บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1097 ไปบอกฮุ่ยเทียน
อะซี่ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย “ทังหยางตายไป มันไม่ยิ่งทำให้เจ้าสมปรารถนาหรอกหรือ? เจ้าลักพาตัวเขาไป เคยสนใจความเป็นความตายของเขาด้วยรึ?”
อะซี่ไม่สนใจนาง สั่งให้คนเข้ามาจับตัวสาวใช้ แล้วเฝ้าจับตามองฮูหยินทังด้วยตนเอง
ฮูหยินทังร้อนใจดั่งไฟสุมอก นางตะโกนด่าทออะซี่อย่างรุนแรง แต่อะซี่ก็ยังไม่แยแสนางอยู่ดี ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว ชักกระบี่ออกจากฝัก องครักษ์ลับผีราวเจ็ดถึงแปดคนร่อนลงมาจากฟ้าตรงเข้าล้อมนางไว้ บังคับให้นางต้องถอยร่นกลับเข้าไปในที่สุด
ด้วยการเคลื่อนไหวที่ราวกับมีศึกใหญ่ขนาดนี้ที่เรือนใต้เท้าทัง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของหยวนชิงหลิงไปได้
ทันทีที่นางรู้ข่าว นางก็เข้ามาด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นว่าแม่ทัพหลอเป็นคนเฝ้าจับตาด้วยตัวเอง จึงถามอย่างโกรธเคืองว่า: “เป็นคำสั่งของรัชทายาทรึ?”
แม่ทัพหลอส่ายหน้า “ รัชทายาทไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากพวกนางเตรียมแผนการเสร็จ แม่นางอะซี่ค่อยมาบอกให้ข้ารอ ข้าเลยมาเฝ้าที่นี่ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครตัดหน้ามาช่วย”
อะซี่รู้ตัวว่ากำลังมีปัญหามาเยือนแล้ว จึงรีบดึงแขนนาง “พี่หยวน อย่าโกรธเลยนะ รัชทายาทไม่รู้เรื่องนี้ เป็นข้ากับหรงเยว่ร่วมมือกันทำ ฮูหยินเหยาเองก็เต็มใจด้วย”
ฮูหยินทังยืนอยู่หน้าประตูแล้วพูดว่า: “พระชายารัชทายาท พวกเขาทำแบบนี้จะทำให้ทังหยางต้องตายนะ ถ้าพวกเจ้าไม่อยากให้ทังหยางตายล่ะก็ ให้รีบไปหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขาไว้เดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยวนชิงหลิงก็เก็บซ่อนความวิตกกังวลไป หันไปมองฮูหยินทังนิ่ง ๆ แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาช้า ๆ “ถ้าเจ้าสนใจใยดีใต้เท้าทังจริง ๆ เจ้าก็ไม่ควรลักพาตัวเขาไปตั้งแต่แรก ถ้าหากทังหยางเกิดโชคร้ายอะไรขึ้นมา คนที่ทำให้ทังหยางต้องตายก็คือเจ้า”
ฮูหยินทังพูดอย่างเย็นชา: ” จุดยืนไม่เหมือนกัน ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางอื่น จึงจำใจต้องทำ ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “เจ้าลงมือตอนที่เขากลับไปจัดข้าวของ ตอนนั้นเขารู้แล้วว่าเจ้าเป็นสายลับ เขาสามารถฆ่าเจ้าได้ แต่เขาก็ไม่ทำ อะไรคือถูกบีบบังคับจนไม่มีทางอื่นจึงจำใจต้องทำ? อย่ามาเสแสร้งทำเป็นว่ารักใคร่เขาเสียเต็มประดาไปหน่อยเลย เมื่ออยู่ต่อหน้าใจที่มีเจตนาฆ่า ความเห็นอกเห็นใจอะไร ก็เป็นได้แค่เรื่องตลกเท่านั้นแหล่ะ ไม่จำเป็น!”
นางไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น หันหลังกลับมาลากตัวอะซี่ออกไปทันที กลับไปจนถึงจวนอ๋องฉู่ถึงค่อยปล่อยนาง สีหน้ากังวลใจอย่างหนัก “อะซี่ ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าวิธีการที่พวกเจ้าใช้นั้นมันอาจเป็นไปได้ แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่? ว่าฮูหยินเหยาไม่ใช่ใต้เท้าทัง นางไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเอง ต่อให้ช่วยชีวิตใต้เท้าทังออกมาได้ แต่กลับทำให้ฮูหยินเหยาต้องตาย เจ้าคิดว่าชีวิตนี้ใต้เท้าทังจะมีความสุขได้อย่างนั้นรึ? นี่ไม่ใช่แผนการที่แยบคายอะไรเลย!”
อะซี่พูดเสียงกระท่อนกระแท่น: “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมากมาย…. ”
“ยังมีอีก” หยวนชิงหลิงถอนหายใจเฮือก ในดวงตาฉายแววโศกเศร้า “จวิ้นจู่ไม่มีพ่อไปคนหนึ่งแล้ว หากว่าฮูหยินเหยาก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีกคน เจ้าจะให้พวกนางพี่น้องยอมรับได้อย่างไร? ทำไมเจ้าถึงไม่ฟังคำพูดของข้า ตอเป่าเริ่มระบุตำแหน่งโดยส่วนใหญ่ได้แล้ว รัชทายาทก็ไปหาหงเย่แล้ว ทางหงเย่ก็มีเบาะแสแล้วเช่นกัน พวกเขาจะต้องช่วยทังหยางได้แน่ แม้ว่าจะต้องเปลืองแรงอยู่บ้าง แต่นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ”
อะซี่รู้สึกเสียใจในภายหลังขึ้นมาแล้ว ขอบตาแดงเรื่อ “ข้าขอโทษ พี่หยวน ข้าทำเรื่องผิดพลาดไปจริง ๆ”
หยวนชิงหลิงก็รู้ว่าใจนางคิดแค่อยากจะช่วยคน ตำหนินางไปก็ไม่มีประโยชน์ ในทางกลับกัน ยังต้องปลอบใจนางด้วยซ้ำ “หวังว่าการเตรียมการของหรงเยว่จะเรียบร้อยดี จนไม่มีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้นกับฮูหยินเหยา กลยุทธ์ของพวกเจ้า มันเป็นอะไรที่ใช้การได้แน่ ข้าแค่กลัวว่าเมื่อไหร่ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะฆ่าคนปิดปากแล้วย้ายตำแหน่งไป แต่ก็หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถร่วมมือกับเจ้าห้าได้อย่างราบรื่น จริงสิ เจ้าไปหาฮุ่ยเทียนหน่อย ไปบอกเขาว่าฮูหยินเหยาอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“ฮุ่ยเทียน? ไม่จำเป็นหรอก หรงเยว่เรียกให้คนในสำนักเหลิ่งหลังไปแล้วล่ะ ” อะซี่ค้าน
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไปเถอะ คนของสำนักเหลิ่งหลังย่อมทำภารกิจนี้อย่างเต็มที่ แต่พวกเขาจะไม่ยึดเอาชีวิตของฮูหยินเหยาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่เห็นว่าชีวิตของฮูหยินเหยาสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด นั่นก็คือฮุ่ยเทียน เขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตฮูหยินเหยาแน่นอน”
อะซี่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจ “ทำไมล่ะ?”
“ไปเถอะ ไม่ต้องถามมาก อย่ามัวชักช้า ข้ารู้ว่าตอนนี้ฮุ่ยเทียนไม่ได้อยู่ที่สำนักเหลิ่งหลัง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เจ้ารีบไปหาเขาเร็วเข้าเถอะ” หยวนชิงหลิงเร่งเร้า
อะซี่รีบตอบรับ หันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปทันที
หยวนชิงหลิงหันกลับไปที่ห้อง ในใจรู้สึกกังวลไม่หาย
เรื่องของฮูหยินเหยากับฮุ่ยเทียน เป็นช่วงที่ฮุหยินเหยายืนกรานที่จะอยู่ในจวนอ๋องฉู่ นางถึงเพิ่งจะค้นพบความลับนี้ แต่นางไม่ได้เผยไต๋ทั้งคู่ เพราะถ้าพูดมากเกินไป ด้วยนิสัยของฮูหยินเหยา ก็สามารถตัดทิ้งได้ตรง ๆ แบบไม่ลังเลแน่
หวังว่าฮุ่ยเทียนจะสามารถพานางกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้นล่ะก็
หัวใจของหยวนชิงหลิงยังคงไม่อาจสงบลงได้ นางค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ เจ้าแฝด ดวงตาของเจ้าแฝดยังไม่ค่อยดีนัก เป็นสีแดงเหมือนกระต่ายไม่มีผิด ดูน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้วมาก
นางหยิบยาหยอดตาออกมา แล้วหยอดตาให้กับเด็ก ๆ
ครั้งนี้เจ้าแฝดไม่ได้นอนหลับแล้ว แต่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนฟูกนอนบนเตียงอรหันต์ จ้องมองหยวนชิงหลิงอย่างแน่วนิ่ง ดวงตาที่เหมือนกระต่ายของทั้งสองทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก
เจ้าเสือน้อยทั้งสอง ยังคงนอนหมอบอยู่ใต้เท้าของหยวนชิงหลิง เอาหัวเล็ก ๆ มาแนบชิดกับเท้าของนาง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลอบโยนนางอยู่
เสือทั้งสองยังตัวเล็กอยู่มาก ขนาดพอ ๆ กับตอนที่ถูกส่งมา ตอนนี้ดู ๆ ไปก็ยังไม่ได้โตขึ้นสักเท่าไหร่ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าแปลกมาก ทั้งที่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว อีกทั้งพวกมันก็กินเก่ง แต่ทำไมตัวถึงไม่โตสักทีล่ะ?
โดยเฉพาะเวลาที่นอนหมอบอยู่ตรงนั้น จะดูเหมือนแมวตัวหนึ่ง เรียกได้ว่าตัวใหญ่กว่าแมวทั่ว ๆ ไปแค่นิดหน่อยเท่านั้น
นางอุ้มเจ้าสองเสือขึ้นมา เสือทั้งสองตัวนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของนาง จากนั้นนางจึงหันไปมองเจ้าแฝดอีกครั้ง เจ้าแฝดก็หลับตาลงนอนหลับด้วยเช่นกัน เสือสองตัวกับเจ้าสองแฝด ช่างดูสอดคล้องเหมาะเจาะกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบา ๆ วางเจ้าเสือทั้วสองลง แล้วอุ้มเจ้าแฝดให้นอนหงาย เซเว่นอัพลืมตาขึ้นมอง ทันใดนั้นมือเล็ก ๆ ก็คว้าหมับเข้าที่แขนเสื้อของนาง ดวงตาสีดำขลับจ้องมองหยวนชิงหลิงแน่วนิ่ง
หยวนชิงหลิงจับมือเล็ก ๆ ของเขาไว้ “เด็กดี หลับเถอะนะ”
เซ่เว่นอัพปิดตาลงอีกครั้ง แต่ยังคงคว้านิ้วมือของนางไว้แน่น ไม่ยอมให้นางไป
แต่ไหนแต่ไรมา เจ้าแฝดไม่เคยแสดงพฤติกรรมใด ๆ ว่ายึดติดกับใครให้เห็นมาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรก ทำให้หยวนชิงหลิงเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
นางจึงอยู่ข้างเด็ก ๆ โดยไม่ทำอะไรเลย แค่เฝ้าดูพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
ที่ผ่านมา นางใช้เวลาไปกับแฝดสามมากพอสมควร ไม่ค่อยได้อยู่กับแฝดสองมากนัก เพราะเจ้าแฝดสองนับตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่ค่อยติดคนเท่าไหร่ ทั้งยังไม่ชอบถูกคนอื่นอุ้มด้วย เป็นเด็กที่รักสันโดษมาก ดูท่าทีเหมือนไม่ต้องการใครมาดูแลมากนัก
หยวนชิงหลิงตัดสินใจแล้ว หลังจากนี้ถ้าเจอเรื่องข้างนอกเรื่องไหน ที่นางไม่ต้องสนใจก็ได้ นางก็จะไม่สนใจแล้ว นางจะทุ่มเทกับการอยู่กับลูก ๆ อยู่กับคุณย่า แล้วก็ดูแลโรงเรียนแพทย์ หรือไม่ก็วิจัยเรื่องของทะเลสาบจิ้ง นี่ต่างหากคือเรื่องที่นางควรทำ
นางเอนกายแนบชิดเจ้าแฝด แล้วหลับตาลง เดิมทีนางไม่ได้ง่วงนอน บวกกับสมองมีความคิดมากมายที่ตีกันไม่หยุด แต่เมื่อได้ยินเสียงหายใจของเจ้าแฝด บวกกับเสียงหัวใจเต้นของเจ้าสองเสือ เป็นสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้ รู้สึกเหมือนว่าเรื่องราวที่ใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหากที่สำคัญที่สุด
นางถึงกับผล็อยหลับไปทั้งแบบนี้เลยจริง ๆ
นางเพิ่งผล็อยหลับไป เกิดเสียงหายใจสม่ำเสมอ เจ้าแฝดก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน
มือเล็ก ๆ ของพวกเขาถูกวางไว้บนหลังมือของหยวนชิงหลิงพร้อม ๆ กัน นิ้วมืออ้วนอวบกลมป้อม มองดูเหมือนรากบัวเล็ก ๆ พุ่มหนึ่งที่ซ้อนทับกันด้วยมือทั้งสามที่อยู่ด้วยกัน
เจ้าแฝดยิ้มแย้มขึ้นมา
การร้องไห้และหัวเราะเป็นเรื่องที่หาได้ยากสำหรับเจ้าแฝด และครั้งนี้ ก็ไม่มีใครได้เห็นอีกด้วย
อีกด้านหนึ่ง อะซี่ไปสำนักเหลิ่งหลังเพื่อสอบถามร่องรอยของฮุ่ยเทียน จึงรู้ว่าฮุ่ยเทียนไปที่ยอดเขาหมาป่าหิมะแล้ว
ยอดเขาหมาป่าหิมะตั้งอยู่นอกเมืองหลวง มีทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา แต่อากาศหนาวเย็นจนเสียดลึกถึงกระดูก อะซี่โกรธจนเดือดปุด ๆ “เขาไปทำอะไรที่ยอดเขาหมาป่าหิมะ?”
“ เขาบอกว่าเขาจะไปฝึกวรยุทธ์ เขาชอบฝึกวรยุทธ์ในที่ที่มีน้ำแข็งกับหิมะน่ะ ” คนของสำนักเหลิ่งหลังตอบอย่างรวดเร็ว
อะซี่กระทืบเท้าเร่า ๆ หันหลังกลับกระโดดขึ้นขี่ม้าพุ่งออกไปทันที
ขึ้นยอดเขาหมาป่าหิมะ นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่แค่ต้องใช้เวลานานพอสมควร
อะซี่ไม่กล้าหยุดพัก นางขี่ม้าตรงไปจนถึงยอดเขาหมาป่าหิมะกระทั่งถึงจุดที่ไม่สามารถขี่ม้าไปได้อีก นางจึงใช้วิชาตัวเบาขึ้นไป จนในที่สุดก็หาตัวฮุ่ยเทียนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางหิมะได้อย่างยากลำบาก นางเหนื่อยมากจนล้มลงไปนอนแผ่กับพื้น แล้วโยนคำพูดออกไปประโยคหนึ่งว่า “ฮูหยินเหยาตกอยู่ในอันตราย!”