บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1092 เจ้าแฝดเหมือนจะผิดปกติ
ถ้าแม้แต่เจ้าเมืองหยุนฝูก็ยังเป็นสายลับของศัตรู ก็เป็นไปได้ว่าวิธีที่พวกเขาใช้จัดการกับแคว้นต้าโจวจะเป็นวิธีการเดียวกัน นี่คือลายมือของชาวเซียนเปย เหมือนกับหงเย่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสูงกว่าหงเย่ไปอีกขั้น
หลังจากที่หงเย่ออกมาจากกระดูกมนุษย์หมาป่า เขาได้รับการชื่นชมจากหงเล่ ได้รับช่วงต่อกลุ่มสายลับที่แฝงตัวอยู่ในต้าโจว ในตอนแรกกลุ่มสายลับเหล่านี้ ล้วนเป็นหงเล่ที่วางเส้นสายเอาไว้ หลังจากที่หงเย่เข้ารับช่วงต่อ ก็ใช้เป็นแขนขาให้ตัวเอง โดยการใช้กลยุทธไส้ศึก อาศัยวิธีการทาบกิ่งดอกไม้บนต้นไม้อื่น *(หมายถึงใช้วิธีการเปลี่ยนคนหรือสิ่งของเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง) โดยเปลี่ยนเป้าหมายที่จะยึดครองแคว้นต้าโจวของหงเล่ ให้กลายเป็นเป้าหมายเพื่อการแก้แค้นของตัวเองแทน
เขาแอบสงสัยในใจว่า หรือบางทีอาจจะเป็นไปได้ว่า นอกจากหงเย่แล้ว ในตระกูลเขายังมีคนที่เหลือรอดอยู่อีก?
แต่ในการล้อมเมืองในวันนั้น ทุกคนในตระกูลของหงเล่ล้วนถูกฆ่าตายจนหมด ศพของหงเล่ …. เขากลับไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง ไม่รู้ว่าจิ้งถิงเคยตรวจสอบศพนั้นบ้างหรือไม่?
สำหรับทางเจ้าเมือง ยังไม่จำเป็นต้องไปแหวกหญ้าให้งูตื่นในตอนนี้
หยู่เหวินเห้าชักม้าหันกลับ ออกคำสั่งให้กลับเมืองหลวง
ม้าเพิ่งจะหันหัว ก็เห็นเหมือนว่ามีแมวป่าตัวใหญ่สองตัวโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ สวีอีจ้องมองพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมถึงดูเหมือนเสือตัวเล็ก ๆ เลยล่ะ?”
หยู่เหวินเห้ามองไปที่พวกมัน ทั้งลวดลายลักษณะ นัยน์ตา รวมทั้งท่านั่ง ช่างดูเหมือนเจ้าเสือน้อยของเจ้าแฝดเหลือเกิน
“เจ้าเสือใหญ่ เจ้าเสือน้อย!” หยู่เหวินเห้าตะโกนเรียก
เจ้าเสือน้อยทั้งสองตัววิ่งถลาเข้ามา แล้ววิ่งวนไปรอบ ๆ ม้าอย่างคึกคัก ราวกับว่าพวกมันดีใจมากที่ถูกหยู่เหวินเห้าจำได้
หยู่เหวินเห้าถึงกับตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง สรุปว่าเป็นเจ้าเสือน้อยทั้งสองจริง ๆ พวกมันมาได้อย่างไรกัน? พวกมันเป็นหมารึ? หรือว่าอาศัยการดมกลิ่นตามมาระหว่างทาง?
เมี่ยตี้ถามว่า: “รัชทายาท เป็นเสือน้อยของจวนท่านรึ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเสือปลาที่มากันเมื่อคืนวานนี้ ล้วนถูกพวกมันเรียกมา?”
หยู่เหวินเห้านึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ตอนที่กระโดดร่มในยุคปัจจุบัน ในขณะที่เจ้าหยวนกำลังตกอยู่ในอันตราย เคยบอกว่าเจ้าแฝดใช้พลังจิตอะไรสักอย่างนี่ล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าแฝดสามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายล่วงหน้า ดังนั้น จึงได้เรียกให้เจ้าเสือน้อยทั้งสองมาที่นี่?
