บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1118 มาถามโดยตรง
วุ่นวายกันจนดึกดื่น แน่นอนว่าวันหยุดก็ต้องไม่มีเหลือแล้วเป็นธรรมดา หลังจากจัดการกับเรื่องที่เหลือเสร็จ กลับไปถึงจวนฟ้าก็สว่างพอดี
หยู่เหวินเห้ารู้สึกผิดมาก พูดกับหยวนชิงหลิงว่า: “ตอนที่ออกมา ข้าก็พอจะรู้ในใจคร่าว ๆ แล้วล่ะ แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าถ้าพวกนั้นไม่ลงมือ พวกเราก็น่าจะได้ไปเที่ยวเล่นกันได้สักหนึ่งหรือสองวัน แต่สุดท้าย ก็เป็นแบบนั้นไปจนได้ ขอโทษนะ”
หยวนชิงหลิงมองเขา ฝืนยิ้มให้ด้วยใบหน้าขาวซีด “คนบ้า มาพูดขอโทษอะไรกัน? คืนที่เงียบสงบผ่อนคลายกลายเป็นการซุ่มโจมตี มันก็แค่กลับมาเป็นเหมือนปกติเท่านั้นเอง”
มือใหญ่ของหยู่เหวินเห้า ลูบไล้ใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา “ตกใจมากหรือ? สีหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย ที่คนพายเรือนั่นตีเจ้า ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ได้ตกใจด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ข้าไม่กลัวหรอก” หยวน ชิงหลิงจับมือเขา อันที่จริงหัวใจของนางยังคงเต้นแรง นางไม่กลัว แต่นางกังวล การลอบฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีมาติด ๆ กันแบบนี้ มันทำให้นางหวนนึกถึงความโหดร้ายในช่วงแรก ๆ ที่มาถึงเป่ยถัง
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดปลอบใจไปว่า: “วันเวลาแบบนี้ อีกไม่นานก็จะจบสิ้นลงแล้วล่ะ อย่ากังวลไปเลยนะ”
“อื้ม!” หยวนชิงหลิงพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก ที่จริงแล้วหัวของนางค่อนข้างเจ็บพอสมควร ทั้งภรรยาทั้งเจ้าของเรือต่างก็ทุ่มจนสุดกำลังทั้งคู่ ความเจ็บปวดของนางลามไปถึงหู ที่บัดนี้ยังคงส่งเสียงหึ่ง ๆ ไม่หยุด
“กลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูด
“เจ้าห้า!” หยวนชิงหลิงคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง “คนที่ชื่อตี๋จงเหลียงนั่นก็มาจากตระกูลตี๋เขาพูดถึงอ๋องสี่ก็หมายความว่าเป็นอ๋องอานไม่ผิดแน่สินะ? เป็นเขาจริง ๆ น่ะรึ?”
“ ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นเขา แต่ทุกอย่างยังต้องตรวจสอบอีกครั้ง ” หยู่เหวินเห้ามีวิธีการในใจแล้ว แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่ให้เจ้าหยวนเข้ามารับรู้เรื่องนี้มากเกินไป อันที่จริง วิธีการที่พี่สี่เคยใช้ปกป้องภรรยาของเขา นับว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว แค่แบกรับทุกอย่างที่อยู่ข้างนอกเอาไว้เองให้หมด ไม่ต้องให้ผู้หญิงที่บ้านรู้ เพื่อไม่ให้นางต้องมาเป็นห่วงเป็นกังวลแบบนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของเจ้าหยวนในคืนนี้ นางตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด เขาก็ยิ่งรู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านที่นางต้องอยู่กับเขาด้วยการเผชิญเรื่องอกสั่นขวัญแขวนอยู่เสมอ ไม่เคยได้ใช้วันเวลาที่สงบสุขเลย แม้ว่าตอนนี้จะไม่ถึงกับสามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในมือได้หมด แต่เขาก็มีกำลังมากพอที่จะใช้งัดกับพวกนั้นได้อย่างสูสีแล้ว ควรจะปกป้องนางให้ดี ดังนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าพี่สี่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเป็นคนบงการอยู่ภายในหรือไม่ เขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่พูดคุยรายละเอียดกับนาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้ลูกของพี่สี่เพิ่งจะคลอด เป็นนางเองที่ทำคลอดให้ด้วยตัวคนเดียว สำหรับเด็กคนนี้ นางย่อมมีความรู้สึกสงสารเห็นใจอยู่ไม่น้อย แม้ปากจะพูดว่าพี่สี่อย่างนั้นพี่สี่อย่างนี้ แต่ในใจนางก็หวังว่าพวกเขาจะดีกันได้จริง ๆ สักที
หลังจากส่งหยวนชิงหลิงกลับไปที่ห้อง เขาก็ออกไปทันที
เขายังไม่กลับไปกรมการพระนครก่อน แต่ไปที่จวนอ๋องอานแทน
ทุกวันนี้ไม่มีการระวังแหวกหญ้าให้งูตื่นอะไรทั้งนั้นแล้ว เพราะถึงอย่างไร ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็แพร่ระบาดออกไปเกินจะควบคุมแล้ว ก่อนตี๋จงเหลียงตายไม่ไม่มีการซัดทอดใคร แต่ดันซัดทอดชื่อเขาออกมาเต็ม ๆ
ตอนที่หยู่เหวินเห้ามาถึงจวนอ๋องอานนั้น อ๋องอานยังไม่ตื่น บ่าวในจวนดูแลให้เขาดื่มชารออยู่ในห้องโถงใหญ่ แล้วรีบไปรายงานอ๋องอาน
พระชายาอานก็ยังไม่ตื่นเช่นกัน ได้ยินว่ารัชทายาทมาหาแต่เช้าขนาดนี้ สีหน้าของนางก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย “เช้าขนาดนี้เชียว ? บอกหรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร?”
