บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1043 ไว้อาลัย
พระชายาซุนกล่าวว่า “เพื่อเรื่องนี้ ข้าเคยไปที่จวนตระกูลลู่สองครั้ง เกลี้ยกล่อมไม่ได้ ข้าก็เลยไม่พูดอีก เพราะว่าเป็นเรื่องของคนในครอบครัว ข้าจะไปก้าวก่ายได้อย่างไร”
เห็นได้ว่าพระชายาซุนโมโหขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ที่สำคัญคือท่าทีอันน่าเกลียดของเสี้ยนจู่โหรหมิ่นนั้นนางเคยเห็นเองกับตามาแล้ว ลู่หยวนเป็นเด็กดีคนหนึ่ง จะให้ถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
หยวนหย่งอี้พูดว่า “ถ้าหากพี่ลู่กับเสี้ยวหงเฉิงอยู่ด้วยกัน ข้ากลับรู้สึกเหมาะสมกันมาก ”
“เจ้ารู้สึกเหมาะสมก็ไร้ประโยชน์ พ่อแม่ของเขาไม่ได้รู้สึกเหมาะสมด้วย”พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาพระชายาซุนก็รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง จึงทำท่ากดมือลง “ช่างเถอะ ไม่พูดถึงแล้ว”
หยวนหย่งอี้กับหยวนชิงหลิงต่างสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง นี่มันเป็นเรื่องที่ดีมาก ถ้าหากสำเร็จได้ก็คงจะดี
ด้วยเหตุนี้ วันนั้นหลังจากที่หยวนหย่งอี้กลับไปแล้ว ก็เชิญลู่หยวนมาพบกันที่จวน หลังจากนางแต่งงานแล้วนางก็ยังคงไปมาหาสู่กับลู่หยวนอยู่ไม่ขาด เพราะว่าตอนนี้มีสถานะเป็นพี่น้องกันแล้ว อ๋องฉีเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ ไม่หวาดระแวง
หยวนหย่งอี้แต่ไหนแต่ไรพูดจาตรงไปตรงมา ไม่มีทางอ้อมค้อม ฉะนั้นเมื่อเชิญเขามาที่จวนแล้ว นั่งลงดื่มชาไปแก้วหนึ่งก็ถามขึ้นว่า
“ข้าได้ยินพี่สะใภ้รองบอกว่า ท่านได้ให้แม่สื่อไปทาบทามเสี้ยนจู่โหรหมิ่นหรือ”
ลู่หยวนได้ยินประโยคนี้ก็หัวเราะขึ้นมา “ท่านแม่ที่คิดไปเองฝ่ายเดียว อีกฝ่ายก็ไม่ได้มองตระกูลลู่ของพวกเราอยู่ในสายตา ข้าได้ยินมาว่าเสี้ยนจู่โหรหมิ่นตอนนี้ยังคงคำนึงโหยหาถึงรัชทายาทอยู่”
“นางได้แต่หวังลมๆแล้งๆในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”หยวนหย่งอี้ขมวดคิ้วแน่น “นางคงจะเป็นบ้าไปแล้วกระมัง ถึงตอนนี้แล้วยังไม่ล้มเลิกความคิดที่มีต่อรัชทายาทอีก”
“หญิงสาวคนไหนไม่อยากจะยกระดับขึ้นมาเป็นคนที่มีฐานะกันเล่า เสี้ยนจู่โหรหมิ่นมีชาติกำเนิดที่ดี มารดาเป็นจวิ้นจู่องจิ้ง นางมีความคิดเช่นนี้ก็ธรรมดามาก ”ลู่หยวนไม่ได้มีเจตนาจะวิพากษ์วิจารณ์ และไม่ค่อยจะสนใจในหัวข้อสนทนานี้สักเท่าไหร่ จึงดื่มชาต่อไป
หยวนหย่งอี้มองเขา และค่อยๆยกแก้วน้ำชาขึ้นมา นางที่ตอนนี้ให้กำเนิดลูกสาวแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ยิ่งละเอียดอ่อนระมัดระวังมากขึ้นบ้าง ดื่มชาไปคำหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยขึ้นอย่างลอยๆว่า “การเดินทางไปเจียงเป่ยกับเสี้ยวหงเฉิงในครั้งนี้ แล้วก็เดินทางไปที่จวนเจียงเป่ยต่อ ร่วมงานกันมีความขัดแย้งอะไรหรือไม่ ”
ลู่หยวนยิ้มดวงตาค่อยๆเบิกกว้างขึ้น “เจ้าได้ยินอะไรมาใช่หรือไม่”
หยวนหย่งอี้พูดว่า “วันนี้ได้พูดคุยกับพวกพี่สะใภ้รอง ได้ยินเรื่องของท่านกับเสี้ยนจู่โหรหมิ่น แล้วบอกว่าท่านแม่บุญธรรมต้องการจะหยุดยั้งท่านกับเสี้ยวหงเฉิงอยู่ด้วยกัน ทำไม ท่านมีใจต่อเสี้ยวหงเฉิงหรือ”
ลู่หยวนยกขาขึ้นไขว่ห้าง ยกแขนเสื้อขึ้นทีหนึ่ง “จะว่าอย่างไรดีเล่า เจ้าสำนักเสี้ยวน่าสนใจมาก ”
