บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1108 เจ้ากลัวอะไร
เล่นกับพวกเด็กๆสักพัก กลับมาถึงห้อง หยู่เหวินเห้าก็พูดถึงเรื่องต่อจากนี้อีก ให้หยวนชิงหลิงไม่ต้องยุ่ง ปิดประตูไม่รับแขก นอกจากภรรยาลูกพี่ลูกน้องที่ไปมาหาสู่กัน นอกนั้นไม่เจอได้ก็ไม่ต้องเจอ
เขาพูดห้ามไว้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะห้ามพบคนแปลกหน้า ต่อให้มาขอร้องให้รักษาถึงหน้าประตู ก็ห้ามเจอ ให้คนไปจ้างหมอมาก็พอ
เขามองดูหยวนชิงหลิงอย่างเป็นห่วง พร้อมพูดขึ้นว่า “หงเล่คนนี้เป็นคนชำนาญในการใช้อุบาย เขาหลบอยู่ในที่ลับ รู้นิสัยของพวกเราทุกคนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเจ้า เขาเคยตั้งใจศึกษาความคิดของเจ้า หงเย่เป็นคนบอกข้า ตอนนี้ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น กลัวเพียงเจ้าใจอ่อน แล้วหลงกลอุบายของเขา”
หยวนชิงหลิงทำได้เพียงรับปากเขา ว่าจะระมัดระวังตัว
“ทางด้านท่านย่า ข้าได้จัดคนคอยปกป้องคุ้มกันแล้ว หรือช่วงนี้นางสามารถอยู่ที่โรงเรียนแพทย์ก่อนระยะหนึ่ง ไม่ต้องกลับมา ให้หมาป่าเปาจื่อไปอยู่เป็นเพื่อนนาง” หยู่เหวินเห้าจัดการได้อย่างรอบคอบ จะเผชิญหน้ากับหงเล่ เขาก็จะต้องรับประกันความปลอดภัยของคนที่อยู่ข้างหลังทั้งหมดก่อน
หยวนชิงหลิงคิดไปคิดมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็ดี ให้นางอยู่ที่โรงเรียนแพทย์ระยะหนึ่ง ระหว่างทางไปมาจะได้ไม่ตกเป็นเป้า พรุ่งนี้ข้าจะพูดกับเปาจื่อให้เขาใช้หมาป่าเปาจื่อไปอยู่เป็นเพื่อนที่โรงเรียนแพทย์”
หยู่เหวินเห้าพยักหัว จ้องมองดูขอบตาที่ค่อนข้างดำของหยวนชิงหลิง พร้อมพูดขึ้นอย่างปวดร้าวว่า “ช่วงนี้มักจะทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงเป็นกังวล ไม่ได้อยู่อย่างสงบ ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง เจ้าก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวไม่ต้องถามอะไรแล้ว อยู่เป็นเพื่อนเลี้ยงดูลูก หรือให้ฮูหยินเหยามาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับเจ้า”
“ไม่ต้อง หากข้ามีเวลาว่าง มีอะไรเรื่องมากมายที่สามารถทำได้” หยวนชิงหลิงซบแนบอกของเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างสงบ
“งั้นก็ได้ ไม่ว่ายังไงพยายามที่จะไม่ออกไปก็พอ เดิมเจ้าเก้ากับหมันเอ๋อจะเดินทางกลับแล้ว แต่ข้าให้พวกเขารอก่อน มีหมันเอ๋อกับอะซี่อยู่กับเจ้า ก็ยังสามารถคลายความเบื่อได้”
หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้นมา พร้อมพูดว่า “ข้าไม่ได้คุณหนูขนาดนั้น เจ้าไม่ต้องจัดการอะไรเพื่อข้า เจ้าตั้งใจทำงานของเจ้าให้ดีก็พอ ข้าอยู่บ้านจะน่าเบื่อหรือ? ลูกหลายคนก็ทำให้ข้าอยู่มากแล้ว และข้าก็จะได้ใต้เท้าทังลองใช้ยา จะได้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว”
