บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1072 ฮ่องเต้หมิงหยวนล้มป่วย
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีกระจิตกระใจไปสนใจฉู่หมิงหยาง บรรยากาศในการจัดงานศพล้วนเป็นความโศกเศร้า ดังนั้นเข้าไปในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย กลิ่นอายของความตายถาโถมมาเบื้องหน้า ไม่ว่าคนที่ตายจะเป็นใคร ก็มักจะทำให้คนรู้สึกสลดใจเสมอ
อ๋องชินทุกท่านร่วมกันช่วยจัดการงานศพให้หยู่เหวินจุน ดังนั้นอยู่ที่นี่ล้วนทำตามระเบียบสวมชุดสีขาวทั้งหมด หยวนชิงหลิงบอกต่อหยู่เหวินเห้าว่าฮูหยินเหยาเอาสิ่งของมา ต้องการใส่เข้าไปในโลงฝังไปพร้อมกับศพ หยู่เหวินเห้าจึงรับไปแล้ว
ฮูหยินเหยายืนอยู่หน้าระเบียง ประตูใหญ่และลานบ้านเงียบสงัด กาลครั้งหนึ่ง หน้าประตูจวนอ๋องจี้รถม้ามากมาย มีชื่อเสียงและอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้ ลานบ้านเล็ก คนน่าสังเวช เช่นนี้ก็เป็นหนึ่งชีวิตแล้ว
จิตใจเกิดความโศกเศร้าขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ทว่าไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพียงเพราะกาลเวลาที่ฝังไปพร้อมกันเหล่านั้น
เพียงแค่ แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ใช่คนที่จะเศร้าโศกเสียใจขนาดนั้น แค่เพียงหมู่นี้ มักจะรู้สึกว่าจิตใจโอนอ่อนลงมาก
“ท่านแม่ ท่าไม่ได้บอกว่าจะจุดธูปให้เสด็จพ่อหรือ?” เมิ่งซิงออกมากระตุกแขนเสื้อของนาง แหงนใบหน้าน้อยๆที่มีความกังวลขึ้น คลุมชุดผ้าป่านแสดงความกตัญญู ในตามีความขลาดและหวาดกลัวเล็กน้อย
ฮูหยินเหยาลูบใบหน้าของเมิ่งซิง “ได้!”
มือถือธูปหอม ยืนอยู่ด้านหน้าของโลงศพ นางไตร่ตรองอยู่นาน ก็ยังคงตัดสินใจเข้าไปบอกลากับเขา
โลงศพวางไว้ด้านหลังของห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย บรรจุโลงศพแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดโลง สิ่งของที่จะฝังไปด้วยก็ยังไม่ได้วางลงไปทั้งหมด แต่งกายชุดออกว่าราชการของอ๋องชิน เป็นของที่เขาใส่ตอนมีชีวิตอยู่ ตรงปกเสื้อชุดออกว่าราชการมีรูเล็กๆรูหนึ่ง หลังจากที่เขาถูกลดฐานันดรศักดิ์ ก็ไม่มีสิทธิ์สวมใส่อีก แต่ก็กลับทิ้งไม่ลง ตอนนี้น้องชายไม่กี่คนเห็นแก่เกียรติยศของเขา สวมให้เขาแล้ว
นอนอยู่ในโลงไม้เช่นนี้ ความกำเริบเสิบสานจางไป ความชั่วร้ายหายไปจนหมดสิ้น เป็นคนธรรมดาที่ธรรมดาไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ใบหน้าของผู้ตายจัดการดีแล้ว บนใบหน้าที่ซีดเผือดทาเครื่องสำอางสีแดง พยายามทำให้สุดท้ายแล้วเขาดูมีเกียรติเล็กน้อย
รองเจ้ากรมพิธีการยื่นหวีหักด้ามหนึ่งมา กล่าวเบาๆ: “ฮูหยิน แม้ว่าท่านกับองค์ชายใหญ่จะหย่ากันแล้ว แต่ในเมื่อมาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย เช่นนั้นก็เชิญวางหวีหัก ตัดขาดความแค้นเคืองในชาตินี้ ต่างคนต่างอยู่อย่างสงบเถอะขอรับ”
ฮูหยินเหยาพยักหน้า รับหวีหักมา เอาครึ่งหนึ่งในนั้นวางลงไปในโลงไม้ อีกครึ่งหนึ่ง เก็บไว้ในแขนเสื้อ
บุญคุณความแค้นชาตินี้หมดแล้ว ไม่มีความโกรธแค้นและไร้เยื่อใยอย่างแท้จริง
หยู่เหวินจุนฝังอยู่ในสุสานองค์ชาย บนขวามือของแผ่นป้ายศิลายังคงเขียนว่าเป็นองค์ชายองค์โต ไร้ยศศักดิ์ไร้การแต่งตั้ง
