บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1065 ฮูหยินเหยาโกรธแล้ว
ในช่วงพลบค่ำ หรงเยว่ก็ขอตัวกลับไปจวนอ๋องหวยก่อน แต่ฮูหยินเหยากลับไม่เต็มใจจะจากไป มาคุยกับหยวนชิงหลิงว่านางอยากอยู่ค้างที่จวนอ๋องฉู่สักคืน
การที่มีคนเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอพักที่จวนสักคืนด้วยตัวเองเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หยวนชิงหลิงมองนางพลางเอ่ยถามว่า “เป็นอะไรไปรึ?”
ฮูหยินเหยาปรายตามองนางแวบหนึ่ง “ทำไม? แค่ข้าอยากจะค้างที่นี่สักคืนก็ต้องถามเหตุผลด้วยรึ? ไม่อยากต้อนรับกันหรืออย่างไร?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางพูดว่า: “ข้าต้องยินดีต้อนรับอยู่แล้วสิ แต่เจ้าวางใจปล่อยให้เจ้าหมาน้อยอยู่ตัวเดียวได้อย่างนั้นรึ?”
ทุกวันนี้ ฮูหยินเหยาผู้ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นทาสหมาเต็มขั้น นางมักพูดติดปากอยู่เสมอว่าจะใช้ชีวิตที่มีหมาเป็นแสงนำทางไปจนกว่าจะสิ้นลม แล้วจะตัดใจปล่อยให้มันอยู่ตามลำพังตลอดทั้งคืน โดยไม่สนใจให้ข้าวให้น้ำมันได้จริง ๆ น่ะหรือ?
ฮูหยินเหยากลับตอบว่า“ ตอนที่ข้ามาวันนี้ ข้าก็พามันมาที่นี่ด้วยแล้ว ตอนนี้อยู่ในสวน ข้าให้ฉี่หลอช่วยดูแลมันให้ ป้อนอาหารไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว “ หมายความว่าตอนที่เจ้ามาที่นี่วันนี้ ก็วางแผนไว้แล้วว่าจะอยู่ค้างที่นี่สักคืนแล้วอย่างนั้นรึ?”
“บางที…” ฮูหยินเหยามองนางด้วยรอยยิ้มสดใส “อาจจะอยู่สักสามวัน ห้าวัน หรือไม่ก็เจ็ดวัน อาจรอจนกว่างานแต่งของหมันเอ๋อจะเสร็จสิ้นลงก่อน ถึงค่อยกลับไปก็ยังไม่แน่”
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ?” หยวนชิงหลิงตั้งใจถามอย่างจริงจังแล้วในครั้งนี้ จ้องนางเขม็ง “หรือว่าหยู่เหวินจุน ไม่ก็ฉู่หมิงหยางมาหาเจ้าอีกแล้วอย่างนั้นรึ?”
หลังจากที่หลินเซียวกับฉู่หมิงหยางไปหาพวกเขาครั้งนั้น ทุกอย่างก็ยังคงสงบเงียบดี เพียงแค่เป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับเรื่องของคุณหนูห้าตระกูลกู้ ทำให้ฮูหยินรองตระกูลกู้โกรธมากจนแทบควันออกหู แต่ฉู่หมิงหยางกลับมีท่าทางเหมือนคนที่หลงเพ้อจนไม่มีสติ อย่างไรก็ไม่ยอมหยุด พอดีตอนนี้ ทางนี้ก็กำลังเตรียมงานแต่งกันอยู่ จึงปล่อยให้นางบ้าบออยู่กับตัวเองไปเรื่อย ๆ ก่อนแล้วกัน
ฮูหยินเหยาส่ายหน้า “ไม่หรอก พวกเขามีหรือจะกล้ามาอีก? หลังจากมากันครั้งที่แล้ว โดนท่านเทียนสั่งสอนไปยกหนึ่ง ก็ไม่ได้มาอีกเลย”
