงร้อง นางกลับถูกปิดปากเอาไว้อย่างรวดเร็ว
มีคนบีบตัวนางจากข้างหลัง และคนคนนี้ เป็นคนที่นางรู้จัก
“หยวนชิงหลิง ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ อย่าได้คิดจะล่อลวงท่านชายเป็นอันขาด!”
เป็นเสียงของอะโฉ่วอย่างที่คิดจริงๆ
หยวนชิงหลิงผลักมือของนางออกไปแล้วหันกลับไปมองนาง ใบหน้าของอะโฉ่วบิดเบี้ยวจนกลายเป็นชิ้นเดียวกัน ดูยับย่นยู่ยี่แต่ก็ดูเลวร้ายเป็นพิเศษ ดวงตารูปสามเหลี่ยมเผยให้เห็นแววอาฆาตมาดร้าย ดูมีเจตนาร้ายที่หมายจะกัดกินคนได้ตลอดเวลา
หยวนชิงหลิงถึงกับตกใจอย่างกะทันหันจากก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว
“ได้ยินหรือไม่?” อะโฉ่วตะเบ็งเสียงพูด
หยวนชิงหลิงมองหน้านาง ตั้งสติกลับมาแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามองท่านชายของตัวเองสูงเกินไปหน่อยแล้วล่ะ!”
อะโฉ่วใช้มือข้างหนึ่งบีบเข้าที่คางอย่างแรง แล้วบังคับผลักนางขึ้นไปบนกำแพง แสงในดวงตาอันเกรี้ยวกราดฉายวาบขึ้นอีกครั้ง ตะคอกว่า “แล้วก็อย่าได้ใส่ร้ายเขา ดูหมิ่นเขาเป็นอันขาด!”
หยวนชิงหลิงหายใจอย่างยากลำบาก ยกมือขึ้นตบหน้าอะโฉ่วไปฝ่ามือหนึ่ง ยกหัวเข่าขึ้น เดิมทีตั้งใจว่าจะตีเข้าไปที่หน้าท้องของอะโฉ่ว แต่วรยุทธ์แบบแมวสามขาของนางทำได้อย่างมากสุดก็แค่ตบอะโฉ่วได้ฉาดเดียว เท้าที่ยกขึ้นพลันถูกอะโฉ่วเตะสวนกลับมา แล้วถูกเตะเข้าที่กระดูกหน้าแข้งแรง ๆ ซ้ำอีกครั้ง นางเจ็บจนแทบน้ำตาร่วง รู้สึกเลยว่ากระดูกน่องของนางอาจจะแตกไปแล้วก็ได้
กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาตรงไหล่ของอะโฉ่ว ของอะซี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบ ๆ เผยแววตาโกรธเคืองเป็นประกายลุกวาบ ใบหน้าเย็นชาจ้องมองอะโฉ่วเขม็ง “ปล่อยพี่หยวนเดี๋ยวนี้!”
อะโฉ่วแค่นเสียงอย่างดูถูก ปล่อยมือจากหยวนชิงหลิง “นังพวกไม่รู้จักเจียมกะลาหัว!”
อะซี่โกรธจัด เงื้อฝ่ามือขึ้นฟาดลงไปทันที “น้ำหน้าอย่างเจ้ายังกล้าด่าคนอื่นให้เจียมกะลาหัวอย่างนั้นรึ!?”
อะโฉ่วย่อมไม่มีทางยอมอ่อนข้อ จึงตอบโต้ทันที ทั้งสองจึงสู้กันจนชุลมุนไปหมด อะซี่กำลังนึกโกรธอยากจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนนางอยู่พอดี แต่คิดไม่ถึงว่าอะโฉ่วก็ไม่ใช่พวกไก่อ่อนที่ไหน นางถึงกับใช้มือเปล่ารับกระบี่ของอะซี่ได้ โดยไม่มีท่าทีว่าจะเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะเคยได้เรียนรู้ลูกไม้นิด ๆ หน่อย ๆ จากอะซี่มาบ้าง แต่นางก็มองออกได้ว่าถ้าทั้งสองยังคงสู้กันต่อไป อะซี่จะไม่มีทางเป็นคู่มือของอะโฉ่วได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่กำลังร้อนใจ ก็ได้ยินเสียงหงเย่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวมาจากชั้นสองว่า “อะโฉ่ว ถอยไปเดี๋ยวนี้!”