ฮ่องเต้หมิงหยวนล้มป่วยแล้ว
งานศพครั้งนี้จัดสามวันแล้ว เขาไม่ได้กินข้าวมาสามวัน แม้แต่น้ำซุปกินเข้าไปก็อาเจียนออกหมด ตอนกลางคืนฝันร้ายรุมเร้าจิตใจอยู่ตลอด เพียงแค่สามสี่วัน คนก็ผอมลงไปรอบใหญ่ๆแล้ว
วันว่าการราชสำนักตอนเช้า รัชทายาทหยู่เหวินเห้ารับผิดชอบควบคุมดูแลการว่าราชการ มองดูบัลลังก์ที่ว่างเปล่า ทำให้จิตใจของขุนนางไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก
หมอหลวงก็ออกมาบรรยายอาการพระประชวรต่อขุนนาง บอกว่าอากาศเปลี่ยนทำให้เป็นไข้หวัด บวกกับเลือดลมติดขัดตับร้อนกำเริบขึ้นมาชั่วขณะ ต้องบำรุงระยะเวลาหนึ่ง ต่อจากนั้น พระราชโองการก็มาถึง ช่วงเวลาที่เขารักษาตัว ดูแลประเทศรักษาราชการแทนพระองค์โดยรัชทายาท อ๋องชินลุ่ยช่วยเหลือราชการ
ข่าวการประชวรของฮ่องเต้หมิงหยวน ก็ไม่ได้ปิดบัง กระทั่งในหมู่ราษฎรก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์
ช่วงเวลาที่ฮ่องเต้หมิงหยวนอยู่ในตำแหน่ง ได้รับผิดชอบทำงานกิจการบ้านเมืองเพื่อประชาชนจริงๆ นอกจากก่อนหน้านี้เพื่อเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทได้พาฮู่เฟยไปพระที่นั่ง ก่อนหน้านี้จนกระทั่งหลังจากนั้นก็ไม่เคยทำอีก
ตอนนี้ทันทีที่ข่าวฮ่องเต้หมิงหยวนทรงพระประชวรจนต้องให้รัชทายาทสำเร็จราชการแทนพระองค์เผยแพร่ออกมา ตามท้องตลาดก็คาดเดากันเซ็งแซ่
โสวฝู่ฉู่เดิมทีก็ถอยออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่เพราะฮ่องเต้หมิงหยวนล้มป่วย เขากลับไปเน่ย์เก๋ออีกครั้ง ดูแลควบคุมกิจธุระต่างๆของเน่ย์เก๋อ
การเจ็บป่วยนี้ของฮ่องเต้หมิงหยวนมาอย่างรวดเร็ว มาอย่างกะทันหันแทบจะสังหารทุกคนโดยไม่ทันได้ระวังตัว
ดีที่ การว่าราชสำนักเล็กๆของรัชทายาทพอไปวัดไปวาได้ สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้อย่างรวดเร็ว ถกปัญหาทุกเรื่องไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ภาระหนักของกรมการพระนครล้วนตกอยู่บนตัวของอ๋องฉี ช่วงหลายวันมานี้หยู่เหวินเห้าล้วนกลับไปไม่ได้ เพียงแค่แขวนตำแหน่งไว้เท่านั้น
สถานการณ์อันพบได้ยากเช่นนี้ของฮ่องเต้หมิงหยวน ทำให้จวิ้นอ๋องและบรรดาเจ้าพระยาที่ได้รับแต่งตั้งทั้งหลายล้วนทยอยส่งมอบความคิดถึงและห่วยใยมา จนกระทั่งมีบางส่วนที่เข้าเมืองหลวงมาด้วยตัวเอง เข้าเมืองหลวงมาเยี่ยมไข้
อ๋องผิงหนานทางนั้นก็ส่งพิราบคาบจดหมายมาให้ไท่ซ่างหวง บอกว่ากำลังเดินทางกลับเมืองหลวง เข้าเมืองหลวงครั้งนี้จะพาบุตรธิดามาด้วย
หลังจากไท่ซ่างหวงได้รับจดหมายแล้ว สั่งให้คนไปแจ้งเซียวเหยากงและโสวฝู่ฉู่ บอกว่าจี๋เอ๋อร์ต้องการจะกลับมาเมืองหลวงแล้ว
และให้ในวังซ่อมแซมตำหนักหอจัยซิงอันสง่างามที่อยู่ข้างพระตำหนักฉินคุน ไม่จำเป็นต้องใช้แรงคน แค่จัดเตรียมของให้พร้อมก็เพียงพอแล้ว บอกว่ารอจนที่อ๋องผิงหนานกลับเมืองหลวงแล้ว จะเข้าพักที่หอจัยซิง ทั้งยังออกพระราชโองการ ให้หยวนชิงหลิงเข้าวังทันที ตรวจทั้งร่างกายให้เขา ตรงไหนไม่ได้ก็รักษาตรงนั้น จำเป็นจะต้องมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง
หยวนชิงหลิงแปลกใจมาก ไท่ซ่างหวงให้ความสำคัญกับอ๋องผิงหนานเพียงนี้เชียว?
