บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1070 ความสุขกับความเศร้าอันยิ่งใหญ่
หยู่เหวินเห้าอยู่ในห้องทรงพระอักษรประมาณครึ่งชั่วยาม ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงถามทุกอย่าง รวมไปถึงเรื่องของชีวิตคู่ของหยู่เหวินจุนกับฉู่หมิงหยาง เมื่อได้ยินว่าหยู่เหวินจุนใช้กำลังทุบตีทำร้ายฉู่หมิงหยางอย่างรุนแรง ดวงเนตรของพระองค์ก็เต็มไปด้วยความเศร้ารันทด ” นี่มันช่างสุดจะทนเหลือเกินแล้ว ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง ทำลายหน้าตาของราชวงศ์จนไม่มีเหลือแล้ว!”
ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักรบหาญกล้าในสนามรบ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นผู้ชายสารเลวที่ทุบตีภรรยาเพื่อความบันเทิง เรื่องนี้จะไม่ทำให้ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงรู้สึกเจ็บปวดโกรธกริ้ว ที่เขาทำตัวน่าผิดหวังได้อย่างไรล่ะ?
พระองค์ตรัสถามว่า: “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตอนนี้ยังไม่มีเงื่อนงำของฆาตกรอย่างนั้นสินะ?”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “ไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีเงื่อนงำใด ๆ เลย แต่ยังไม่แน่ใจ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยรายงานไปแล้วว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่แอบเคลื่อนไหวลับ ๆ อยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับจวนอ๋องผิงหนาน ซึ่งกลุ่มกำลังที่มีอิทธิพลเช่นนี้ หากมองการณ์ชั่วคราว น่าจะเป็นกลุ่มที่นำโดยหลินเซียว แล้วก็ยังมีพ่อค้าผู้มั่งคั่งชาวเจียงหนานอีกหลายคนที่ร่วมวางแผนสมคบคิดกับพวกเขา ตอนนี้หม่อมฉันกำลังจับตามองคนกลุ่มนี้อยู่ ยังไม่ได้ตัดประเด็นที่ว่า พี่ใหญ่อาจโดนคนกลุ่มนี้ทำร้ายก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ เจ้าตรวจสอบคนพวกนี้มานานมากแล้ว ยังตรวจสอบไม่พบอีกรึว่าพวกนี้มาด้วยจุดประสงค์อะไร?” เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้หมิงหยวนเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “คนกลุ่มนี้ซ่อนตัวมิดชิด บวกกับก่อนหน้านี้สายตาของพวกเราถูกท่านชายหงเย่ดึงดูดไปจนไขว้เขว จึงตรวจสอบการเคลื่อนไหวของพวกนี้ไม่ทันการณ์ นี่เป็นความผิดพลาดของหม่อมฉันเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ทรงทราบดี ว่าเขาเองก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว จึงไม่อาจทำใจดำตำหนิเขาได้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วอาจเป็นคนที่หงเย่จัดวางไว้? ในมือเขามีสายลับมากมายถึงขนาดนั้น เกรงว่าเขาคงจะวางเส้นสายของตัวเองไว้จนทั่วราชวงศ์เป่ยถังแล้วก็เป็นได้”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “หม่อมฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
อันที่จริง ครั้งนี้หยู่เหวินเห้าไม่ได้สงสัยหงเย่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้มีข้อสงสัยที่กระจัดกระจายเกินไป ทั้งยังดูเหมือนมีบางย่างที่เป็นลายมือของหงเย่อีก ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่เขาวางแผนไว้ในแคว้นต้าโจวอย่างยิ่ง วางเส้นสายกับดักอันดำมืดไว้กว้างขวางดุจดังตาข่ายที่ปิดคลุมได้จนทั่วท้องฟ้าและผืนดิน มีหัวหนึ่งโผล่มาให้เห็น แต่เมื่อค้นหาจริง ๆ กลับหาอีกหัวหนึ่งไม่พบ
เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือ มันเหมือนกับ…มีคนลอกเลียนแบบหงเย่ ลอกวิธีการของเขามาทำซ้ำ
“ ตอนนี้อย่างน้อยก็แน่ใจแล้วว่า หลินเซียวเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง ทำไมถึงไม่จับตัวเขามาเสียก่อนล่ะ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสถาม
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าจับกุมตัวเขา กองกำลังที่อยู่ภายใต้คนคนนี้จะยิ่งซ่อนตัวลึกลงไปกว่าเดิมอีกชั้นหนึ่งเป็นแน่ บวกกับตอนนี้พวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หม่อมฉันได้จับตามองในหลาย ๆ ด้านเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ขอแค่พวกนั้นลงมือ หม่อมฉันก็จะรู้เป้าหมายของพวกนั้นได้ทันที จากการประเมินขั้นต้น การฆ่าพี่ใหญ่คือก้าวแรกของแผนการนี้ หมากตาแรกที่วางออกมาในขั้นนี้ เราจำเป็นต้องเฝ้ารอให้มันหมักหมมจนได้ที่ แล้วสุดท้ายความยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหมดนี้ ก็จะเผยร่องรอยออกมาให้ติดตามได้ในที่สุด”
ฮ่องเต้หมิงหยวนสามารถรับรู้ได้ว่า บนตัวหยู่เหวินเห้ามีพลังบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกสบายใจ ในหมู่มวลลูกชายจำนวนมากมายที่มีอยู่ สุดท้ายก็สามารถเลี้ยงดูปลูกฝังคนหนึ่งที่มีแววโดดเด่นเหนือใครขึ้นมาได้เสียที
ไม่อาจไม่ยอมรับว่า เขาวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีมาก ตอนนี้ภายในเมืองหลวงก็เหมือนกับหม้อใหญ่ใบหนึ่ง ฝาปิดหม้อดูนิ่งสงบ แต่ในหม้อกลับเริ่มเดือดพล่านแล้ว จำเป็นต้องรู้ว่าในหม้อใบนี้ต้มน้ำแกงอะไรอยู่ ในช่วงก่อนหน้าที่ยังไม่อาจเปิดฝาหม้อขึ้นมา ต้องรู้จักดมกลิ่นของมันเสียก่อน
ในตอนนี้ กลิ่นที่ว่านั้นกำลังจะกระจายออกมาเร็ว ๆ นี้แล้ว
หยู่เหวินเห้ามีความคิดเห็นประการหนึ่ง แต่เขากลับลังเลอยู่นาน แต่เพราะเห็นว่ามันจำเป็นในตอนนี้ จึงเสนอมันขึ้นมา “เสด็จพ่อ พอจะมีหนทางไหนที่จะให้อ๋องผิงหนาน กลับมาที่เมืองหลวงในเวลานี้ได้บ้างหรือไม่? หม่อมฉันหมายถึงถ้าไม่มีพระราชโองการ ท่านว่ายังพอมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่? ที่จะทำให้เขากลับมาเมืองหลวงได้สักครั้ง?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าสงสัยอ๋องผิงหนานอย่างนั้นรึ?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ จนถึงตอนนี้ หม่อมฉันก็ยังไม่สงสัยอ๋องผิงหนานเลย แต่รู้สึกว่ามีบางคนที่หวังให้พวกเราสงสัยอ๋องผิงหนาน ในเมื่อเป็นอย่าง นั้น ทำไมเราไม่ลองใช้แผนซ้อนแผน แสร้งทำตามน้ำไปเลยล่ะ? กวนให้น้ำนี้มันขุ่นลงไปอีกหน่อย ทำให้ใครก็มองไม่เห็นใครให้หมด ย่อมดีกว่าตอนนี้ ให้ศัตรูอยู่ในที่แจ้งพวกเราอยู่ในที่ลับเพื่อจะได้ไม่เสียเปรียบ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนจิตใจกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ตรัสว่า “เจ้าลองพูดมาให้ข้าฟังหน่อยซิ”
สองคนพ่อลูกคุยกันในห้องทรงพระอักษรเป็นเวลาราว ๆ หนึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นหยู่เหวินเห้าก็ขอตัวลากลับไป
เขาไปที่พระตำหนักฉินคุนเพื่อรับหยวนชิงหลิงกลับ ไท่ซ่างหวงถึงกับออกปากไล่คนออกไปแล้วเรียบร้อย บอกว่านางทำให้บรรยากาศของพระตำหนักฉินคุนย่ำแย่อย่างยิ่ง
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่อาบคลอดวงตา แต่กลับดึงไท่ซ่างหวงไว้แล้วพูดต่อไปว่า: “ให้ข้าได้พูดต่อเถอะ ข้าเพิ่งจะพูดถึงตอนที่พวกพวกเด็กๆเกิดเอง หลังจากพูดเรื่องนี้จบ ข้าก็จะไปแล้วเพคะ”
“รีบลากนางกลับไปเร็ว ๆ เลย ไม่จบไม่สิ้นเสียที” ไท่ซ่างหวงยกพระหัตถ์ขึ้นราวกับไล่แมลงวัน ซึ่งเป็นท่าที่บ่งบอกว่ารังเกียจเดียดฉันท์เหลือเกินแล้ว
หยู่เหวินเห้าแอบรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่น้อย เจ้าหยวนได้เจอเรื่องอะไรที่ไปกระตุ้นอารมณ์เข้าอย่างนั้นรึ? ถึงกับมาพูดเรื่องราวความหลังกับเสด็จปู่ในพระตำหนักฉินคุนแบบนี้ ด้วยกลัวว่านางจะเกิดนึกถึงเรื่องที่ไม่มีความสุขเมื่อครั้งอดีต จึงรีบดึงตัวนางกลับไปทันที
รอจนออกจากตำหนักมาขึ้นรถม้า หยู่เหวินเห้าก็จับมือของนาง พลางพูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “ถ้าเจ้าอยากพูด เช่นนั้นก็พูดกับข้าเถอะนะ ข้าอยู่ข้างกายเจ้ามาตลอด เมื่อไหร่ที่อารมณ์ของเจ้าเกิดพังทลายขึ้นมา ข้าก็สามารถปกป้องดูแลเจ้าได้ ข้ารู้ว่าตลอดหลายปีมานี้ต้องทำให้เจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินแล้ว”
หยวนชิงหลิงเช็ดแก้มลวก ๆ พลางถอนหายใจ ยังมีคราบน้ำตาชั้นหนึ่งที่คลอเบ้าอยู่ในดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้น “ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพูดหรอกนะ ข้าแค่ช่วยเปลี่ยนย้ายอารมณ์ให้ไท่ซ่างหวงเฉย ๆ ช่วยระบายสิ่งที่สะสมไว้ออกไปสักหน่อย หยู่เหวินจุนเกิดเรื่องร้าย ในใจพระองค์ก็คงเจ็บปวดทรมานมากแน่ ๆ แต่เพราะความผิดทั้งหลายที่หยู่เหวินจุนทำลงไป พระองค์จึงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองแสดงความโศกเศร้าออกมาให้ใครเห็น
แต่อารมณ์เหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจหลายครั้งหลายหนมากเข้า ก็ไม่รู้ว่ามันจะตกตะกอนจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว ข้านึกย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปล่อยให้อารมณ์ของข้านำพาอารมณ์ของพระองค์ให้ท่วมท้นไปด้วยกัน อะไรที่ควรโกรธก็โกรธ อะไรที่ควรเสียใจก็เสียใจ อย่างไรก็ต้องมีทางออกสักทาง นี่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าจิตบำบัดด้วยเช่นกัน ”
หยู่เหวินเห้าถึงกับตกตะลึง “นี่ก็ถือเป็นการรักษาด้วยรึ?”
“แน่นอนว่าเป็น ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะพูดถึงมันหรือไม่ พอจะมองเห็นอารมณ์แบบคนปกติธรรมดาจากพระองค์แล้วใช่หรือไม่ล่ะ?” หยวนชิงหลิงเอนตัวพิงไหล่ของเขา แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก วิธีนี้หากเป็นไปได้คือไม่ควรนำมาใช้บ่อย ๆ จะดีที่สุด เพราะการที่เอาเรื่องราวเก่า ๆ ที่เคยเกิดมาเล่าใหม่ มันเป็นอะไรที่ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดใจมากจริง ๆ
หยู่เหวินเห้าใช้มือทั้งสองข้างโอบกอดนางไว้ แล้ววางคางไว้บนหน้าผากอันเย็นเฉียบของนาง
งานแต่งของอ๋องชุนต้องเลื่อนมาจัดก่อนเวลา จึงต้องเร่งเตรียมงานให้ไวขึ้น ตี๋กุ้ยเฟยเองก็พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานแต่งของอ๋องชุน ยังดีที่นางพอจะใช้เหตุผลเรื่องการสิ้นพระชนม์ไม่ถึงสามปีของฮองเฮาเป็นข้ออ้างได้ จึงสามารถจัดงานที่เรียบง่ายสักหน่อยก็ได้ไม่ดูน่าเกลียดอะไร อีกทั้งหลังจากที่กลับไปหนานเจียงแล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีการจัดพิธีอย่างเป็นทางการอีกอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องงานพิธีที่มันหรูหราโอ่อ่าอะไรมากมายนัก
แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนงานแต่งเพียงวันเดียว หยู่เหวินจุนก็ยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว หยวนชิงหลิงพยายามช่วยชีวิตเขาเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจช่วยเขาไว้ได้ ก่อนตายเขาไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเลยแม้สักครั้ง แล้วก็ไม่ได้ทิ้งคำพูดสั่งเสียใด ๆ ไว้เลยเช่นกัน
ยามมีชีวิตดิ้นรนไขว่คว้า ยามตายขึ้นมากลับเงียบงันไม่มีอะไรหลงเหลือ
หยู่เหวินเห้าปกปิดเรื่องนี้ไว้ ถึงขั้นไม่เข้าไปรายงานในวังด้วยซ้ำ เพราะตั้งใจว่าจะรอให้ผ่านพ้นพิธีแต่งงานของเจ้าเก้าไปเสียก่อน ถึงค่อยจัดการเรื่องนี้ทีหลัง
แต่บรรดาอ๋องชินทั้งหลายต่างรู้กันหมด ดังนั้น งานแต่งของเจ้าเก่าจึงยิ่งดูต่ำต้อยหงอยเหงาลงไปอย่างถึงที่สุด แม้ว่าหยู่เหวินจุนจะทำให้ทุกคนเคืองแค้นชิงชังมาก แต่อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายคนโตของบรรดาอ๋องชินทั้งหลาย พวกเขาต่างก็ไม่ใช่คนใจคอโหดร้ายเย็นชาอะไร จึงอดรู้สึกเจ็บปวดใจไม่ได้
การแต่งงานระหว่างอ๋องชุนกับหมันเอ๋อ กลับทำให้ผู้คนในเมืองหลวงคึกคักมีชีวิตชีวากันอย่างยิ่ง ตัวตนของราชินีแห่งหนานเจียงเป็นอะไรที่ชวนอัศจรรย์ใจมาก จากเด็กทำงานหยาบที่ท่าเรือ มาเป็นสาวใช้ สุดท้ายก็เป็นราชินีแห่งหนานเจียง มียศเป็นพระชายาอ๋องชุน นี่ช่างเหมือนเรื่องเล่าในเทพนิยายที่ผู้คนชอบอ่านเหลือเกิน ดังนั้นจึงมีคนที่มาร่วมชมงานแต่ง รวมถึงมาส่งขบวนพิธีกันอย่างมากมายมหาศาล
ตอนที่มากล่าวลาหยวนชิงหลิง หมันเอ๋อทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ จากหัวเราะเป็นร้องไห้สลับไปมาไม่หยุด
อะซี่เป็นคนไปส่งขบวนเจ้าสาวด้วยตัวเอง รับบทเป็นสี่เหนียง นางแบกหมันเอ๋อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว หลังจากวางหมันเอ๋อลง นางก็กุมมือของหมันเอ๋อไว้แน่น แล้วพูดว่า “ถ้าเขารังแกเจ้า ให้บอกข้าทันทีเลยนะ ข้ากับพี่หยวนต่างก็เป็นคนจากบ้านเดิมของเจ้าทั้งสิ้น”
หมันเอ๋อทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้อ๋องชุนมีจวนของตัวเองแล้ว ดังนั้นจึงทำพิธีแต่งหมันเอ๋อกลับเข้าจวน ฮ่องเต้หมิงหยวนถึงกับออกจากวังด้วยองค์เอง มาเป็นประธานในพิธีแต่งงานพร้อมกับตี๋กุ้ยเฟย ทำหน้าที่รับการคารวะในฐานะพ่อและแม่ของคู่บ่าวสาวคู่ใหม่
ตี๋กุ้ยเฟยเอาแต่ลอบเช็ดน้ำตาไม่หยุด นับตั้งแต่เจ้าสี่ถูกลดตำแหน่ง และตระกูลตี๋ถูกสอบสวนและจัดการความผิด ฝ่าบาทก็ไม่เคยทอดพระเนตรมองนางอย่างเต็มสายตาอีกเลย แต่ตอนนี้เป็นเพราะการแต่งงานของอ๋องชุน ทำให้นางและฝ่าบาทได้มานั่งอยู่เคียงข้างกันอีกครั้ง ทั้งยังได้พูดคุยหัวเราะด้วยกันอีก สำหรับนางแล้ว นี่ช่างดูเหมือนโลกที่ห่างไกลเกินฝันเสียจริง ๆ
ท่ามกลางเสียงของผู้คนที่กล่าวแซ่ซ้องยินดี ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงทอดพระเนตรเห็นรอยยิ้มที่ฝืนทำเป็นเข้มแข็งอย่างยิ่งของลูกชาย ก็เข้าใจกระจ่างชัดขึ้นมาทันที แต่กลับไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
ตอนนี้ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าพิธีแต่งงานของเจ้าเก้า ตลอดหลายปีมานี้ พระองค์ให้ความใส่ใจกับเจ้าเก้าน้อยเกินไปจริง ๆ