แต่เสือกับแมว…มันเหมือนกันด้วยรึ? ถึงเสือจะสั่งแมวได้ แล้วงูเหลือมล่ะ?
หยู่เหวินเห้ารู้สึกร้อนใจจนอยากรีบกลับไปเมืองหลวงโดยเร็ว สั่งการเมี่ยตี้ไปสองสามประโยค ให้เขาส่งคนจำนวนหนึ่งไปที่เมืองหยุนฝู เพื่อคอยจับตามองว่าเจ้าเมืองมีการติดต่อกับใครบ้าง แล้วสืบสวนเรื่องของนักฆ่าเมื่อวาน ว่ามีบาดเจ็บล้มตายไปเท่าไหร่
เมี่ยตี้ไปเตรียมการก่อนล่วงหน้า แล้วให้รัชทายาทและคณะกลับไปเมืองหลวงก่อน
มีบาดแผลทั่วทั้งร่าง การเดินทางวันนี้เป็นอะไรที่ลำบากใจมากจริง ๆ แต่ในหัวใจกลับรู้สึกเหมือนดั่งลูกธนูที่พร้อมจะพุ่งออกจากแล่งได้ตลอดเวลา ไม่อาจสนใจอะไรอื่นได้มากมายนัก แผลดูแล้วค่อนข้างหนัก โชคดีที่อากาศยังไม่ร้อน พอจะใส่ยาผงเพื่อบรรเทาอาการไว้ก่อนได้ ทั้งไม่ต้องปิดแผลขึ้นหนองหรืออักเสบ
เจ้าเสือน้อยตามเขาไปตลอดทาง พวกมันทำราวกับว่าไม่เคยเห็นภูเขาหรือแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้มาก่อน จึงทำท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก วิ่งวุ่นวายไปมาไม่หยุด ถึงขั้นวิ่งออกไปหนึ่งถึงสองชั่วยามโดยไม่กลับมาให้เห็น หลายครั้งเข้าหยู่เหวินเห้าก็คิดว่าจะไปตามหาเสียหน่อย แต่ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าพวกมันกลับตามมาเอง
บนถนนสายหลัก อากาศเริ่มค่อย ๆ แจ่มใสขึ้นบ้างแล้ว เมื่อคืนพักที่โรงเตี๊ยมอู่โจว เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ดังนั้น วันนี้จึงวางแผนว่าจะเร่งเดินทางให้เร็วที่สุด
เพิ่งจะออกจากถนนสายหลัก ก็เห็นม้าเร็ววิ่งควบตะบึงเข้ามาเต็มที่ ที่ด้านหลังเต็มไปด้วยฝุ่นดินฟุ้งกระจาย สวีอีสายตาดีมาก เห็นเพียงแวบเดียวก็จำได้ทันที “นั่นคืออ๋องชุนไม่ใช่รึ?”
หยู่เหวินเห้าเพ่งมองอย่างตั้งใจ ปรากฏว่าเป็นเจ้าเก้าจริง ๆ จึงอดรู้สึกเอะใจไม่ได้
สวีอีตะโกนว่า “ท่านอ๋องชุน ท่านอ๋องชุน!”
อ๋องชุนก็ได้ยินเสียงตะโกนของสวีอีเช่นกัน จึงรีบควบม้าตะบึงเข้ามา กระชับสายบังเหียนจนแน่นพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจนมาถึง ม้ายังไม่ทันหยุดวิ่งดี เขาก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้ววิ่งขึ้นมาข้างหน้า “พี่ห้า รีบกลับเมืองหลวงเร็วเข้า!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ร้อนรนของเขา หยู่เหวินเห้าก็รู้แล้วว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองหลวงแน่ จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? รีบพูดมา!”
อ๋องชุนเลือกเฉพาะประเด็นสำคัญ “พี่สะใภ้ห้ากับหมันเอ๋อถูกโจมตี ใต้เท้าทังหายตัวไป”
หยู่เหวินเห้าตกใจจนแทบคุมสติไม่อยู่ กระโดดลงไปคว้าคอเสื้อของอ๋องชุน แล้วถามว่า “พี่สะใภ้ห้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” เมื่ออ๋องชุนเห็นว่าหยู่เหวินเห้าตกใจมาก ก็รีบอธิบายว่า “พี่สะใภ้ห้าไม่เป็นไร แต่หมันเอ๋อได้รับบาดเจ็บ ส่วนใต้เท้าทังหายตัวไป”
เมื่อได้ยินมาว่าเจ้าหยวนไม่เป็นไร หัวใจที่เหมือนจะกระเด็นออกมาของหยู่เหวินเห้า ก็ถูกวางกลับลงไปไว้ที่เดิมในที่สุด แต่เมื่อได้ยินว่าหมันเอ๋อได้รับบาดเจ็บ กับทังหยางหายตัวไป หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งตึงเครียดขึ้นมา หลังจากสอบถามสถานการณ์อย่างละเอียด ได้ความว่าฮูหยินทังมีจุดน่าสงสัย แต่ตัวเขากลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไร จริง ๆ แล้วในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยในตัวฮูหยินทังมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่สงสัยเรื่องที่นางสมรู้ร่วมคิดกับใคร แต่การปรากฏตัวของนางเป็นอะไรที่บังเอิญเกินไป เต็มไปด้วยเรื่องราวน่ารันทด มันเหมือนกับว่าเป็นการจัดฉากโดยเจตนามากกว่า
แต่ตอนแรกเขาคิดว่านางคงแค่อาศัยพึ่งพาทังหยาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีแผนชั้นนี้อีกขั้น
ทังหยางติดตามเขามาหลายปีแล้ว เขาทั้งสองได้เผชิญปัญหาและอันตรายมาด้วยกันมากมาย หยู่เหวินเห้ามองว่าทังหยางเป็นเหมือนครอบครัวของเขา เรื่องที่เขาหายตัวไป ทำให้หยู่เหวินเห้ารู้สึกร้อนรนกังวลใจอย่างยิ่ง จึงไม่มัวชักช้า เร่งออกเดินทางกลับเมืองหลวงทันที
การเดินทางที่เหลืออีกสองวันครึ่ง ใช้เวลาไปหนึ่งวันครึ่งก็แล้วเสร็จ สามารถกลับถึงจวนอ๋องฉู่ในกลางดึก หยู่เหวินเห้าพาเจ้าเสือน้อยทั้งสองวิ่งกลับไปที่ตำหนักเซี่ยวเยว่ เสียงฝีเท้าเหยียบพื้นดังสวบสาบ ปลุกให้หยวนชิงหลิงที่เพิ่งผล็อยหลับไปต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
นางฟังออกว่าเป็นเสียงเจ้าห้า หยวนชิงหลิงไม่สวมรองเท้าอะไรทั้งสิ้น ก็วิ่งตรงออกมาทันที ประตูเพิ่งจะเปิดออก ก็ถูกคนที่วิ่งเข้ามาราวกับลมหมุนดึงเข้าไปในอ้อมแขน แล้วกอดเอาไว้จนแน่น
แยกกันแค่สองสามวัน ต่างฝ่ายต่างก็พบกับการซุ่มโจมตีที่เป็นอันตรายถึงชีวิต แม้ว่าอันตรายจะกลับกลายเป็นความสงบสุขได้ในภายหลัง แต่ในชั่วขณะนี้ แค่ได้กอดกันและกันไว้ หัวใจที่แขวนค้างอยู่ก็กลับค่อย ๆ ผ่อนคลายเป็นสุขขึ้นมาได้
เมื่อได้กลิ่นเลือดบนร่างของเขา หยวนชิงหลิงก็ปล่อยเขา แล้วไปหยิบกล่องยาออกมารักษาบาดแผลให้อย่างเงียบ ๆ
ในระหว่างวันครึ่งที่เร่งเดินทาง เขาไม่ได้หยุดรักษาบาดแผลเลย ได้แต่ห่อรัดไว้ด้วยผ้าอย่างแน่นหนา จนเริ่มมีหนองจากการอักเสบบวมแดงขึ้นมาจริง ๆ หยวนชิงหลิงเทน้ำยาฆ่าเชื้อออกมาเพื่อทำความสะอาดก่อน ทำการล้างแผลให้เขา แล้วค่อยผ่าเอาเนื้อเยื่อที่เน่าเปื่อยออกจากแผลเปิด
เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เพียงจ้องมองท่าทางเอาจริงเอาจังของหยวนชิงหลิง เขาเกือบจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้านางอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกหวาดกลัวภายหลังเมื่อได้เห็นนางจู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เขารู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่รอบคอบ และหุนหันพลันแล่นจนเกินไป
ใช้เวลาราว ๆ หนึ่งชั่วยามกว่า ๆ ในการจัดการกับบาดแผลต่าง ๆ บนร่างกาย ในที่สุดบาดแผลทั้งหมดก็ถูกจัดการอย่างเหมาะสม หลังจากเอายาแก้อักเสบออกมาให้เขากิน ก็ค่อยถอนหายใจออกมาได้ในที่สุด นั่งลงข้างเขา มองดูหน้าตาที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าแต่ก็ยังหล่อเหลาน่ามองของเขา แล้วพูดว่า “เจ้าห้า ทังหยางหายตัวไปแล้ว ทางด้านฮูหยินทังข้ายังไม่ได้จัดการอะไรรอให้เจ้ากลับมาตัดสินใจ”
การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ปัจจุบัน หรือพวกแผนการสมรู้ร่วมคิด ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของนาง บวกกับที่ฮูหยินเหยาบอกว่านางไม่ควรทำอะไรแบบใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะถ้าหากฮูหยินทังจับตัวทังหยางไว้จริง ๆ นั่นเพราะต้องการเก็บไว้เป็นตัวประกันแน่ ตราบใดที่ฮูหยินทังปลอดภัย ใต้เท้าทังก็จะปลอดภัยเช่นกัน
“คนน่าจะถูกส่งออกไปแล้วแน่ ๆ เรือนของทังหยางมีประตู สามารถส่งออกได้ในชั่วข้ามคืน เจ้าอย่าร้อนใจไป พรุ่งนี้ให้ตอเป่าออกไปค้นหาดูก่อน ตอเป่าอยู่กับใต้เท้ามานานแล้ว รู้กลิ่นบนร่างกายของเขาดี แล้วเจ้าก็สามารถสื่อสารกับตอเป่าได้ ให้ตอเป่าออกไปค้นหาสักหน่อย”หยู่เหวินเห้าพูด
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “ข้าให้ตอเป่าออกไปตามหาแล้วล่ะ รอบ ๆ บริเวณนี้ ตอเป่าล้วนไปตามหามาหมดแล้ว วันพรุ่งนี้จะให้มันไปไกลกว่านี้อีกหน่อย”
หยู่เหวินเห้าสวมเสื้อผ้าเสร็จ ก็ถามขึ้นว่า “สองวันนี้มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเจ้าแฝดบ้างหรือไม่? ข้าถูกดักฆ่าโจมตีในเมืองหยุนฝู เรื่องนี้พูดไปแล้วก็แปลกนัก เดิมทีพวกเราทุกคนอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก แต่จู่ ๆ ก็มีแมวป่ากับงูเหลือมจำนวนมากออกมาจากภูเขา”
“แมวป่ากับงูเหลือม?” หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ รีบพูดว่า: “เจ้าแฝดร้องไห้ สองวันก่อนจู่ ๆ ก็ร้องไห้ไม่หยุด จะโอ๋อย่างไรก็โอ๋ไม่อยู่ เสียงร้องนั้นน่ากลัวและคมชัดมาก ทุกคนได้ยินว่าเป็นเสียงเด็กร้องไห้ แต่แค่ไม่รู้ว่าเสียงร้องนั้นดังมาจากที่ไหน”
“เสียงร้องไห้?” หยู่เหวินเห้าหวนนึกขึ้นมาได้ในทันทีว่า ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก เหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก ซึ่งเป็นเสียงที่แหลมบาดหูมาก ถึงขั้นทะลุทะลวงผ่านเข้าไปในพายุได้อย่างชัดเจน