หลังจากเข้าวังแล้ว นางกลับพบว่าโสวฝู่ฉู่และเซียวเหยากงก็อยู่ด้วย ทั้งสองคนล้วนสวมชุดที่ทำงานใช้แรงอย่างหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยโคลน ราวกับว่าเพิ่งกลับมาจากการเพาะปลูกเช่นนั้น
“ท่านทั้งสองกลับมาที่ไหน?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
“ซ่อมแซมหอจัยซิง สร้างกําแพงใหม่ผนังหนึ่ง” เซียวเหยากงดื่มชาไปหนึ่งถ้วย หัวเราะจนทั้งใบหน้าแดงวาว
“หอจัยซิง?” หยวนชิงหลิงกลับไม่รู้ว่าในวังมีหอจัยซิงอยู่
“พ่ะย่ะค่ะ ก็อยู่ทางด้านข้าง”
หยวนชิงหลิงมองไปจากทางประตูตำหนัก ด้านข้างไม่ใช่หอเหวินชานหรือ? ทำไมเป็นหอจัยซิง? ตอนนั้นฝูเป่าก็ตกลงมาจากหอเหวินชาน
“หอเหวินชานเปลี่ยนชื่อแล้วหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
เซียวเหยากงกล่าวด้วยเสียงที่ดังห้าวและทุ้มต่ำ: “หอเหวินชานคือหอเหวินชาน หอจัยซิงคือหอจัยซิง จะเหมือนกันได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? หอเหวินชานก็คือหอเหวินชานนั่น หอจัยซิงคือตำหนักที่สง่างามนั่น มองเห็นหรือยังพ่ะย่ะค่ะ? แยกกันอยู่!”
หยวนชิงหลิงหัวเราะอย่างเคอะเขิน เห็นหอนั่นเชื่อมต่อกับตึก แล้วยังจะบอกว่าอยู่ด้วยกันอีก
“งานเหล่านี้ กำชับให้ช่างฝีมือทำก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? ยังจำเป็นต้องให้พวกท่านลงมือทำเองด้วยหรือ?” หยวนชิงหลิงหิ้วกล่องยาขึ้นไปด้านหน้าระเบียง ไท่ซ่างหวงยังคงคุ้นชินกับการนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าระเบียง ที่ผ่านมาไม่มีชีวิตชีวาอะไร แต่วันนี้กลับแสดงถึงความกระปรี้กระเปร่า หน้าตาแฝงไปด้วยความปีติยินดี
โสวฝู่ฉู่กล่าว: “เรื่องของจี๋เอ๋อร์จะมอบให้คนอื่นได้อย่างไร?”
“จี๋เอ๋อร์? จี๋เอ๋อร์คือผู้ใด?” ถามออกจากปากแล้ว เพิ่งจะรู้ว่าเป็นอ๋องผิงหนานหยู่เหวินจี๋ แค่เพียงแปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงได้เรียกอ๋องผิงหนานว่าจี๋เอ๋อร์? ฟังแล้วสนิทชิดเชื้อเป็นที่สุด
แต่หลายปีมานี้ที่หยวนชิงหลิงทะลุมาที่นี่ กลับไม่เคยพบอ๋องผิงหนานมาก่อน แม้กระทั่งขณะที่ไท่ซ่างหวงป่วยจนอยู่ในขั้นอันตราย ก็ไม่เห็นเขากลับมา
นางข้าหลวงประคองไท่ซ่างหวงเข้าไปในตําหนัก ไท่ซ่างหวงเล่าเรื่องราวของอ๋องผิงหนานกับนางอย่างไม่หยุดหย่อน แต่โดยมากก็เป็นเรื่องยิบย่อย ที่แท้พวกเขาเคยอาศัยอยู่ที่หอจัยซิงในจวนอ๋องซู่ด้วยกัน และหอจัยซิงในวังนั้นหลังจากที่ไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์แล้วได้บอกให้คนสร้างขึ้น
ไท่ซ่างหวงนอนลง พับแขนเสื้อขึ้นเองโดยอัตโนมัติ รอฟังชีพจร ฟังการเต้นของหัวใจ และปรับการหายใจตามหูฟังของแพทย์ สูดหายใจ หายใจออก หายใจเข้าลึกๆ กลืนลมหายใจช้าๆ ช่ำชองเป็นอย่างมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากตรวจดูแล้ว ก็มองดูหยวนชิงหลิงอย่างระมัดระวัง
หยวนชิงหลิงเก็บหูฟังของแพทย์กลับคืน กล่าวว่า: “หลอดลมยังมีบางส่วนที่ไม่ดีอยู่ ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่โรคหอบหืดกำเริบหนักที่สุด งดบุหรี่และเหล้าอย่างเด็ดขาดเพคะ!”
“ไม่แตะแล้ว” พูดเช่นนี้ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่นต่อทันทีว่า: “นับจากนี้ไป จะไม่แตะต้องเหล้าสักหยด”
หยวนชิงหลิงวัดความดันโลหิตอีกเล็กน้อย ความดันโลหิตไม่สูง ควบคุมเข้มงวดเป็นอย่างดีมากๆมาโดยตลอด คนที่ชอบดื่มเหล้าชั้นดี กลัวความดันโลหิตสูงเป็นที่สุด และเขายังมีโรคหัวใจอีก จึงประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย