บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1038 เช่นนั้นก็ฆ่าทิ้งเสียเถอะ
หงเย่หันไปมองหยวนชิงหลิง ในดวงตามีแวววิตกกังวลไม่น้อย “เป็นอย่างไรบ้าง? อาการบาดเจ็บหนักมากหรือไม่? ”
หยวนชิงหลิงพยายามเดินอีกสองก้าว แต่ก็ยังเจ็บแปลบจนเกินจะทนได้ ถือว่ายืนยันได้แน่แล้วว่ากระดูกหัก นางพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ตัวข้าเองมียา กลับไปกินยาก็พอ”
เขายื่นมือออกมา ตั้งใจว่าจะช่วยพยุงหยวนชิงหลิง แต่หยวนชิงหลิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “ไม่ต้องหรอก อะซี่จะช่วยข้าเอง ท่านชายไปพักผ่อนเร็วขึ้นหน่อยเถอะ วันพรุ่งนี้ก็เดินทางต่อไปเองจะดีกว่า”
มือที่ยื่นออกมาของหงเย่ถูกแช่แข็งกลางอากาศ เจ้าตัวค่อย ๆ ดึงมันกลับไป มองดูอะซี่ช่วยพยุงนางเดินขึ้นไปอย่างช้า ๆ ขาของนางคงจะเจ็บมากจริง ๆ เมื่อครู่เห็นน้ำตาที่คลออยู่ใต้ตาน้อย ๆ ของนาง หงเย่ยืนมองอย่างเงียบ ๆ ในแววตาลึก ๆ มองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่
เมื่อกลับมาที่ห้อง อะซี่ก็ช่วยนางดึงเสื้อผ้าขึ้นเพื่อตรวจดู ที่น่องของนางบวมเล็กน้อย อะซี่กางมือออกแล้วลองกด ๆ ลงไป หยวนชิงหลิงเจ็บมากจนเริ่มจะทนไม่ไหว “น่ากลัวว่ากระดูกคงจะแตกจริง ๆ แล้วล่ะ”
ซาลาเปาโน้มตัวเข้ามา “ท่านแม่ ใครตีท่านน่ะ? ข้าจะไปเอาคืนให้ท่านเอง”
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเล่นเถอะ” หยวนชิงขมวดคิ้วพลางพูดกับลูก
ซาลาเปาตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วออกไปกับหมาป่าหิมะ
อะซี่พูดอย่างดุดันว่า: “นังสารเลวอะโฉ่วนั่น หน้าตาน่าเกลียดไม่พอจิตใจก็ยังน่าเกลียดอีก ถึงกับลงมือหนักหน่วงขนาดนี้ หงเย่เก็บคนแบบนี้ไว้ข้างตัว ไม่ช้าก็เร็วมันจะเป็นผลร้ายกับพวกเราแน่นอน อีกทั้งวรยุทธ์ของนางก็แข็งแกร่งมากขนาดนั้น ต้องพยายามไปมาหาสู่กันให้น้อยหน่อย หากรัชทายาทรู้เรื่องนี้เข้า คงจะรู้สึกเจ็บปวดใจแทบตายแน่เลย”
หยวนชิงหลิงพ่นยาที่ขา ซึ่งช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ชั่วคราว แต่อาการบาดเจ็บที่เป็นหนักจนถึงขนาดนี้ อาจเป็นเรื่องยากมากที่จะไปยังทะเลสาบจิ้ง
ในใจนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว อะโฉ่วคนนี้มีความเกลียดชังอะไรนางนักหนา? ถึงต้องทำกันจนถึงขนาดนี้?