“ ทูลพระชายา รัชทายาทไม่ได้กล่าวอะไรเพคะ” สาวใช้ตอบ
อ๋องอานลุกขึ้นแต่งตัว หันหน้าไปยิ้มให้นางอย่างผ่อนคลาย “จะไปมีเรื่องอะไรได้? บางทีอาจจะแค่แวะมาทักทายเท่านั้นเอง”
พระชายาอานรู้ดีว่าถึงแม้เขากับรัชทายาทดูไปแล้วเหมือนจะดีกัน แต่กลับไม่ได้สนิทสนมกลมเกลียวกันขนาดนั้น มักมีความขุ่นเคืองใจแฝงเร้นอยู่เสมอ ไม่มีทางที่จู่ ๆ ก็จะมาทักทายเขาโดยไม่มีเหตุมีผลอย่างนี้แน่
แต่นางมีนิสัยเก็บน้ำขุ่นไว้ในมาโดยตลอด จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นก็รีบไปเร็วเข้าเถอะ”
อ๋องอานสวมเสื้อผ้าเสร็จ ก็โน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากของนาง “ไม่มีอะไรหรอก เจ้านอนพักอีกซักครู่เถอะนะ เมื่อคืนเราทั้งคู่ต่างก็ไม่ค่อยได้นอนกันดีนัก แม่หนูน้อยช่างร้องไห้เก่งเหลือเกินแล้ว”
เด็กถูกจัดวางไว้ในห้องถัดไป กลางคืนเอาแต่ร้องไห้จะกินนม ทั้งคู่ต่างก็ได้ยินมาว่า พ่อแม่มือใหม่ มักจะมีเรื่องให้กังวลใจอย่างคาดไม่ถึงอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่ลูกสาวร้องไห้ พวกเขาก็จะตื่นขึ้นมาดู จึงกลายเป็นเรื่องทรมานทรกรรมไม่ค่อยได้หลับได้นอนกันทั้งคืน
อ๋องอานหมุนตัวเดินออกไป เมื่อออกไปพ้นหน้าประตู สีหน้าของเขาก็หนักอึ้งจมดิ่ง
เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้าในห้องโถงใหญ่ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้วยสีหน้าราบเรียบ: “มาเช้าขนาดนี้เชียว?”
เมื่อเห็นท่าทางเขาดูเหน็ดเหนื่อยไร้เรี่ยวแรง หยู่เหวินเห้าจึงถามขึ้นว่า “เมื่อคืนนี้ไปเป็นขโมยที่ไหนอย่างนั้นรึ? จนเวลานี้แล้วยังไม่ยอมตื่นอีก”
อ๋องอานนั่งลงบนเก้าอี้ จ้องมองเขาแล้วยิ้ม “เจ้ามีลูกตั้งห้าคน กลางคืนยังหลับได้อีกรึ?”
หยู่เหวินเห้าก็จ้องเขากลับ “ทำไมถึงจะนอนไม่หลับล่ะ?”
