บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1041 ข้าดีกว่าเขามาก
แต่หงเย่กลับรู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับคำที่พูดว่าหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอย่างยิ่งใหญ่ และฟังคำพูดอื่นๆของหยวนชิงหลิงอย่างเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป
หยวนชิงหลิงรู้สึกเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว มองเขาอย่างระอาใจ “อืม หวังว่าพวกเราจะเป็นเพื่อนกันได้”
หลังจากอาซี่จ่ายเงินแล้วก็พาซาลาเปาและหมาป่าหิมะออกมา และไม่ได้กล่าวลากับหงเย่ ตรงไปประคองหยวนชิงหลิงขึ้นรถม้า อะซี่ขับรถม้า หมาป่าหิมะนั่งคู่อยู่ข้างหน้ากับนางด้วยท่าทีน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ยกแส้ขึ้นมา ก็ได้ยินหงเย่พูดว่า “ขอให้เดินทางอย่างระมัดระวัง พวกเรากลับเมืองหลวงแล้วค่อยพบกันใหม่”
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปจากม่านรถม้า โบกมือชั่วครู่ถือว่าได้กล่าวลากันแล้ว ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ
กลับไปยังเมืองหลวง เจ้าห้าเห็นนางได้รับบาดเจ็บกลับมา ก็ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง หยวนชิงหลิงกับอะซี่ได้เตรียมคำสารภาพที่ตรงกัน บอกว่าหกล้ม เจ้าห้าตำหนิซาลาเปากับหมาป่าหิมะยกใหญ่ บอกว่าทำไมไม่ปกป้องท่านแม่ดีๆ ซาลาเปาน้อยใจมาก โต้แย้งว่าเป็นท่านแม่เองที่เดินไม่ระวังจนทำให้หกล้ม จะมาโทษเขาได้อย่างไร เขาเป็นเด็กเขายังไม่หกล้มเลย
ที่จริงหยวนชิงหลิงก็อยากจะบอกความจริงกับเขา แต่ก็กลัวเขาจะโกรธจนระเบิดอารมณ์ออกมาจึงไม่กล้าพูด แต่โกหกเจ้าห้าแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจ นอนอยู่บนเตียงด้วยความกระวนกระวายใจ หยู่เหวินเห้าคิดว่านางคงจะเจ็บมาก รู้สึกสงสารจับใจ แม้แต่การปรึกษาเรื่องงานก็ไม่ไปแล้ว อยู่เฝ้านางที่บ้านแทน
หยู่เหวินเห้านั้นเชื่อมั่นในตัวของหยวนชิงหลิงอย่างเต็มเปี่ยม ฉะนั้นจึงไม่ได้สงสัยเลยว่าจะมีสิ่งใดปิดบังกันอยู่ ได้แต่ดูแลอย่างใส่ใจ ยังปลอบใจยายหยวนว่ารอให้งานเขาไม่ค่อยยุ่งแล้ว จะไปที่ทะเลสาบจิ้งเป็นเพื่อนนาง
ในใจของหยวนชิงหลิงนั้นซ่อนเรื่องราวเอาไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะกับเจ้าห้า เมื่อแอบซ่อนเรื่องราวเอาไว้ในใจก็รู้สึกเหมือนมีหนามแหลมทิ่มแทงอยู่ แม้แต่มองเขายังไม่กล้า
อะโฉ่วคือภัยเงียบ ที่จริงสมควรจะบอกให้เจ้าห้ารู้ อาศัยแค่นางคนเดียวคงป้องกันไม่ได้ และไม่สามารถหวังให้หงเย่ไปควบคุมทั้งหมด การควบคุมของหงเย่ นั่นก็คือฆ่าคน ฉะนั้น แม้จะไม่บอกกับเจ้าห้าว่านางถูกอะโฉ่วทำร้าย ก็ต้องบอกกับเขาถึงฐานะที่แท้จริงของอะโฉ่ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็พูดขึ้นว่า “อะโฉ่วที่คอยติดตามอยู่ข้างกายหงเย่อยู่เสมอ ท่านยังจำได้หรือไม่ ”
“จำได้ ”หยู่เหวินเห้าเอาน้ำมาให้นางแก้วหนึ่ง นั่งลงข้างกายนาง “ทำไมจึงได้พูดถึงคนคนนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน”
“นางเป็นน้องสาวของกู้จือ”
หยู่เหวินเห้าตื่นตะลึง “กู้จือยังมีน้องสาวหรือ”
“ใช่ กู้จือเป็นสาวหมอผี แต่น้องสาวนางไม่ใช่ แต่ต้องเป็นคนเจียงเป่ยแน่ๆ ”
หยู่เหวินเห้าวางแก้วน้ำลง ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “นางเป็นคนเจียงเป่ย และพี่สาวนางเป็นสาวหมอผี แต่ว่าตอนนั้นตอนที่เข้าไปยังเจียงเป่ย นางกับหงเย่พาพวกเราเข้าไปตลอดทาง นี่นางทรยศคนในเผ่าของตนเองหรือ”
“น่าจะใช่”ที่จริงหยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าอะโฉ่วทำเช่นนี้มีความย้อนแย้งมาก พี่สาวนางเป็นสาวหมอผี และการจับตัวจิ้งเหอไปเป็นการนำไปบูชาต่อดวงวิญญาณของพี่สาวนาง ทำไมนางต้องไปทำลายพิธีการด้วย แม้ว่านางจะเคยพยายามห้ามหงเย่ไม่ให้พาพวกเขาเข้าไป แต่ว่า การต่อต้านในส่วนนี้เมื่อเข้าไปยังเจียงเป่ยแล้วก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย
“หงเย่เป็นคนบอกเจ้าหรือ เจ้าเคยพบกับหงเย่หรือ”หยู่เหวินเห้ามองนางและถามขึ้น
หยวนชิงหลิงรู้ว่าคงปิดบังไว้ไม่ได้ เหลือบตาขึ้นและเอ่ยอย่างจนใจว่า “ที่จริงแล้ว ตอนที่พวกเราออกจากเมืองหลวงเขาก็ไล่ตามไปแล้ว จะไปทะเลสาบจิ้งกับพวกเรา แต่ว่าภายหลังข้าได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ข้ากลับมาแล้ว เขายังคงเดินหน้าต่อไปพร้อมอะโฉ่ว”
“เท้าของเจ้า เป็นอะโฉ่วหรือว่าหงเย่ที่ทำร้าย”ในสายตาของหยู่เหวินเห้าได้มีแววแห่งความโกรธเคืองผุดขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ใช่ ……”หยวนชิงหลิงมองเขา รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาบ้าง “เป็นข้าที่ไม่ระวังเดินตกบันไดจนได้รับบาดเจ็บ”
สีหน้าของหยู่เหวินเห้าค่อยๆจริงจังขึ้นมา “หยวน เจ้าโกหกไม่เป็น เวลาเจ้าโกหกนั้นสามารถดูออก เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่พูดเรื่องจริงกับข้า ”
หยวนชิงหลิงรู้ดีว่าตัวเองนั้นไร้หนทางที่จะโกหกเจ้าห้าได้ ได้แต่พูดออกมาว่า “ข้ากับอะโฉ่วเกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อย”
ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็โมโหขึ้นมาทันที “แต่เจ้ากลับไม่ได้บอกข้าในทันที แต่คิดว่าจะปิดบังเอาไว้ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าต้องปกป้องเขาด้วย”
“ข้าไม่ได้จะปกป้องเขา ข้าแค่ไม่อยากจะเป็นศัตรูกับเขาชั่วคราว ”หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาต้องโมโห รู้สึกระอาใจมาก
หยู่เหวินเห้าเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่อยากจะเป็นศัตรูกับใครทั้งนั้น แต่ว่าในเมื่อพวกเขามารังแกกันถึงที่ หรือว่าพวกเราจะทำเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองหรืออย่างไร เจ้าดูถูกใครกันแน่ ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น”นางถอนหายใจเบาๆหนึ่งเฮือก “พวกเราจะทะเลาะกันหรือ ทะเลาะเพราะหงเย่อีกครั้ง”
หยู่เหวินเห้าโมโหมาก แต่พอได้ยินคำพูดของหยวนชิงหลิง กลับนิ่งอึ้งไป ทะเลาะเพราะเขา ไม่คู่ควรเลยจริงๆ
“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดถึงแล้ว”หยู่เหวินเห้ามีบทเรียนจากครั้งที่แล้ว แม้จะโมโหมาก ก็สะกดกลั้นเอาไว้อย่างสุดกำลัง ยายหยวนยังได้รับบาดเจ็บอยู่ ความเชื่อใจและความเข้าใจพื้นฐานระหว่างพวกเขานั้นยังคงต้องมีอยู่