“งั้นดี” หยู่เหวินเห้าจูบนางหนึ่งที พร้อมพูดว่า “พักผ่อนกัน”
เช้าวันรุ่งขึ้นหยู่เหวินเห้าออกไปแต่เช้า หยวนชิงหลิงทานอาหารเช้ากับพวกลูกๆก่อน สมุดคัดลายมือของพวกลูกๆสักพัก ลายมือเปาจื่อค่อนข้างหวัด ลายมือทังหยวนเป็นตัวบรรจง แต่ละเส้นแต่ละขีดล้วนเป็นมาตรฐาน ข้าวเหนียวค่อนข้างอ่อน ตอนที่ตวัดสิ้นสุดการเขียน ค่อนข้างโผล่พรวดไม่แน่นอน เมื่อก่อนใต้เท้าทังก็เคยพูด ลายมือข้าวเหนียวค่อนข้างโผล่พรวดไม่แน่นอน ต้องถูกต้องเป็นระเบียบ
หยวนชิงหลิงคิดว่า ตอนที่เพิ่งเริ่มเขียนหนังสือ เขียนได้ดีหรือไม่ดีไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือต้องมีความตั้งใจ ข้าวเหนียวมีความตั้งใจอย่างมาก หยวนชิงหลิงพูดกับเขา เอาก็ทนตั้งใจฟังอย่างดี หลังจากฟังแล้วก็ตั้งใจเขียนอย่างมาก
ส่วนเปาจื่อนั้นให้เขาเขียนเป็นระเบียบหน่อย เขาก็โยนพู่กันทิ้ง ยักไหล่พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่เขียนแล้ว ไปเข้าห้องน้ำ”
เปาจื่อค่อนข้างมีความคิดเป็นของตนเอง ตอนนี้สามขวบแล้ว เรื่องมากมายล้วนต้องตัดสินใจเอง ไม่ชอบให้คนอื่นเข้าไปยุ่ง ตอนนี้แค่เสนอความคิดเห็นให้กับเขา ส่วนมากเขาจะไม่สนใจ
เขาจะต้องใช้วิธีอีกแบบหนึ่ง
ดังนั้น หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาเกียจคร้าน จึงหยิบไม้บรรทัดมา แล้วรอเขาอยู่หน้าประตู พร้อมพูดขึ้นว่า “จะเขียนหรือไม่เขียน?”
เปาจื่อหัวเราะเยาะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านตีไม่โดนข้าหรอก”
“จะลองดูไหม? แม่ก็โกรธเป็นนะ” หยวนชิงหลิงทำสีหน้าเคร่งขรึม
เปาจื่อมีความคิดเป็นของตนเอง แต่ก็มีความกตัญญูอยู่ ไม่กล้าไม่เชื่อฟังแม่ โดยเฉพาะเห็นแม่ถือไม้บรรทัด สิ่งของต่ำต้อยเพื่อมาขู่เขา ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ด้วยความเห็นใจและกตัญญู เขาจึงกลับไปนั่งเขียนต่ออย่างว่าง่าย
ทังหยวนว่าง่ายที่สุด นั่งยืดหลังตัวตรง ในขณะที่เปาจื่อเดือนร้อน เขาก็เขียนได้อีกยี่สิบตัว หยวนชิงหลิงเห็นแล้ว ก็อดไม่ได้ลูบหัวของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ทังหยวนว่าง่ายที่สุด”
เมื่อได้คำชื่นชม ทังหยวนยิ้มดีใจ ก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ ส่วนเปาจื่อแยกเขี้ยวให้กับเขา ทำให้หยวนชิงหลิงต้องเบิกตาดุใส่เขา เขาถึงค่อยสงบเสงี่ยม
หลังจากดูแลพวกเด็กๆเขียนหนังสือแล้ว นางกับอะซี่ก็ไปที่ห้องทังหยาง ตอนนี้คนที่คอยดูแลทังหยางคือหูหมิง หูหมิงปลาบปลื้มทังหยางอย่างมาก ตอนนี้ให้เขาไปดูแล เขาขยันและตั้งใจอย่างมาก ดูแลได้เป็นอย่างดี
ทังหยางยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างน่าเบื่อ พูดคุยกับเขาเขาแทบไม่สนใจ แต่หากถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขา เขาจะรีบตอบทันที
เหมือนกับตอนนี้ หยวนชิงหลิงถามเขาว่า “วันนี้ทานข้าวหรือยัง?”