“แล้วที่เจ้าทำอย่างนี้มันเพราะอะไรกันล่ะ? หรือจะบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไร แค่อยากมาอยู่ที่นี่สักระยะ?” หยวนชิงหลิงไม่ยอมปล่อยให้นางแกล้งตีเนียน เมื่อก่อนถ้าไม่มีอะไร ขอให้นางมาพักอยู่ที่นี่สักวันสองวัน นางยังไม่ยอมมาง่าย ๆ ครั้งนี้ถึงกับเป็นฝ่ายเอาหมามาด้วยถึงค่อยเดินทางมา มันจะต้องมีอะไรแน่ ๆ
ฮูหยินเหยายังคงส่ายหน้า ไม่มีท่าทีอื่นใดให้เห็น “แค่อยากมาอยู่ที่นี่สักสองสามวัน ถ้าหากเจ้าไม่ต้อนรับ ข้ากลับบ้านเดิมเอาก็ได้”
พูดจบ นางก็ลุกขึ้น
หยวนชิงหลิงรีบคว้าตัวนางไว้ทันที “เอาล่ะ ๆ ไม่ถามแล้ว เจ้าอยากอยู่ก็อยู่เถอะ เจ้านี่นะ ช่างเป็นคนปากแข็งบังคับไม่ได้เสียจริง ๆ เลย ถ้าเจ้าไม่อยากบอก ให้ข้าง้างปากเจ้าก็ยังไม่ได้อะไรเลยสักนิด จะอยู่ก็อยู่ไปเถอะ อยู่ไปจนกว่าเจ้าจะรู้สึกว่าพอแล้ว ไม่เอาแล้ว เช่นนี้ดีหรือไม่?”
ฮูหยินเหยาพูดติดตลกว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะอยู่ไปตลอดชีวิต”
“ข้าแทบจะรอไม่ไหวเลยเชียวล่ะ!” หยวนชิงหลิงพูดด้วยอารมณ์ไม่สู้ดี แต่เมื่อเห็นว่านางยังพูดจาหยอกล้อได้ จึงชี้ชัดได้ว่าไม่ใช่วิกฤตใหญ่อะไร น่ากลัวว่าเพราะอยู่คนเดียวแล้วคงจะเหงาจึงอยากมาร่วมสนุกที่นี่ ถึงอย่างไรตอนนี้จวนอ๋องฉู่ก็กำลังเตรียมงานแต่งของหมันเอ๋อ ก็เป็นอะไรที่สนุกสนานมีชีวิตชีวามากจริง ๆ นั่นแหล่ะ
เพื่อความรอบคอบ เมื่อหรงเยว่มาถึงในวันรุ่งขึ้น หยวนชิงหลิงก็ยังคงเล่าเรื่องนี้ให้นางฟังเป็นการส่วนตัว แล้วขอให้หรงเยว่ไปถามฮุ่ยเทียน ว่าช่วงนี้ฮูหยินเหยาได้พบใครมาบ้างหรือไม่
หรงเยว่ถึงกับไปด้วยตัวเอง แต่ฮุ่ยเทียนกลับไม่ได้อยู่ในบ้านตัวเอง แต่ไปหยิบจับเศษกระเบื้องที่แตกอยู่ในบ้านของฮูหยินเหยา แล้วซ่อมแซมหลังคา หรงเยว่ใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไปถามว่า “จวนหลังนี้เพิ่งจะซ่อมแซมไปเองไม่ใช่รึ? ทำไมถึงพังอีกแล้วล่ะ?”
“ลมแรง กระเบื้องบางอันเลยโดนพัดปลิวน่ะ พอดีว่าข้าว่าง ก็เลยมาซ่อมให้นางเสียหน่อย จริงสิ เมื่อวานนางไม่ได้กลับมา เกิดอะไรขึ้นหรือไม่?” ฮุ่ยเทียนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลังคานี้เป็นเพราะลมแรงมาก พัดถล่มจนกระจัดกระจายไปหมด ปกติเขาเป็นคนที่มักมีสีหน้าเย็นชา ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่ก้าวก่ายเรื่องทางโลก ตอนนี้มาถามหาฮูหยินเหยา ก็มีท่าทีราบเรียบมาก ราวกับถามไปตามมารยาทอะไรทำนองนั้น
หรงเยว่ตอบว่า “นางจะไปพักอยู่ที่จวนอ๋องฉู่สักสองสามวัน พระชายารัชทายาทให้ข้ามาถามว่า ช่วงนี้มีใครมาที่นี่บ้างหรือไม่? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือไม่? ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ไปขอพักอยู่ที่จวนอ๋องฉู่โดยไม่มีเหตุผล?”