อะโฉ่วกำลังถูกอะซี่โจมตีจนเลือดขึ้นหน้าอยู่พอดี เมื่อได้ยินเสียงของหงเย่ แม้ในแววตาจะยังรู้สึกไม่ยินยอม แต่นางก็ยังถอยกลับไป ” คุณชายโปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
หงเย่ยกชายเสื้อขึ้นเดินลงมาข้างล่าง ใบหน้าที่หล่อเหลาดูหงุดหงิดอย่างมาก เงื้อมือขึ้นตบหน้าอะโฉ่วไปฉาดหนึ่ง “ใครใช้ให้เจ้าลงไม้ลงมือ?”
อะโฉ่วเก็บแววตาดื้อรั้นเกรี้ยวกราดกลับไป ยอมให้เขาตบนิ่ง ๆ แต่กลับไม่พูดแก้ตัวอะไร แม้แต่คำเดียว
อะซี่พูดอย่างเย็นชาว่า: “ท่านชายหงเย่ เจ้ามาได้ก็ดีแล้ว สาวใช้ของเจ้าคิดจะฆ่าพี่หยวน เจ้าต้องมีคำอธิบายดี ๆ ให้พวกข้าหน่อยล่ะ”
ดวงตาของหงเย่พลันผุดรังสีสังหารวาบ จ้องอะโฉ่วเขม็ง “ที่นางพูดมาเป็นความจริงหรือไม่?”
อะโฉ่วปรายตามองอะซี่อย่างเย็นชา “นางพูดจาเหลวไหล ข้าแค่พูดกับนางไปไม่กี่คำ”
“พูดไม่กี่คำก็บีบคอพี่หยวน? ทั้งยังเตะขาของนางด้วย ? นางไม่รู้วรยุทธ์ เจ้าเตะนางเข้าไปขนาดนั้น คิดจะหักขาของนางอย่างนั้นสินะ?” อะซี่โกรธจนควันออกหู
หงเย่หันกลับไปมองหยวนชิงหลิง ในแววตาเก็บซ่อนหมอกควันอันขุ่นเคืองเอาไว้มิดชิด “เป็นอะไรมากหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงจับราวบันไดพยุงตัว ก้าวขาไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่น่อง นางโบก ๆ มือ “น่ากลัวว่ากระดูกคงได้รับบาดเจ็บแล้ว”
“แกล้งสำออยอะไรไม่ทราบ? ข้าแค่เตะเจ้าไปทีเดียว” อะโฉ่วแผดเสียงดังลั่น ในดวงตาฉายแววเกลียดชังสุดขีด
หงเย่เงื้อมือขึ้นตบหน้านางไปอีกฉาด ดวงตาฉายแววเย็นชา “ไสหัวไปให้พ้น!”
ในใจอะโฉ่วไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างถึงที่สุด “เพื่อนาง ท่านถึงกับตบหน้าข้าถึงสองครั้ง นางมันก็แค่ตัวอะไร?”
ดวงตาของหงเย่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้าจะไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ หรือว่านับจากนี้จะไม่ต้องติดตามข้าอีก เลือกเอา!”
ดวงตาของอะโฉ่วเผยความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที “ท่านชาย ท่าน…”
นางจ้องไปที่หยวนชิงหลิงอย่างโหดเหี้ยม ในท้องเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันชั่วร้าย แต่เพราะสายตาที่มองมาด้วยความโกรธเคืองของหงเย่ ทำให้นางไม่กล้าพูดอะไร จึงทำได้แค่หันหลังเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง
เมื่ออะซี่เห็นความชั่วร้ายและความดื้อรั้นในสายตาของนาง จึงรู้สึกไม่อาจวางใจอย่างมาก พูดกับหงเย่ว่า : “ท่านชาย คนของเจ้าก็ช่วยสอดส่องดูแลให้มันดี ๆ หน่อย วันพรุ่งนี้ก็อย่าได้ร่วมทางไปด้วยกันอีกเลยจะดีกว่า”