หยวนหย่งอี้มองเขา “น่าสนใจ”
“น่าสนใจ”
หยวนหย่งอี้ขัดใจ “ถามท่านว่าน่าสนใจอย่างไร”
เสี้ยวหงเฉิงทำงานอย่างกล้าหาญมาก มีความมุ่งมั่นอย่างไม่คิดชีวิต แต่ว่าถ้าจะบอกว่าน่าสนใจ ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ที่จริงก็ไม่รู้เลยว่าเขามองว่าน่าสนใจได้อย่างไร เห็นที บางทีอาจเป็นเพราะมีวิสัยทัศน์อย่างจริงใจ จึงมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
ลู่หยวนเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ก็คืออยู่ด้วยกันกับนางแล้วรู้สึกสบายใจมาก เป็นตัวของตัวเอง นางไม่ดัดจริต นิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ทำงานพึ่บพับรวดเร็ว ไม่กลัวความลำบากยิ่งไม่กลัวจะเสียเปรียบ ”
“คำชื่นชมของท่านที่มีต่อนางดูสูงส่งมาก”หยวนหย่งอี้ยิ้มขึ้นมา ดูจากสายตาที่ราวกับคิดอะไรอยู่ของเขา ราวกับจะมองเห็นความผิดปกติบางอย่างได้
“นางคู่ควรนี่นา”ลู่หยวนพูด
“แล้วท่านมีความคิดที่จะแต่งนางเป็นภรรยาหรือไม่ ”
ลู่หยวนยิ้มๆ “ข้าคิดว่าก็ต้องให้อีกฝ่ายยินยอมด้วย ในใจนางมีคนที่ชื่นชอบแล้ว”
หยวนหย่งอี้ถามเสียงขึ้นจมูก“นั่นมันคนสารเลว เสี้ยวหงเฉิงต้องจำเขาไม่ได้แน่นอน ”
ลู่หยวนมองนาง “เป็นคนสารเลวก็ไม่แน่ว่าจะสามารถปล่อยวางได้ทันที ตอนแรกฉู่หมิงชุ่ยไม่เลวหรืออย่างไร อ๋องฉียังคิดถึงนางอยู่ตั้งนาน กระทั่งเพื่อนางแล้ว พวกเจ้าแทบจะพรากจากกัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะตอนนั้นข้าไว้หน้า ตอนนี้เจ้าก็เป็นภรรยาข้าแล้ว”
ลู่หยวนพูด แล้วก็หัวเราะขึ้นมา
หยวนหย่งอี้ได้ยินประโยคนี้ ทั้งรู้สึกโมโหทั้งรู้สึกขัน “ใช่สิ ข้าต้องขอบคุณที่ท่านโปรดอภัยและอดทน ”
ลู่หยวนพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “ยังดี ที่มีน้องสาวบุญธรรมเพิ่มมาหนึ่งคน ไม่นับว่าเสียเปรียบอะไร”
หยวนหย่งอี้ไม่ยินดีที่จะให้เขาหยอกล้อเล่นต่ออีก “ถามเรื่องท่านกับเสี้ยวหงเฉิงนะ รีบพูด พวกท่านมีความเป็นไปได้เช่นนั้นหรือไม่ นางต้องลืมหลินเซียวแน่นอน”
ลู่หยวนยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าก็เฝ้ารอไปก่อน รอให้นางลืมได้เมื่อไหร่ ข้าก็ไปสู่ขอเมื่อนั้น ”
พูดถึงกระทั่งการสู่ขอแล้ว เช่นนั้นคงจะชื่นชอบเข้าแล้วจริงๆ หยวนหย่งอี้รู้สึกว่าเสี้ยวหงเฉิงดีกว่าเสี้ยนจู่โหรหมิ่นมาก ถ้าหากสามารถอยู่ด้วยกันได้จริงๆ ก็ไม่ได้ผิดจากการเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีเรื่องหนึ่ง
ส่วนทางด้านเสี้ยวหงเฉิง หยวนชิงหลิงก็ได้ถามเจ้าห้าว่ารู้เรื่องนี้หรือไม่ เจ้าห้าบอกว่าไม่รู้ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจริง เขาย่อมสนับสนุนแน่นอน
พูดถึงเรื่องการตายของจวิ้นจู่องจิ้ง หยวนชิงหลิงพูดว่า “ได้แจ้งการจัดพิธีศพแล้ว ตามหลักแล้วเป็นญาติในราชวงศ์ พรุ่งนี้พวกเราหาเวลาว่างไปจุดธูปให้นางสักดอกเถอะ คนตายแล้ว บุญคุณความแค้นก็ควรถูกลบล้างทิ้งไป”
ที่สุดก็เป็นคนในราชวงศ์เหมือนกัน จะไม่ให้หน้าใครก็ได้ แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องไว้หน้าองค์หญิงใหญ่ บวกกับช่วงนี้เจ้าห้างานยุ่งมาก ไม่ดีถ้าจะถูกคนอื่นประณามในเรื่องเล็กๆเช่นนี้
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ต้องไป พรุ่งนี้ไปเช้าเสียหน่อย กลับมาแล้วข้ายังต้องไปที่กรม”