ฮุ่ยเทียนโยนกระเบื้องที่พังลงมาโดยไม่เงยหน้า พูดอย่างเฉยเมยว่า: “ไม่มีใครมาที่นี่อีก นอกจากหลินเซียวกับฉู่หมิงหยางในวันนั้น”
“ในวันนั้นมีเจ้าอยู่ด้วย แต่จะพูดไป นางไม่มีทางเสียเปรียบใครง่าย ๆ อยู่แล้ว ไม่มีทางเจอเรื่องที่ทำให้ต้องน้อยเนื้อต่ำใจแน่ ” หรงเย่พูด
ฮุ่ยเทียนไม่ได้พูดอะไร แต่มือหยุดชะงักไปชั่วขณะ การเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยละเอียดอ่อนนี้ กลับตกอยู่ในสายตาของหรงเยว่ทันที หรงเยว่รู้จักฮุ่ยเทียนดี จึงถามว่า ” ทำไมรึ? วันนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
“ พูดตามความจริงคือ นางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่หรอก โดนหลินเซียวตบหน้าไปครั้งหนึ่ง ข้ามาช้าเกินไปหน่อย ” ฮุ่ยเทียนตอบ
“ไอ้ผู้ชายสารเลวนั่น ข้าไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่!” หรงเยว่โกรธจนกัดฟันกรอด
หลังจากที่ฮุ่ยเทียนซ่อมกระเบื้องหลังคาเสร็จแล้ว ก็ใช้วิชาตัวเบาเหินลงไป ซ่อมประตูไม้ให้นางต่ออีกบาน
เมื่อเห็นเขาจดจ่ออยู่กับการซ่อมของที่ผุพัง หรงเยว่ก็พูดว่า “อย่างนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดว่านางคงจะแค่รู้สึกเหงา เลยไปจวนอ๋องฉู่เพื่อร่วมแสดงความยินดี อย่างไรเสียก็อยู่คนเดียวมานาน ใครจะไปทนได้กันล่ะ?”
“ข้าก็อยู่คนเดียวเหมือนกัน!” ฮุ่ยเทียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าไม่ใช่คนปกติหรอก!” หรงเยว่พูดจบ ก็เดินจากไป
กลับไปนางก็บอกหยวนชิงหลิงว่า วันนั้นหลินเซียวกับฉู่หมิงหยางไม่ได้มารังแกนางจริง ๆ หยวนชิงหลิงจึงรู้สึกโล่งอก ไม่ถามไถ่อะไรอีก ปล่อยให้นางพักอยู่ในจวนเป็นการชั่วคราว สั่งให้คนไปเรียกเมิ่งซิงมาอยู่เป็นเพื่อนนางสักพัก
เมิ่งซิงเคยตามไปอยู่กับฮูหยินเหยาชั่วระยะหนึ่ง บอกว่าเพื่อกันไม่ให้ใครมาจ้องตะครุบท่านแม่ แต่เพราะต่อมานางรู้สึกเบื่อแล้ว จึงไปอยู่บ้านท่านยาย ก่อนจะไป คนที่นางยากจะตัดใจจากไปกลับไม่ใช่ฮูหยินเหยา แต่เป็นฮุ่ยเทียน
เป็นเพราะฮุ่ยเทียนรู้วิธีเหาะเหินเดินอากาศ นางได้เห็นกับตาตัวเองเลยว่าฮุ่ยเทียนบินขึ้นไปบนหลังคา เหินขึ้นไปยอดไม้ ทั้งยังยินดีพานางบินไปรอบ ๆ แล้วยังเด็ดดอกไม้มาให้นางด้วย
ดังนั้น หลังจากเมิ่งซิงมาถึงจวนอ๋องฉู่ ก็พูดกับฮูหยินเหยาว่า: “ถ้าหากท่านแม่ว่าง พวกเรากลับไปเยี่ยมหาท่านอาฮุ่ยเทียนกันเถอะ”
สีหน้าของฮูหยินเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไปเยี่ยมเขาทำไมรึ?”