“ตอนไปที่ทะเลสาบจิ้ง น่ากลัวว่าคงจะต้องให้เจ้าช่วยพยุงข้าหน่อยแล้วล่ะ” หยวนชิงหลิงพูด
“ข้าแบกท่านไปก็ยังได้เลยนะ” อะซี่ขมวดคิ้ว ในใจนึกเกลียดชังอะโฉ่วอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเป็นห่วงหยวนชิงหลิงเหลือเกินแล้ว
หลังจากที่หยวนชิงหลิงพ่นยาเสร็จ ก็ใช้ผ้าพันแผลพันไว้จนแน่น จากนั้นค่อยให้อะซี่ช่วยพยุงนางไปนอนลง แล้วยกเท้าให้สูงขึ้น หลังจากกินยาบรรเทาปวดภายในแล้ว จึงขอให้อะซี่ออกไปช่วยดูซาลาเปาหน่อย ส่วนนางขอนอนพักสักครู่
อะซี่รู้สึกไม่วางใจ “ถ้าเกิดนังสารเลวอะโฉ่วจอมอัปลักษณ์นั่นมันมาอีกจะทำอย่างไรล่ะ?”
“หงเย่จะจับตามองนางเอง ข้าเกิดเรื่องเข้าจริง ๆ แล้วมันต้องไม่ส่งผลดีกับหงเย่ เขามีขอบเขตอยู่ เจ้าไปดูซาลาเปาก่อนจะดีกว่า เขาไม่เชื่อว่าหรอกว่าเมื่อครู่ข้าแค่หกล้ม เพื่อไม่ให้เกิดมีปัญหาอะไรตามมาในภายหลัง” หยวนชิงหลิงพูดเบา ๆ ขาของนางเจ็บค่อนข้างหนัก นางเริ่มจะรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาหน่อย ๆ แล้ว
อะซี่กลับมีความหวังว่าซาลาเปาจะไปซ้อมอะโฉ่วนั่นให้หนัก ๆ สักยก แต่ก็กลัวว่าซาลาเปาจะเสียเปรียบ เพราะวรยุทธ์ของผู้หญิงคนนั้นสูงเกินไป นางพูดว่า “เช่นนั้นก็ได้ ท่านพักผ่อนเถอะ มีอะไรก็เรียกข้าล่ะ”
นางหันหลังเดินออกไป ลงไปข้างล่างเพื่อไปหาซาลาเปา
ซาลาเปากับหมาป่าหิมะกำลังเล่นกันอยู่บนถนนที่หน้าทางเข้าโรงเตี๊ยม หลายคนคิดว่าหมาป่าหิมะเป็นหมาธรรมดา จึงพากันมาหยอกล้อเล่นด้วย หมาป่าหิมะก็อ่อนโยนมาก ไม่แสดงท่าทีดุร้ายอะไรออกมา อะซี่เห็นอะโฉ่วซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วแอบยื่นสายตาสามเหลี่ยมอันชั่วร้ายจ้องมองมา ในใจของนางพลันเกิดอาการตื่นตัวขึ้นทันที คงไม่ใช่ว่านางมีความคิดชั่วร้าย เปลี่ยนมาลงมือกับซาลาเปาแทนหรอกนะ?
นางกอดกระบี่มายืนอยู่ข้าง ๆ ซาลาเปาทันที ชำเลืองมองอย่างเย็นชา ไม่ยอมให้อะโฉ่วเข้าใกล้เขาได้แม้เพียงครึ่งก้าว
หยวนชิงหลิงนอนอยู่ชั้นบน อดทนต่อความเจ็บปวด ทั้งกินยาแก้ปวดทั้งพ่นสเปรย์ระงับปวด แต่ก็ยังหยุดไม่ได้ ความเจ็บปวดจากอาการกระดูกหักนั้นทรมานเหลือจะเอ่ย เทียบไม่ได้กับอาการบาดเจ็บที่เนื้อหนังภายนอก
ประตูถูกเคาะเบา ๆ สองครั้ง เป็นเสียงของหงเย่”ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว “ข้าหลับอยู่”
การปฏิเสธด้วยวิธีนี้ ไม่แค่ทำให้คนไม่ไป แต่ยังผลักประตูเข้าไปเดินเข้าไปตรง ๆ เมื่อเห็นนางนอนอยู่บนเตียงโดยที่เท้ามัดห้อยอยู่ สีหน้าก็ขาวซีดเพราะความเจ็บปวด ในดวงตาของเขาก็ฉายแวววิตกกังวลผุดวาบ “เจ็บมากสินะ?”