“ช่วงนี้ยุ่งเรื่องงานจนเป็นอย่างไรแล้ว”หยวนชิงหลิงพิงอยู่ข้างกายเขาและถามขึ้น
“เยอะ วุ่นวาย แต่ว่าก็มีข่าวดี หมันเอ๋อได้ไปถึงจวนซ่วยโจวแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางถึงเมืองหลวง ”หยู่เหวินเห้าหอมนางหนึ่งที แล้วก็นอนลง ช่วงนี้ยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน มีความรู้สึกเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรง
แยกจากหมันเอ๋อหลายเดือน หยวนชิงหลิงก็ยังคงไม่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่ไม่มีนางอยู่ข้างกาย คิดถึงเป็นอย่างมาก “เสียดาย การมาครั้งนี้ ได้รับการแต่งตั้งอย่างกะทันหัน แล้วก็ต้องแยกจากกันอีก ”
หยู่เหวินเห้ากลับส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะให้นางอยู่ในเมืองหลวงต่ออีกสักระยะ”
หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้งชั่วครู่ “เช่นนั้นจะไม่กระทบต่อแผนการของนางในหนานเจียงหรือ”
หยู่เหวินเห้าใช้สองมือรองที่ศีรษะแทนหมอน ยิ้มให้นางอย่างชั่วร้าย “ข้าต้องการให้กระทบแผนการ วิธีบังตา”
หยวนชิงหลิงเห็นรอยยิ้มนี้แล้วรู้สึกเลี่ยนมาก ตบไปฉาดหนึ่ง “พูดจาก็พูดดีๆ ทำไมต้องยิ้มด้วย”
หยู่เหวินเห้าพูดยิ้มๆ ว่า“ข้าเห็นผู้หญิงในดินแดนของพวกเจ้า ไม่ใช่บอกว่าชื่นชอบดาราหนุ่มที่ชั่วร้ายเอาแต่ใจเช่นนั้นหรอกหรือ”
“ท่านหุบปากไปเถอะ ”หยวนชิงหลิงถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง ที่ดีๆไม่เรียนรู้ ดันเรียนรู้แต่สิ่งไม่ดี
หยู่เหวินเห้าก็เหนื่อยล้ามากจริงๆแล้ว นอนลงไม่เท่าไหร่ก็หลับไป หยวนชิงหลิงจ้องมองเขานิ่งๆอยู่ภายใต้แสงไฟ ตั้งแต่ก่อตั้งราชสำนักเล็กๆแล้ว เขาก็ดูผอมลงไปมาก กินดื่มไม่เป็นเวลา ช่างทำให้ว้าวุ่นใจจริงๆ
ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น กินข้าวเช้ากับพวกลูกๆแล้ว สองสามีภรรยาก็ออกจากบ้าน
งานศพของจวิ้นจู่องจิ้งไม่ได้จัดอย่างยิ่งใหญ่ เรียบง่ายมาก แต่ที่สุดก็เป็นญาติของราชวงศ์ คนที่มาไว้อาลัยก็ยังคงมีอยู่มาก ตอนที่หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงมาถึง พอดีกับที่มีฝนในฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายลงมา ทำเอาเสื้อผ้าผมเผ้าเปียกชุ่มไปหมด
สองสามีภรรยาเข้าไปจุดธูปให้กับจวิ้นจู่องจิ้ง เดิมคิดว่าจะไม่ไปดูใบหน้าศพของจวิ้นจู่องจิ้งแล้ว แต่ว่าสองสามีภรรยาอ๋องซุนที่อยู่ข้างหน้าเข้าไปมองดูด้วยความเคารพ พวกเขาจึงได้แต่เดินตามเข้าไปด้วย
ใช่การเอาศีรษะชนกำแพงตายหรือไม่ ไม่อาจรู้ได้ เพราะว่าบริเวณศีรษะใช้ผ้าขาวคลุมเอาไว้ เผยให้เห็นแค่ใบหน้า นอนอย่างไร้ลมหายใจอยู่ในนั้น คิดถึงความอวดดีที่นางเคยมี หยวนชิงหลิงยังคงรู้สึกทอดถอนใจ
คนตายก็ราวกับไฟที่มอดดับ บุญคุณความแค้นจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็สามารถสลายหายไปได้ เพื่ออะไร เดิมก็ไม่ใช่ความแค้นฆ่าคนตายเสียหน่อย
แต่ตอนที่ออกมาจากการมองใบหน้าศพอย่างเคารพแล้ว ก็เห็นเสี้ยนจู่โหรหมิ่นร้องไห้วิ่งเข้ามา ต้องการจะโผเข้ามาในอ้อมอกของเจ้าห้า พูดพลางร้องไห้ว่า “ท่านพี่”
เจ้าห้ารีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แต่อ๋องซุนที่อยู่ข้างหลังเขาหลบไม่ทัน ถูกนางโผเข้ามากอดเต็มอก