บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1046 รับมืออย่างไม่เต็มใจ
หลังจากที่ฉู่หมิงหยางถูกไล่กลับไปแล้ว ก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าซุนฉวนหวู่นั้นต้องการปฏิเสธน้ำขุ่น เงินหลายล้านตำลึง นางจะชดใช้ได้อย่างไร
นางชดใช้ไม่ไหว นางไม่มีเงินหลายล้านตำลึง
นางโมโหแทบจะทนไม่ไหว กลับไปถึงบ้าน ข้ารับใช้และสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติยังไม่ได้เริ่มก่อไฟทำอาหาร เห็นนางกลับมา ก็รีบเข้าไปในห้องครัวทันที ปกติแล้วถ้าข้ารับใช้แอบอู้งาน นางต้องโมโหตำหนิยกใหญ่ แต่ว่าตอนนี้ไร้กะจิตกะใจจริงๆ มุ่งตรงกลับไปยังห้อง ตรวจดูเงินของตนเอง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้จะหาเงินได้ไม่น้อย แต่ว่า กลับไม่พอแม้กระทั่งจะจ่ายดอกเบี้ยของหนึ่งงวด
แต่ตอนนี้ได้ติดค้างไปสองงวดแล้ว มีบางคนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ถ้าหากเราเรื่องกับนางขึ้นมาจริงๆ นางก็คงไม่มีทางทำอะไรได้ ฉะนั้นถ้าจะประวิงเวลาออกไป ก่อนอื่นต้องให้ดอกเบี้ยของสองงวด อย่างน้อยก็ต้องใช้สองหมื่นตำลึง
ได้ยินเสียงของหยู่เหวินจุนที่ดังมาจากข้างนอก นางรีบซ่อนตั๋วเงินแล้วเดินออกไปทันที
วันนี้หยู่เหวินจุนอารมณ์ดี เดินเข้าประตูมาก็ยื่นกล่องผ้าไหมให้นางอันหนึ่ง “วันนี้หาเงินได้ก้อนหนึ่ง นี่มอบให้เจ้า”
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองสามีภรรยาเพิ่งจะดีขึ้นหลังจากหาเงินได้ แต่การให้ของขวัญกลับเป็นครั้งแรกที่ทำ ฉู่หมิงหยางรับไปเปิดออกดู เป็นแหวนทองคำวงหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นรูปแบบเก่า แต่ว่าก็มีน้ำหนักไม่น้อย
ฉู่หมิงหยางรู้ว่าช่วงนี้เขาหาเงินมาได้บ้าง แต่ว่าได้มาจำนวนเท่าไหร่ นางเองก็ไม่รู้ และที่ที่เขาใช้ซ่อนเงิน นางก็ไม่รู้เช่นกัน
นางชงน้ำชาให้เขา แอบถามหยั่งเชิงว่า “ช่วงนี้เห็นท่านหาเงินได้ไม่น้อย คงได้เป็นหมื่นตำลึงแล้วกระมัง”
หยู่เหวินจุนนั่งลงบนเก้าอี้ เอ่ยด้วยสีหน้าได้ใจว่า “ไม่ถึงก็ใกล้เคียง”
ฉู่หมิงหยางหัวใจไหววูบ ถ้าหากสามารถนำเงินมาให้ดอกเบี้ยก่อน ก็ยังสามารถยืดระยะเวลาได้อีกสิบวัน นางคิดเช่นนี้ จึงเขยิบเข้าไปนั่งลงข้างกายเขา “แล้วท่านเอาไปฝากร้านแลกเงินหมดเลยหรือ”
“เงินแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องฝากร้านแลกเงิน”หยู่เหวินจุนดื่มชาไปคำหนึ่ง เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ทำไม ไม่มีเงินแล้วหรือ”