เดิมทีหยวนชิงหลิงพยายามอดทนต่อความเจ็บปวด ด้วยการหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ แต่เมื่อเขาถามประโยคนี้ออกมา จึงรู้สึกท้อแท้พูดอย่างจนใจว่า “มันก็ต้องเจ็บมากอยู่แล้วสิ”
“ปกตินางมีนิสัยขี้โมโหฉุนเฉียวง่าย ข้าได้ตำหนินางไปแล้ว” หงเย่ดูเหมือนไม่เคยรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง สภาพแบบนี้ ไหนเลยจะมีมาดของหงเย่นักวางกลยุทธ์ที่สร้างความระส่ำระสายไปทั้งสามแคว้นคนนั้น?
หยวนชิงหลิงไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้อีกต่อไปแล้ว จึงถอนหายใจเฮือก “ดี ขอบคุณท่านชายที่ตำหนินาง ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เชิญท่านชายกลับไปเถอะ”
หงเย่กลับไม่ยอมออกไป ดึงเก้าอี้แล้วนั่งลงข้างเตียง ” ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง คุย ๆ กันไปก็ไม่เจ็บแล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงแทบจะสำลักอากาศ นี่มันทฤษฎีบ้าบออะไรกันแน่ล่ะนี่? กินยาแก้ปวดยังหยุดปวดไม่ได้เลย คุยกับเขาแล้วจะหยุดปวดได้ยังไงล่ะ?
นางพูดด้วยท่าทางมีแรงใจแต่ไร้กำลังว่า “ข้าไม่อยากคุยอะไรแล้ว ข้าแค่อยากพักผ่อน”
หงเย่กลับทำเหมือนคนหูหนวก “อะโฉ่วรู้จักเจ้า”
หยวนชิงหลิงแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ใช่สิ นางทำให้ข้าบาดเจ็บถึงขนาดนี้ ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ?”
“ไม่” หงเย่มองนางพลางส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่ความหมายนั้น มันไม่เหมือนกัน”
หยวนชิงหลิงรู้สึกเจ็บจนเริ่มจะสติแตกแล้ว “มันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าพูดมาให้มันจบ ๆ เสียที”
ดวงตาของหงเย่อบอุ่นและนุ่มนวล พูดเสียงแผ่วเบาว่า: “นางเป็นน้องสาวของกู้จือ”
หลังจากหยวนชิงหลิงได้ยินเรื่องนี้ ก็มองเขาด้วยความตกตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้าพูดจริงน่ะรึ? กู้จือไม่ใช่หมอผีหญิงหรอกหรือ?”
“หมอผีหญิงก็มีแม่คลอดมา ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่จนเติบโตเหมือนกันนะ กู้จือเป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งครอบครัว แต่นางกลับต้องมาตกอยู่ในมือของพระชายาเว่ย นางคิดว่าเจ้าเองก็เป็นผู้กระทำความผิดด้วย ดังนั้นถึงได้อยากแก้แค้นเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
หยวนชิงหลิงถึงกับหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ไปทั้งร่าง สวรรค์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่อะโฉ่วจะคิดแค้นเกลียดชังนางมากถึงขนาดนี้ ที่แท้นางเป็นน้องสาวของกู้จือ ถึงได้ปฏิบัติกับนางแบบนี้ ในวันนั้นที่ได้เห็นจิ้งเหอที่เจียงเป่ย ทำไมนางจะไม่อยากฆ่าจิ้งเหอให้ตายไปเสียให้พ้นล่ะ?
