บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1061 การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของงานแต่ง
หยู่เหวินเห้าหันกลับมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “ไม่ใช่ว่านางไม่คิดห่วงหาอาวรณ์ท่านนะพ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ยุ่งนิดหน่อย หลานสัญญาว่า พรุ่งนี้ท่านจะได้พบพวกเขาแน่นอน”
“ ไม่ได้อดอยากจนต้องรอใครให้ทาน ข้าไม่พิสมัย !” ไท่ซ่างหวงตรัสอย่างเย็นชา
หยู่เหวินเห้าฝืนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แอบคิดอยู่ในใจลึก ๆ ว่า: เจ้าหยวน ดูท่าเจ้าจะมีปัญหามาเยี่ยมเยือนอีกแล้วล่ะ
หลังจากออกจากวังไปบอกหยวนชิงหลิงแล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เข้าวังไปดูแลพระองค์นานมากแล้วจริง ๆ สาเหตุหลัก ๆ ก็เพราะช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่าง บวกกับพระชายาอานใกล้คลอดแล้ว นางต้องไป ๆ มา ๆ จวนอ๋องอานเป็นระยะ ๆ จึงส่งผลให้การเข้าวังไปน้อมทักทายล่าช้าออกไป
ตอนนี้กุ้ยเฟยมาพำนักอยู่ที่จวนอ๋องอาน เนื่องจากก่อนหน้านี้ กุ้ยเฟยเคยพยายามเข้าทางหยู่เหวินเห้า วางแผนจัดการให้ลูกศิษย์ตระกูลตี๋เข้ามาเป็นขุนนาง ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงกริ้วขึ้นมา จึงสั่งให้นางเก็บกวาดสัมภาระย้ายออกไป ให้ไปอาศัยอยู่กับอ๋องอาน ถือเป็นการทำให้นางรู้จักสำนึกและทบทวนตัวเอง
อันที่จริง หยวนชิงหลิงรู้ดีว่าฮ่องเต้หมิงหยวนทรงทราบว่ากุ้ยเฟยมีใจคิดถึงคะนึงหาลูก บวกกับหลังจากที่พระชายาอานคลอดแล้ว พวกเขาสามีภรรยาก็จะพาลูกกลับไปที่จวนเจียงเป่ย ดังนั้น จึงควรอาศัยโอกาสที่ยังอยู่ในเมืองหลวง รีบใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากที่กุ้ยเฟยไปที่จวนอ๋องอานแล้ว นางกังวลเกี่ยวกับท้องของพระชายาอานมาก ว่าอาจจะมีอะไรผิดพลาดเหนือคาดได้ทุกเมื่อ จึงส่งคนไปเชิญหยวนชิงหลิงมาที่จวน ซึ่งนี่เองที่ทำให้หยวนชิงหลิงต้องยุ่งมากในการวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด
แต่ไม่ว่าจะยุ่งกว่านี้อีกสักแค่ไหน เพื่อเอาใจไท่ซ่างหวง วันรุ่งขึ้นหยวนชิงหลิงก็ยังคงพาลูก ๆ ทั้งห้าคนเข้าวังไปน้อมทักทาย
ไท่ซ่างหวงไม่พิสมัยนาง แต่พิสมัยพวกเด็กๆกับแฝดสอง ความรู้สึกของการมีบรรดาหลานๆ เหลน ๆ มาคุกเข่ารายล้อมมันเป็นอะไรที่ดีมาก ไท่ซ่างหวงทรงพระเกษมสำราญยิ่ง
หยวนชิงหลิงคิดว่าถึงอย่างไรก็ได้เข้าวังพอดี จึงถือโอกาสนี้พูดถึงเรื่องของหมันเอ๋อกับอ๋องชุน
ถ้าหากไท่ซ่างหวงเป็นผู้ออกหน้า เรื่องนี้ย่อมจะคลี่คลายได้โดยเร็วแน่ ก่อนหน้านี้เจ้าห้าเคยบอกว่าเขาได้ยกเรื่องนี้ขึ้นไปคุยกับฝ่าบาทแล้ว ซึ่งฝ่าบาทก็ไม่ได้ทรงคัดค้าน ในเมื่อพระองค์ไม่คัดค้าน เช่นนั้นก็ควรต้องส่งเสริมอย่างจริงจัง ทางที่ดีที่สุดคือรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อน ถึงค่อยออกจากเมืองหลวง
ในตอนที่หยวนชิงหลิงยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ไท่ซ่างหวงได้ฟังแล้วจึงตรัสถามว่า “นี่ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี พวกเขามีความคิดจิตใจที่ตรงกันหรือไม่? จะไปบังคับกันไม่ได้นะ”
“ดูไปแล้วน่าจะมีใจตรงกันเพคะ” หยวนชิงหลิงตอบ
ไท่ซ่างหวงอุ้มเซเว่นอัพกับโค้กขึ้นมา “ในเมื่อมีใจตรงกัน เช่นนั้นก็จัดการให้เสร็จสิ้นเถอะ หลังจากนี้ข้าจะไปคุยกับฮ่องเต้ให้ การแต่งงานของคู่นี้ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เร็วขึ้นสักหน่อยถึงจะดี”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเพคะ หลังจากนี้ข้าจะไปถามแม่ทัพหลอ”
แม่ทัพหลอเป็นตาของอ๋องชุน เรื่องนี้จึงควรถามความเห็นของผู้ใหญ่ในบ้านเขาสักหน่อย
ทางหวงกุ้ยเฟยส่งคนมาเชิญหยวนชิงหลิง บอกว่าช่วงนี้หวงกุ้ยเฟยร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง หายากที่นางจะเข้าวังมาได้ จึงอยากเชิญนางช่วยไปตรวจดูอาการให้สักครั้ง
หยวนชิงหลิงไม่รู้เลยว่าหวงกุ้ยเฟยป่วย จึงอดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เข้าวังมาน้อมทักทายมานานขนาดไหนแล้ว
เด็ก ๆ ทั้งห้าคนถูกฝากไว้ในตำหนักฉินคุน ส่วนหยวนชิงหลิงก็ตามข้าหลวงในวังไป
เจ็ดแปดวันแรกนางแค่เริ่มไอ แต่เมื่อไอติด ๆ กันนานเข้าก็เริ่มเห็นเลือด นางกลัวว่าจะเป็นวัณโรค พอให้หมอหลวงตรวจรักษาแล้ว วินิจฉัยออกมาว่าไม่ใช่ บอกว่าเป็นเพราะถูกลมเย็นจนก่อให้เกิดอาการไอ ต้องรอให้อากาศอบอุ่นกว่านี้ถึงจะดีขึ้น
หลังจากใช้ยาติดต่อกันได้ราว ๆ เจ็ดแปดวัน ในตอนกลางวันก็ยังนับว่าดี แต่ตอนกลางคืนจะไอไม่หยุด มีหลายครั้งที่ไอหนักมากจนแทบจะหายใจไม่ทันเลยทีเดียว
หยวนชิงหลิงตรวจสอบอาการให้ แล้วพูดว่า: “ท่านแม่เป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังเพคะ ต้องกินยาต่อเนื่องระยะหนึ่ง ดูแลร่างกายให้อบอุ่น อย่าให้ลำคอกับปอดเจอความเย็น เรื่องในตำหนัก ก็ให้พระสนมหลู่เฟยกับฮู่เฟยแบ่งเบาภาระงานไปทำบ้างก็ได้เพคะ”
“ร้ายแรงมากหรือไม่ ? สามารถรักษาให้หายได้หรือไม่?” หวงกุ้ยเฟยถามอย่างกังวล เพราะความเจ็บป่วยครั้งนี้ดูแล้วหนักมากจริง ๆ
“ไม่ต้องกังวลเพคะ กินยาต่อเนื่องก็รักษาได้” หยวนชิงหลิงเริ่มสั่งยาให้นาง บอกให้นางกินยาอย่างสม่ำเสมอและต้องกินตามปริมาณที่กำหนด ห้ามหยุดยาด้วยตัวเองเด็ดขาด
หวงกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกวางใจในที่สุด แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่: “นับตั้งแต่ที่ข้ารับช่วงต่อดูแลวังหลัง ก็ไม่เคยมีเวลาว่างเลย ต้องรอจนล้มป่วยถึงจะได้พักผ่อน แต่ก็ดี ให้ฮู่เฟยกับหลู่เฟยช่วยแบ่งเบางานของข้า ส่งต่อให้พวกนางช่วยจัดการไปพลาง ๆ ก่อนก็แล้วกัน ”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเหน็ดเหนื่อยมาก จึงให้นางพักผ่อนเยอะ ๆ แม่สามีลูกสะใภ้พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ยังพูดถึงเรื่องของหมันเอ๋อกับอ๋องชุนขึ้นมาด้วย หวงกุ้ยเฟยก็เห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกัน ถึงขั้นสนับสนุนเต็มที่:
“ ตอนนี้กุ้ยเฟยอยู่นอกวัง หากการแต่งงานของอ๋องชุนกับหมันเอ๋อ สามารถลุล่วงไปได้ดังที่หวัง ก็ยังพอจะให้นางช่วยงานได้ หลอกุ้ยผินต้องตายเพราะถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม อ๋องชุนก็นับว่าน่าสงสารนัก กุ้ยเฟยนับว่ามีเกียรติมีฐานะไม่น้อย ถ้าให้นางเป็นแม่งานจัดการเรื่องนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นการให้เกียรติให้หน้ากับอ๋องชุนไม่น้อยเลยทีเดียว”
สุดท้ายยังเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “เดิมทีเรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการก็ย่อมได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าป่วยอยู่ ไม่อาจทำอะไรที่เหนื่อยมาก ๆ ได้ไหว เจ้าก็ทำตามที่เห็นสมควรเถอะ ให้กุ้ยเฟยช่วยเรื่องนี้ ถ้าหากอ๋องชุนได้รับน้ำใจนี้ แล้วสามารถเข้ากันได้ดีกับอ๋องอานในอนาคต ก็จะเกิดเป็นความสมานฉันท์ระหว่างพี่น้อง หากมีอะไรที่อาจสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจจะได้แก้ไขดูแลให้ถูกต้องได้”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล การที่นางคิดไตร่ตรองเช่นนี้ก็เพราะนางกังวลว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่อ๋องชุนไปหนานเจียง กลายเป็นลูกเขยหนานเจียงแล้ว เขาจะโดนคนดูถูก เพราะจะอย่างไร ท่านแม่ของเขาก็ตายหลังถูกตัดสินว่ากระทำความผิด
หากกุ้ยเฟยเป็นแม่งานในการจัดพิธีให้ ช่วงพิธีการคุกเข่าโขกคำนับในงานแต่ง ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก ในวันข้างหน้าเขาจะไม่มีทางโดนใครในหนานเจียงดูถูกเอาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็ยังสามารถจับตาระวังทางอ๋องอานได้อีกด้วย
หยวนชิงหลิงพิจารณาแล้ว พบว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จึงพูดว่า: “เอาอย่างนั้นก็ได้เพคะ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“อย่าไปถามกุ้ยเฟยด้วยต้วเอง คิดหาวิธีให้นางเป็นฝ่ายมาหาเจ้า และปล่อยให้นางเป็นฝ่ายเอ่ยปากอาสาทำเรื่องนี้เอง”
การที่หวงกุ้ยเฟยพูดเช่นนี้หยวนชิงหลิงก็เข้าใจได้ ถ้านางเป็นฝ่ายไปถามกุ้ยเฟย กุ้ยเฟยย่อมไม่เต็มใจทำเรื่องนี้แน่ แต่ถ้านางเป็นฝ่ายขันอาสาขอทำเอง เรื่องนี้จะต้องลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
หยวนชิงหลิงไปที่ห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง เพื่อน้อมทักทายฮ่องเต้หมิงหยวน แน่นอนว่าประเด็นหลัก ก็คือการพูดเรื่องของอ๋องชุนกับหมันเอ๋อ
ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงเห็นด้วยกับเรื่องนี้มานานแล้ว แต่แค่ไม่ได้หาใครไปจัดการทำในทันที ตอนนี้หยวนชิงหลิงเข้าวังมาพูดเรื่องนี้พอดี จึงตรัสว่า: “ถ้าเจ้าอยากจัดพิธี ก็ไปทูลขอให้ไท่ชางหวงทรงออกพระราชโองการจัดพิธีมงคลสมรสเสียเถอะ ข้าไม่ขอออกหน้าในเรื่องนี้จะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายไปกว่านี้”
ตอนแรกที่พระองค์ให้เจ้าหญิงหยู่เหวินหลิงแต่งงานกับท่านชายสี่ มีข่าวลือแพร่สะพัดอยู่ข้างนอกว่า ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงใช้พระธิดาของตน ไปแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรทางการเงินของตระกูลเหลิ่ง
มาตอนนี้ ถ้ายังให้โอรสไปแต่งงานกับอ๋องหนานเจียงอีก ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีคนเล่าลือกันขึ้นมาอีกว่า พระองค์คิดจะใช้พระโอรสไปดึงกองกำลังของหนานเจียงมาเป็นพวก
ดังนั้น ครั้งนี้พระองค์จึงไม่คิดจะออกหน้าเด็ดขาด
ไท่ซ่างหวงทรงยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้มอบงานแต่งให้หลานชาย ตอนนี้แม่ทัพหลอเป็นแม่ทัพใหญ่ขององครักษ์ลับผี ไท่ซ่างหวงทรงเรียกให้เขาเข้าวังมาพูดคุยเรื่องนี้ แม่ทัพหลอจึงคุกเข่าโขกคำนับขอบพระทัยอย่างซาบซึ้ง
ในตอนค่ำ แม่ทัพหลอมาที่จวนอ๋องฉู่ เพื่อขอบคุณหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิง ถึงขั้นคุกเข่าให้ทันทีที่ได้พบหน้ากัน
หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ เข้าไปพยุงเขาลุกขึ้นด้วยตัวเอง “ทำไมท่านแม่ทัพต้องมีพิธีรีตองขนาดนี้ด้วยล่ะ? งานแต่งของน้องเก้า ข้าที่เป็นพี่ชายควรเป็นคนวางแผนให้ก็ถูกต้องแล้ว”
แม่ทัพหลอรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก “ล้วนเป็นพระกรุณาของรัชทายาทโดยแท้ เจ้าเก้าถึงได้มีวันนี้ ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่ากระทั่งตำแหน่งอ๋องชิน เขาก็อาจจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “นี่เป็นความสามารถของเจ้าเก้าเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสร้างผลงานที่โดดเด่นในสนามรบ ใครก็ไม่อาจช่วยเขาได้”
แม่ทัพหลอกล่าวว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัชทายาททรงจัดการให้เขาได้เข้าไปในค่ายทหาร แล้วให้ผู้บังคับบัญชาฝึกฝนเขา ไม่เช่นนั้น มันคงจะยากมากที่เขาจะบรรลุผลสำเร็จได้ในวันนี้”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “อย่าขอบคุณกันไปขอบคุณกันมาอยู่เลย เรื่องดีขนาดนี้แท้ ๆ ทำเสียจนข้ารู้สึกเศร้าขึ้นมาแล้วนะ งานแต่งนี้เหลือเพียงแค่รอให้มีพระราชโองการลงมา ได้รับสมรสพระราชทานแล้ว งานแต่งก็ต้องเตรียมจัดขึ้นทันที ต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนที่พวกเขาจะออกจากเมืองหลวง”
“ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างคงขอรบกวนพระชายารัชทายาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลอพูดด้วยความซาบซึ้งอย่างสุดจะพรรณา
หยวนชิงหลิงกลับยิ้มน้อย ๆ “ไม่ใช่ข้าที่เป็นแม่งานหรอก เป็นตี๋กุ้ยเฟยจึงจะเหมาะสมที่สุด”
แม่ทัพหลอตกใจจนผงะ แต่เหมือนจะค่อย ๆ เริ่มเข้าใจ จึงยกยิ้มอย่างช้า ๆ “เช่นนั้นก็ดียิ่งแล้ว!”