เรื่องที่ฉู่หมิงหยางปล่อยเงินกู้ไม่ได้บอกให้เขารู้ เกรงว่าเขาจะขอส่วนแบ่งผลประโยชน์ด้วย ฉะนั้น ในสายตาของหยู่เหวินจุน ฉู่หมิงหยางนั้นไม่ได้มีเงินทองอะไร
ฉู่หมิงหยางแอบหัวเราะเสียงหนึ่ง “ไม่ใช่ คิดว่าใกล้จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว อยากจะตัดชุดผ้าไหมกลับบ้านมารดาสักหน่อย”
หยู่เหวินจุนวันนี้อารมณ์ดี เมื่อร้องขอก็ต้องตอบสนอง พูดว่า “ประเดี๋ยวให้เจ้าห้าสิบตำลึง เจ้าอยากจะทำชุดอะไรก็ไปทำ”
ห้าสิบตำลึง แม้แต่เศษเงินก็นับไม่ได้ แต่ว่า เดิมทีฉู่หมิงหยางก็ไม่ได้ต้องการเงินแค่ไม่กี่สิบตำลึง เพียงแค่อยากจะรู้ว่าเขาซ่อนเงินเอาไว้ที่ไหนกันแน่
ฉะนั้น หลังจากกินข้าวเย็นกันแล้ว ฉู่หมิงหยางก็คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ตลอด รอให้ถึงเวลาเขาเข้าไปเอาเงิน นางก็แอบตามไปข้างหลัง พบว่าเขาซ่อนเงินทั้งหมดเอาไว้ในตู้ที่อยู่ใต้เตียง ส่วนกุญแจนั้นพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา
ฉู่หมิงหยางวางแผนอยู่ในใจ ต้องเอาเงินที่อยู่ในมือของซุนฉวนหวู่ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกลับมาทั้งหมด ฉะนั้น จึงขอยืมหยู่เหวินจุนไปใช้ก่อน เมื่อได้เงินกลับคืนมาแล้วค่อยแอบใส่คืนกลับไป ทำเช่นนี้ก็จะไม่มีใครรู้เห็นทั้งสิ้น
ฉะนั้น ในคืนวันเดียวกันนางจึงแอบขโมยกุญแจก่อน วันรุ่งขึ้นหลังจากหยู่เหวินจุนออกไปแล้ว นางจึงแอบเอาตู้ออกมาจากใต้เตียง เอาตั๋วเงินออกไป มีเงินอยู่ประมาณหลายร้อยตำลึง นางไม่ได้เอาไป เพราะไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าช่วงนี้หยู่เหวินจุนก็ต้องการใช้เงินบ้างเช่นกัน
หลังจากเอาตั๋วเงินไปแล้ว นางก็ออกจากบ้านไปแจกจ่ายเงินดอกเบี้ยให้ทีละบ้านพร้อมคำอธิบาย ยังดีที่ช่วงเวลาที่ผ่านมาจ่ายเงินดอกเบี้ยได้ตรงเวลาตลอด และบวกกับครั้งที่แล้วนั้นมีกรณีพิเศษเกิดขึ้น คนปล่อยเงินกู้กลับเจียงหนาน ทำให้ไร้หนทางที่จะจ่ายดอกเบี้ยได้ตรงเวลา
วันนี้มาชดใช้คืนก็ดีแล้ว ด้วยเหตุนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังคงไว้วางใจอยู่ แต่มีเพียงฮูหยินรองตระกูลกู้คนเดียวเท่านั้น กลับรู้สึกกังวลอยู่บ้าง บอกว่าต้องการเอาเงินคืน ไม่อยากจะปล่อยกู้เอาดอกเบี้ยแล้ว
ฉู่หมิงหยางรู้สึกโกรธในใจเป็นอย่างยิ่ง คนอื่นไม่มีใครถาม แต่คนที่เป็นญาติกลับทวงถามขึ้นมา จึงทำหน้าขรึมทันที “ท่านน้าไม่เชื่อใจข้าหรือ”
ฮูหยินรองพูดกับฉู่หมิงหยาง “ไม่ใช่น้าไม่เชื่อเจ้า แต่เพราะว่าข้าปล่อยไปทั้งหมดสามแสนตำลึง ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาจริงๆ นั่นเท่ากับสูญเสียเงินทุนทั้งหมดไป นั่นล้วนเป็นสินสอดติดตัวของน้องสาวเจ้า”
ฉู่หมิงหยางรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเงียบๆ ถ้าหากต้องเอาเงินสามแสนตำลึงออกมาตอนนี้ นางจะไปเอาเงินจากที่ไหนมาให้นาง
แต่ว่า นางกลับไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ได้แต่พูดเสียงเรียบๆว่า “ถ้าหากท่านน้าต้องการเอากลับคืนไปจริงๆ ย่อมได้แน่นอน แต่ว่าข้าได้ยินเถ้าแก่ซุนบอกว่า เพราะว่าตอนนี้การปล่อยกู้ดำเนินการได้ดีมาก วางแผนจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้า ท่านน้าต้องการเอาเงินคืน เกรงว่าคงจะต้องมองดูฮูหยินท่านอื่นๆได้กำไรตาปริบๆเท่านั้นแล้ว”
เมื่อฮูหยินรองได้ยินประโยคนี้ ก็รีบถามขึ้นว่า “เพิ่มดอกเบี้ย เพิ่มเท่าไหร่”
ฉู่หมิงหยางเห็นนางเผยสีหน้าแห่งความโลภออกมา ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ขอเพียงยังมีความโลภอยู่ เงินนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบเอาคืนมา นางเอ่ยว่า “เถ้าแก่ซุนบอกว่า อาศัยการสนับสนุนจากทุกคน เงินที่ได้กำไรมาก็อยากจะตอบแทนฮูหยินทุกท่าน ฉะนั้นตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป บวกเพิ่มอีกร้อยละยี่สิบ”
“ร้อยละยี่สิบมากขนาดนี้เชียว”ฮูหยินใหญ่ทำตาโตขึ้นมาทันที นางคำนวณตัวเลขไว้ในใจ ตอนนี้ได้ปล่อยเงินกู้ออกไปสามแสนตำลึง ทุกงวดจะได้รับเงินสองพันตำลึง เดือนหนึ่งสามารถได้รับหกพันตำลึง ถ้าหากเพิ่มขึ้นอีกร้อยละยี่สิบ นั่นไม่เท่ากับว่าเดือนหนึ่งจะได้รับเงินเจ็ดพันกว่าตำลึงหรอกหรือ
นี่ไม่ใช่เงินน้อยๆเลยทีเดียว
ฮูหยินรองมองไปยังกู้คางมั่นที่อยู่ข้างกาย ถ้าหากลูกสาวหมั้นหมายกับตระกูลกู้ได้สำเร็จ ตระกูลเหลิ่งที่มีเกียรติอันสูงส่ง สินสอดติดตัวจะให้ดูยากจนข้นแค้นไม่ได้ ถ้าน้อยเกินไปจะทำให้คนอื่นดูถูกเอาได้ ฉวยโอกาสตอนนี้ที่ยังไม่ได้กำหนดเรื่องหมั้นหมาย สามารถหาเพิ่มได้สักหน่อยก็ดี แม้จะต้องเสียเวลาเพิ่มอีกหลายเดือน แต่อย่างน้อยก็ได้เงินเพิ่มมาหลายหมื่นตำลึง
คิดถึงตรงนี้ สุดท้ายนางก็ต้านทานความละโมบโลภมากไม่ได้ พูดยิ้มๆว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ปล่อยไปก่อน ในเมื่อเรื่องหมั้นหมายของน้องสาวเจ้ายังไม่มีกำหนด และรอให้มีการกำหนดแล้วข้าค่อยเอาคืนก็ไม่สาย ”