หงเย่เหมือนจะมองทะลุความคิดของนางได้ พูดขึ้นว่า “ถูกต้อง นางคิดจะฆ่าจิ้งเหอ ดังนั้นถึงคิดจะหยุดข้าไม่ให้พาเจ้าเข้าไปที่เขตหมอผี นางเกลียดจวิ้นจู่จิ้งเหอเข้าไส้เลยเชียวล่ะ”
หัวข้อนี้บรรเทาความเจ็บปวดได้จริงๆ หยวนชิงหลิงพยายามฝืนพยุงร่างกายของตัวเองขึ้นมา แต่เท้าของนางถูกมัดห้อยอยู่ ทำให้นางเหนื่อยยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงต้องกลับไปทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง “ท่านชาย ถ้าหากอะโฉ่วจะส่งผลร้ายต่อข้ากับจิ้งเหอล่ะก็ น่ากลัวว่าคงไม่อาจปล่อยนางไว้ได้แน่ ทางที่ดีเจ้าควรไปเกลี้ยกล่อมนางให้หยุดซะ”
“นางยังคงฟังคำสั่งข้าเป็นการชั่วคราวล่ะนะ” หงเย่พูด
“ชั่วคราว? หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า นางเองก็จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่ฟังคำสั่งของเจ้าอย่างนั้นสินะ? ” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าคนคนนี้อันตรายมาก
หงเย่ยิ้มจาง ๆ ” ใครจะไปเชื่อฟังคนคนหนึ่งได้ตลอดชีวิตกันล่ะ? ถ้านางไม่เชื่อฟังขึ้นมาเมื่อไหร่ ข้าก็จะฆ่านางทิ้งซะ เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติตามมาในภายหลัง ”
“ฆ่านางทิ้ง?” หยวนชิงหลิงมองเขา ชั่วขณะที่เขาบอกว่าจะฆ่านางทิ้ง ในสายตาของเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรอยู่เลย ราวกับว่าอะโฉ่วไม่ใช่ที่คนอยู่กับเขามานาน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าไม่ได้มองว่าเป็นคนคนหนึ่ง แต่มองว่าเป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น
หงเย่หันมามองนาง “ในเมื่อนางไม่เชื่อฟัง ทั้งยังจะส่งผลร้ายต่อพวกเจ้า ฆ่าทิ้งไปซะไม่ดีกว่ารึ? หรือจะปล่อยไว้ให้นางมาตามฆ่าเจ้าในภายหลังกันล่ะ?”
หยวนชิงหลิงเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดีเหมือนกัน รู้แค่ว่าในใจตอนนี้มันลำบากคับข้องใจอย่างมาก “ข้าจะระวังตัวเองให้มากแล้วกัน มีคนไม่น้อยหรอกที่อยากจะฆ่าข้าให้ตาย”
“คนเหล่านั้นไม่ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า ถ้าหากพวกนั้นมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าจริง ๆ เกรงว่า รัชทายาทย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาให้รอดไปได้แน่ อะโฉ่วคิดจะฆ่าเจ้า แล้วมันต่างอะไรกับพวกคนที่อยากจะฆ่าเจ้าพวกนั้นกันล่ะ?”
“ แต่พอคำพูดแบบนี้หลุดออกมาจากปากของเจ้า ข้ามักรู้สึกว่ามันฟังดูแล้งน้ำใจ ชวนให้เสียความรู้สึกสิ้นดีเลยน่ะสิ นางเป็นคนที่คอยติดตามรับใช้เจ้า…”
หงเย่ตัดบทคำพูดนางทันที “ข้าเป็นคนให้ชีวิตนาง ถ้าหากไม่มีข้า นางคงตายไปนานแล้วล่ะ”
“ชีวิตของเจ้าก็เพราะเจ้าลิงเป็นคนมอบให้ ถ้าหากเจ้าลิงเกิดอยากจะฆ่าเจ้า เจ้าก็จะยอมปล่อยให้เขาฆ่าอย่างสงบเสงี่ยมเชื่อฟังอย่างนั้นรึ?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ!” หงเย่รู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องปกติมาก เป็นเรื่องที่ปกติจนไม่มีอะไรที่ปกติไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เขายังคงใช้สายตาที่อ่อนโยนมองดูนางเหมือนเดิม “เจ้าช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมาย คนเหล่านั้นก็สมควรมอบชีวิตของตัวเองให้เจ้าเช่นกัน ขอเพียงเจ้ายินดีแม้กระทั่งไท่ซ่างหวงองค์ปัจจุบัน ขอเพียงเจ้ามีความต้องการนี้ เขาก็ต้องสละชีวิตของเขาเพื่อเจ้าเช่นกัน”