เขานั่งกลับไปที่ข้างกายของหยวนชิงหลิง ความโมโหในดวงตาหล่อเหลานั้นยังไม่จางหายไป พูดว่า “วันหน้าเรื่องที่เกี่ยวกับหงเย่ เจ้าไม่ต้องพยายามจะปิดบังข้า ได้หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงดึงมือของเขาเอาไว้ พยักหน้าเบาๆ “ได้”
ทั้งสองคนเกือบจะทะเลาะกันแล้ว อะซี่ที่อยู่ข้างนอกก็ฟังอยู่ ใจของนางนั้นรู้สึกเกลียดอะโฉ่วอย่างที่สุดแล้ว นี่ย่อมเป็นเพราะนางกับอะโฉ่วเคยต่อสู้กันครั้งหนึ่ง แต่กลับสู้อะโฉ่วไม่ได้ คนที่มีจิตใจอัปลักษณ์โหดร้ายกว่ารูปร่างหน้าตา นางเกลียดชังเสียจริง
นางหันไปปรึกษากับสวีอี รอให้อะโฉ่วกลับมาแล้วจะไปคิดบัญชีกับอะโฉ่ว ตอนนี้สวีอีสุขุมขึ้นมากแล้ว ได้ยินคำพูดใจร้อนของอะซี่
ก็พูดเกลี้ยกล่อมว่า “เรื่องนี้รัชทายาททรงรู้ว่าควรจะจัดการเช่นไร เจ้าไม่ต้องไปเพิ่มความวุ่นวาย”
“ข้าไม่ได้จะเพิ่มความวุ่นวาย ข้าต้องการระบายความอัดอั้น”อะซี่เอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ไม่ต้องรีบระบายอารมณ์ ตอนนี้งานของรัชทายาทค่อนข้างมาก ทำการพินิจพิเคราะห์เรื่องราวเพื่อจะหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้ และอ๋องผิงหนานก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องจนต้องไปอยู่ในคุกแล้ว ตอนนี้ในราชสำนักเกิดการหวาดระแวงในตัวอ๋องผิงหนานและอ๋องชินเฟิงอันไปต่างๆนานา ถ้าหากเวลานี้หงเย่เข้ามาพัวพันด้วย ย่อมต้องทำให้น้ำยิ่งขุ่นเข้าไปใหญ่”
อะซี่เองก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกแยะการใหญ่ ได้ยินสิ่งที่สวีอีพูด ก็รู้สึกใจเย็นลง “ได้ การใหญ่สำคัญ ข้ารู้แล้ว”
สวีอีจูงมือนางเดินออกไป “ตอนนี้องค์รัชทายาทได้ทำการปิดรูรั่วที่ต้องปิดทั้งหมดแล้ว ฝ่ายต่างๆที่มีอำนาจน่าสงสัย ก็ได้ส่งคนไปควบคุมเอาไว้แล้ว บวกกับอ๋องเว่ยก็ไปยังแคว้นต้าโจว ฉะนั้นที่จริงคนของเรานั้นไม่ค่อยจะเพียงพอ มีเรื่องเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเรื่องไม่สู้มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่อง รอให้เรื่องนี้สงบลงแล้ว ที่ควรแก้แค้นก็ต้องแก้แค้น ถึงเวลาข้าจะไปกับเจ้าเอง ระบายความแค้นให้เจ้า”
อะซี่เปลี่ยนจากความโมโหเป็นรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านสอนวิชาดาบให้ข้า ข้าพบว่าวิชาดาบของเจ้ายอดเยี่ยมขึ้นมาก มีเคล็ดลับอะไรใช่หรือไม่”
สวีอีซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ “ตอนที่ฝึกดาบ ให้คิดถึงศัตรูที่ทำให้เจ้ารู้สึกโมโห ”
“ทำได้หรือ เช่นนั้นข้าจะยกให้อะโฉ่วเป็นศัตรูอันดับที่หนึ่งของข้า ”อะซี่ชะงักไป บิดหูเขาขึ้นมาทันที “พูด ตอนที่เจ้าฝึกดาบ ศัตรูที่เจ้าคิดถึงเป็นใคร ใช่ข้าหรือไม่ ”
สวีอีเจ็บจนต้องโอดโอย รีบร้องขอความเมตตา “ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้า เป็นรัชทายาท มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาทำตัวได้น่าแค้นใจนัก ”
อะซี่ยิ้มและปล่อยเขาไป “ก็จริง แต่ว่าตอนนี้ได้กลับเนื้อกลับตัวแล้ว และก็ดีขึ้นมากแล้วด้วย ถ้าหากเจ้าดีกับข้าได้สักครึ่งหนึ่งที่รัชทายาทดีต่อพี่หยวนละก็ ข้าก็พอใจมากแล้ว ”
“ดูเจ้าพูดเข้าซิ ข้าทำให้ดีกว่าเขามากมายทีเดียว”สวีอีมองไปรอบๆแล้วเห็นว่าไม่มีคน ชั่วขณะนั้นก็หอมนางหนึ่งที สายตาที่เต็มไปด้วยความยินดีเปล่งประกายขึ้นมา