“ทานแล้ว” ทังหยางรีบตอบทันที แต่สายตาจะไม่มองหยวนชิงหลิง เหมือนคนทั้งคนถูกควบคุมไว้
หยวนชิงหลิงตรวจดูชีพจรกับจังหวะการเต้นหัวใจของเขา ทุกอย่างปกติ จึงไม่ได้ให้ยา สั่งให้คนดูแลเป็นอย่างดีก็พอ
ในจวนยังมีทังหยางตัวปลอมอีกคนหนึ่ง จัดให้อยู่ไว้ในห้องเก็บฟืนของจวนอ๋อง เตียงที่สร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราว อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างสาหัส มีทหารจวนคอยเฝ้าอยู่ ให้เขาดื่มยาทุกวัน ล้างบาดแผล บาดแผลตรงนิ้วมือดีขึ้นบ้างแล้ว สามารถออกแรงได้บ้าง
เขาก็รู้ว่าตนเองถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้น ตอนที่หยวนชิงหลิงเข้ามาดูเขา เขามองหยวนชิงหลิงเพียงแวบเดียว ก็หันหน้าไปแล้ว
เก็บเขาไว้ เดิมคืออยากรอหลังจากที่เขาหายดีแล้ว ให้เขาเขียนหนังสือ ดูว่าจะสามารถรู้เบาะแสอะไรได้บ้าง ดังนั้นหลังจากที่หยวนชิงหลิงจัดยาให้เขาแล้ว ก็สั่งคนเฝ้าเขาไว้ให้ดี แล้วก็จากไป
ทางด้านอ๋องฉี ยังสอบสวนเรื่องที่โสวฝู่ถูกวางยาพิษ
คนในจวนต่างก็แอบคุยกัน ยังเหลือฉู่หมิงหยางที่ยังไม่ได้สอบสวน ดังนั้น วันนี้อ๋องฉีไปตั้งแต่ตอนกลางวัน เขาสอบสวนฉู่หมิงหยางด้วยตนเอง
สถานที่สอบสวน อยู่ในห้องหนังสือของโสวฝู่ เดิมที่สอบสวนคนในจวน ก็ล้วนสอบสวนภายในห้องหนังสือ
ภายในห้องหนังสือนี้ ปกติฉู่หมิงหยางไม่ค่อยได้มา โสวฝู่ไม่ชอบให้ใครเข้าไปในห้องหนังสือของเขา ตอนนี้ฉู่หมิงหยางยืนอยู่ที่นี่ ดูเหมือนเป็นการแก้แค้นอยากเยือกเย็นอย่างหนึ่ง ดึงหนังสือออกมาจากชั้นวางหลายเล่ม เปิดไปหนึ่งหน้าแล้วก็โยนทิ้งบนโต๊ะ โยนทิ้งอย่างไปเรื่อย จากนั้นก็พูดกับอ๋องฉีอย่างเย็นชาว่า “จะถามอะไร? รีบๆถาม ข้าไม่มีความอดทนที่จะอยู่กับเจ้า ไม่รู้ว่ากรมการพระนครของพวกเจ้ากินอะไรกัน มีคนร้ายก็ไม่จับ กลับมายื้อเวลาอยู่ที่นี่ ถามความไปเรื่อย มีอะไรน่าถามหรือ? จะถามก็ไปถามคนร้ายสิ”
อ๋องฉีมองดูนาง ก็ไม่โกรธ พร้อมถามขึ้นว่า “ไปถามคนร้าย? ใครคือคนร้าย?“
ฉู่หมิงหยางหัวเราะเยาะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังจะมีใคร?”
“ดังนั้น คือใคร?” อ๋องฉีดูเหมือนจะมีความอดทนอย่างมาก มองดูนางด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ฉู่หมิงหยางถากถางว่า “ถึงว่าตอนนี้ หยู่เหวินเห้าได้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว เจ้ากลับยังไม่ได้เป็นเจ้ากรมการพระนคร เจ้าไม่รู้จักมองการณ์ไกลหรือไม่มีความกล้าหาญกันแน่? ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า ทำไมตอนนั้นพี่สาวถึงได้ชอบเจ้า ในใจเจ้าไม่รู้เลยว่าคนร้ายคือใคร? เจ้าไม่กล้า เจ้าขี้ขลาด เจ้าอ่อนแอ เจ้ากลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินไท่ซ่างหวง กลังล่วงเกินอ๋องชินเฟิงอัน อย่างนั้นเจ้าจึงอาศัยการสอบสวนคนในจวนฉู่ เพื่อทำอย่างขอไปที”
ฉู่หมิงหยางดูถูกอ๋องฉีมาตลอด บางทีอาจจะเคยมีช่วงหนึ่ง เพราะเขาเป็นโอรสสืบสายเลือดโดยตรงของฮ่องเต้ จึงเคยให้เกียรติเขา แต่นางในตอนนั้น คิดว่าตระกูลฉู่มีอำนาจค้ำฟ้า สถานะของนางสูงส่งไม่แพ้เจ้าหญิง เพราะฉะนั้นการให้เกียรตินี้ เป็นเพียงแค่การไม่ดูถูกเท่านั้นเอง
แต่เมื่อเขาแต่งงานกับพี่สาว มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลับทำให้ฉู่หมิงหยาง เกิดความรู้สึกดูถูกดูหมิ่นเขา เป็นถึงโอรสสืบสายเลือดโดยตรง กลับไม่มีความกล้าหาญที่จะแย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ช่างขี้ขลาดโง่เขลาอย่างที่สุด
ภายในใจฉู่หมิงหยาง คนโง่เขลาคนแรกของราชวงศ์ตายไปแล้วนั่นก็คือหยู่เหวินจุน ต่อมาก็คืออ๋องฉีแล้ว