สีหน้าของฉู่หมิงหยางจึงเปลี่ยนจากความเคร่งขรึมเป็นความสดใสขึ้นมา พูดว่า “ท่านน้าโปรดวางใจเถอะ เถ้าแก่ซุนคนนี้คุ้นเคยกับข้าเป็นอย่างดี ข้าก็คอยจับตาดูการค้าของเขาอยู่ตลอด ตอนนี้เขาทำการค้าใหญ่ขึ้นมากจริงๆ จึงจำเป็นต้องยืมเงิน และตอนนี้เขายังร่วมงานกับโรงเงินติ่งเฟิง ท่านก็รู้จักโรงเงินติ่งเฟิง นั่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจว จวิ้นจู่จิ่นหนิงแห่งแคว้นต้าโจวเองก็เป็นนายหญิงรองของโรงเงินติ่งเฟิง ถ้าหากร่วมงานกับโรงเงินติ่งเฟิงจริงๆ พวกเรายังสามารถร้องขอได้สูงขึ้นอีก”
ฮูหยินรองได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดก็วางใจ พูดยิ้มๆว่า “เช่นนั้นก็ได้ ในเมื่อเงินก็ให้เจ้าไปแล้ว เจ้าไปจัดการก็พอ”
ชะงักไปชั่วครู่ นางก็มองไปทางฉู่หมิงหยางอีก ยิ้มบางๆและพูดว่า “อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่รู้จักเถ้าแก่ซุนหรือโรงเงินติ่งเฟิงอะไรนั่น รู้แค่ว่าเงินได้ให้เจ้าไปแล้ว ถึงเวลาก็ทวงถามที่เจ้าก็พอ”
ฉู่หมิงหยางได้ยินคำพูดนี้ ก็ก่นด่าอย่างเจ็บแสบในใจ ฉลาดหลักแหลมจริงๆ
เงินที่ฉู่หมิงหยางเอามาทั้งหมด ฮูหยินแต่ละตระกูลก็ไม่ใช่คนธรรมดา ตอนที่เอาเงินมาให้ต่างก็เขียนจดหมายยืมเงินไว้ ที่เขียนล้วนเป็นฉู่หมิงหยางเป็นผู้ยืม ฉู่หมิงหยางต้องการจะได้รับส่วนต่างจากคนอื่น ย่อมต้องยอมแบกรับความเสี่ยงเอาไว้ ตอนแรกนางเชื่อมั่นในตัวซุนฉวนหวู่มาก และไม่คิดว่าจะเป็นการทำร้ายตัวเอง
ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วจริงๆ ถูกฮูหยินรองเตือนขึ้นมาเช่นนี้ ในใจนางเหมือนมีมดกำลังกัดทึ้ง ร้อนใจจนแทบระเบิด
ถ้าหากทำให้ซุนฉวนหวู่ยอมรับหนี้ไม่ได้จริงๆ จะทำอย่างไรดี
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา มองกู้คางมั่นและพูดว่า “ใช่แล้ว ตอนนี้เรื่องหมั้นหมายกับตระกูลเหลิ่ง พูดคุยกันเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้คางมั่นสีหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย “ใครจะไปรู้ ”
ฮูหยินรองจึงพูดขึ้นยิ้มๆว่า “เคยลองหยั่งเชิงความคิดของทางด้านตระกูลเหลิ่งแล้ว คิดว่าพรุ่งนี้จะไปวิ่งเต้นเสียหน่อย ถ้าหากต่างก็คิดเหมือนกัน เช่นนั้นตระกูลเหลิ่งของพวกเขาคงจะให้คนมาทาบทามถึงบ้าน เมื่อมีการทาบทาม เงินนั่นก็คงจะปล่อยกู้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วจริงๆ จำเป็นต้องเอาคืนมา แม้ดอกเบี้ยจะสูงขึ้นอีก พวกเราก็คงไม่ได้รับแล้ว”
ฉู่หมิงหยางได้ยิน ถ้าหากมีการทาบทามนั่นก็เท่ากับเร็วมาก ในใจอดไม่ได้ที่จะร้อนรนขึ้นมาอีกหลายส่วน เห็นที งานแต่งงานครั้งนี้จะให้สำเร็จโดยเร็วไม่ได้