“ ข้าคิดถึงเขาแล้วเจ้าค่ะ อยากให้เขาพาข้าบินอีก ” เมิ่งซิงพูดพลางหัวเราะชอบใจ
“เจ้าไปขอให้ท่านอาห้าพาเจ้าบินก็ได้ ท่านอาห้าก็มีวิชาตัวเบา”
“ วิชาตัวเบาของท่านอาห้า ยังห่างชั้นจากท่านอาฮุ่ยเทียนไกลโขเลยเจ้าค่ะ”
นี่คือความจริง หยู่เหวินเห้ามีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่น้อย แต่ฮุ่ยเทียนมีศาสตร์วิชาตัวเบาที่เรียกว่าร้ายกาจอย่างหาได้ยาก ถ้าจะพูดว่าโดดเด่นไม่มีใครเทียบได้ก็อาจเกินไปสักหน่อย แต่ในความเป็นจริง ถ้ามองในมุมของชาวยุทธภพ น้อยคนนักที่จะสามารถเอาชนะวิชาตัวเบาของเขาได้
ฮูหยินเหยาดุอย่างโกรธเคือง “อย่าพูดจาเหลวไหล ทำไมถึงได้เอาคนอื่นมาทับถมท่านอาห้าแบบนี้ เสียแรงที่ท่านอาห้าดีต่อเจ้าขนาดนั้น เจ้าช่างเป็นเด็กที่ไร้หัวใจนัก เจ้าทำให้แม่ผิดหวังเหลือเกินแล้ว”
เมิ่งซิงคิดไม่ถึงว่าแม่ของนางจะตำหนินางอย่างรุนแรงขนาดนี้ นางถามตัวเองว่า ในหลายวันมานี้นางทำตัวเชื่อฟังว่าง่ายแท้ ๆ ทำไมถึงทำให้ท่านแม่ผิดหวังไปเสียแล้วล่ะ?
เด็กสาวหน้าบาง ชั่วขณะที่เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
หยวนชิงหลิงที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงเมิ่งซิงร้องไห้ จึงเดินเข้ามาถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมถึงได้ร้องไห้ขึ้นมาล่ะ?”
ใบหน้าของเมิ่งซิงราวกับจานเงิน กลมเกลี้ยงผุดผาดน่ามอง การร้องไห้ครั้งนี้ทำให้นางดูน่าสงสารมาก หยวนชิงหลิงเห็นแล้วรู้สึกเห็นใจอย่างยิ่ง จึงคว้าตัวนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “เอาล่ะ ๆ เมิ่งซิงเด็กดี หยุดร้องไห้ได้แล้วนะ บอกท่านน้าห้ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
เมิ่งซิงซบลงไปในอ้อมแขนของหยวนชิงหลิง พลางร้องไห้โฮ: “ท่านแม่โกรธข้าแล้ว ท่านน้าห้า ข้าทำให้ท่านแม่โกรธแล้ว”
หยวนชิงหลิงตบ ๆ ที่หลังนางเบา ๆ แล้วพูดปลอบใจว่า: “เอาล่ะ ๆ เมิ่งซิงเด็กดี ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ออกไปเล่นข้างนอกเถอะ เดี๋ยวน้าห้าจะคุยกับท่านแม่ของเจ้าให้ ว่านางโกรธอะไรเจ้า?”
เมิ่งซิงเช็ดน้ำตา แอบเหลือบมองแม่อย่างขลาด ๆ เมื่อเห็นว่าในแววตาลึก ๆ ของนางยังคงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ จึงร้องไห้พลางวิ่งออกไปทันที
หยวนชิงหลิงหันไปมองฮูหยินเหยาอย่างจนใจ “เดิมทีข้าคิดว่าเจ้ามาพักอยู่ที่นี่ หากได้ใช้เวลากับลูกสาวก็คงจะดีที่สุดแล้ว ทำไมเจ้ากลับไปทำให้นางร้องไห้เสียแล้วล่ะ? เจ้าโกรธอะไรของเจ้า? นางเพิ่งจะมา ทำอะไรจนถึงขั้นหาเรื่องให้เจ้าโกรธได้ขนาดนี้อย่างนั้นรึ?”