“เด็ก ๆ ไม่ร้องไห้งอแงตอนกลางดึกหรอกรึ?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้าช้า ๆ “แทบจะไม่มีเสียงงอแงอะไรเลย”
อ๋องอานถอนหายใจ ทำท่าเหมือนกับว่ากำลังบ่น แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เจ้าว่า ทำไมลูกสาวข้าถึงเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดเลยล่ะ? ร้องไห้คืนละหลายครั้ง หิวก็ร้อง ฉี่ก็ร้อง แทบจะไม่มีโอกาสได้หลับได้นอนเลย เจ้าห้า เจ้ามีของวิเศษอะไรรึ? ขอแค่มันช่วยทำให้ข้าได้นอนหลับอย่างสงบสักคืนแค่นั้นก็ยังดี”
นานมากแล้วที่อ๋องอานไม่ได้พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ฟังดูสนิทสนมแบบนี้ ในดวงตาของเขามีความอ่อนล้าจนใจแฝงอยู่เบื้องหลัง ทั้งยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ตอนที่ค่อย ๆ ไล่สายตามองไปที่หยู่เหวินเห้าอย่างช้า ๆ รอยยิ้มก็แข็งค้าง เหลือเพียงความเศร้าเล็กน้อยในดวงตา
สายตาของเขา เหมือนกับหมาจรจัดแก่ ๆ ที่หิวโหยสุดขีด ซึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่บนถนน แม้ว่าเขาจะพยายามปกปิดอารมณ์นี้อย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังทำให้หยู่เหวินเห้ามองออกได้อย่างรวดเร็วอยู่ดี
“เด็ก ๆ น่ะ จะร้องไห้งอแงบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรสักวันก็ต้องโต”
หยู่เหวินเห้ากำลังถือถ้วยชาใบหนึ่งอยู่ในมือ หลังจากพูดประโยคนี้จบ ก็ค่อย ๆ วางมันลง “พี่สี่ ระหว่างพวกเราจะพูดจะคุยอะไรกัน ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมให้มากมายหรอก เมื่อคืนข้าถูกลอบโจมตี จับหนึ่งในนักฆ่าได้ มีชื่อว่าตี๋จงเหลียง ชื่อนี้เจ้าคงคุ้นเคยดีสินะ”
ประกายแสงและอารมณ์ในดวงตาของอ๋องอานค่อย ๆ หนักขึ้นจมดิ่งลงเรื่อย ๆ ฝืนเค้นรอยยิ้ม แต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงรอยยิ้มนั้นเลย “แน่นอนว่าต้องคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ดังนั้น เขาบอกว่าข้าเป็นผู้บงการ?”
“ ไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นผู้บงการ แต่บอกว่าต้องมีสักวัน ที่เจ้าจะฆ่าข้าอย่างแน่นอน ” หยู่เหวินเห้าตอบ
อ๋องอานหัวเราะเสียงดังลั่น แต่ดวงตากลับมีความโกรธเกรี้ยวสุดจะทน ความโกรธนั้นค่อย ๆ กลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในที่สุด “เจ้าเชื่อรึ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” มุมปากของหยู่เหวินเห้ายกโค้ง ดูเหมือนว่ากำลังยิ้ม แต่กลับมองไม่เห็นว่าเป็นรอยยิ้ม
“ถ้าข้าเป็นคนบงการ ตี๋จงเหลียงจะยอมขายข้าออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน? ” อ๋องอานถอนสายตากลับ มือทั้งสองข้างชะงักค้างอยู่ที่หัวเข่า เหมือนเป็นการเคลื่อนไหวหนึ่งที่ยังทำไม่สำเร็จ เกิดเป็นท่าทางงุ่มง่ามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หยู่เหวินเห้าตอบว่า: “ถูกต้อง แต่ที่แล้วมา ตี๋จงเหลียงเป็นคนตรงไปตรงมาตลอด ก่อนตายเขาพูดประโยคนี้ เป็นการชี้ไปที่เจ้าชัด ๆ ซึ่งเทียบเท่ากับการซัดทอดเจ้าออกมาตรง ๆ”
“ไม่มีทาง!” อ๋องอานเงยหน้าขึ้น เกร็งจนฝ่ามือหงิกงอ กล้ามเนื้อที่แก้มกระเพื่อมไปมา มีท่าทางดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยว “คนที่ซื่อตรงก็มีสิทธิ์ถูกใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน เวลานี้ตระกูลตี๋กำลังประสบปัญหาหนักหนาร้ายแรง แต่ข้ากลับนิ่งดูดายไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือ พวกเขาเกลียดชังข้า ทั้งยังเกลียดชังเจ้า จงใจโยนบาปเรื่องลอบโจมตีเจ้ามาใส่หัวข้า นี่ล่ะคือความจริง”
“พี่สี่ นี่ไม่ใช่ความจริง เจ้าเก็บซ่อนอะไรไว้กันแน่?” หยู่เหวินเห้าถามอย่างเย็นชา
“ไม่มี!” อ๋องอานยืนขึ้นกะทันหัน พูดอย่างโกรธเคืองว่า: “ถ้าเจ้าจะเชื่อก็เชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็นำตัวข้ากลับไปสอบสวนที่กรมการปกครอง นอกจากคำพูดประโยคนี้ประโยคเดียวของ ตี๋จงเหลียงก็ไม่มีหลักฐานอะไรอื่นที่ยืนยันได้ว่าข้าเป็นคนทำ”
พูดจบ ก็เดินออกไปอย่างเย็นชา!