บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1119 เป็นเจ้าหรือไม่
หยู่เหวินเห้าช้อนสายตาขึ้นมองอย่างสงสัย ปฏิกิริยาเช่นนี้ของพี่สี่ แทบจะยืนยันได้เลยว่ามันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาจริง ๆ
อันที่จริง ตอนที่ตี๋จงเหลียงซัดทอดชื่อของเจ้าสี่ เขาก็คลายความสงสัยแล้วว่าไม่ใช่เขา
มีคนต้องการดึงเขาออกมาเพื่อขัดขวางสถานการณ์ แต่จากปฏิกิริยาของเจ้าสี่ แท้จริงเขาต้องรู้เรื่องนี้ เพราะเมื่อเขาบอกไปว่าตี๋จงเหลียงตายแล้ว เขาไม่ได้มีท่าทางตกใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความเศร้าโศกให้เห็น ตี๋จงเหลียงเป็นน้าเล็กของเขา แต่คำพูดของเขาที่พูดถึงตี๋จงเหลียง กลับมีความเกลียดชัง
ดังนั้น เขาจะต้องรู้แน่
เขาสาวเท้าก้าวยาว ๆ ออกไป เข้าวังไปพบเน่ย์เก๋อ
เขามีคำสั่งเรียกเหลิ่งจิ้งเหยียนกับกู้ซือ เพื่อมาร่วมวิเคราะห์เรื่องนี้
เหลิ่งจิ้งเหยียนเคาะโต๊ะอย่างแผ่วเบา พลางหรี่ตาลงอย่างติดเป็นนิสัย “ความเป็นไปได้ที่อ๋องอานจะวางแผนเรื่องนี้มีไม่มาก ตอนนี้เขาเป็นแค่หงส์ปีกหัก เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะสู้กับรัชทายาทได้อีกต่อไป อีกทั้งกว่าจะกลับมาเมืองหลวงได้ก็ยากเย็น ถ้าคิดจะลงมือจริง ๆ ก็ไม่ควรทำในเวลานี้หรอก อย่าลืมนะว่าลูกสาวของเขาเพิ่งเกิด”
กู้ซือได้ยินคำพูดของเขา กลับแสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไป “เพียงเพราะเขาไม่มีกำลังหนุนที่แข็งแกร่งแล้ว จึงทำได้แค่ใช้ประโยชน์จากปัญหาที่วุ่นวายอยู่ตอนนี้ จับปลาในน้ำขุ่นฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน และมันประจวบเหมาะก็เพราะลูกสาวของเขาเพิ่งเกิดพอดี วัน ๆ เขาก็อยู่แต่กับภรรยาและลูกในจวนทุกวัน ยิ่งไม่ทำให้คนสงสัยเขาเข้าไปใหญ่ ข้าว่านะมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากันแน่ล่ะนี่? อ๋องอานคือใคร? พวกเจ้าลืมกันไปหมดแล้วรึ ? เมื่อไหร่ที่ความทะเยอทะยานของคนคนหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นจนสูงแล้ว มันไม่มีทางจะลดลงมาได้ง่าย ๆ หรอก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อว่าเขาจะกลายเป็นคนดีได้ ”
หยู่เหวินเห้าตั้งคำถามที่ร้ายแรงถึงชีวิตว่า “ถ้าเป็นเรื่องของการฉวยโอกาสช่วงชุลมุนจริง ทำไมกลับใช้แค่ ตี๋จงเหลียง ที่มีนิสัยประมาทเลินเล่อล่ะ? แม้ว่าตระกูลตี๋จะพูดได้ว่ามีความล้มเหลวในครอบครัว แต่ก็มีหลายคนที่มีความสามารถอยู่ไม่น้อย วางแผนลอบสังหารข้าเป็นเรื่องใหญ่มากขนาดนี้ ตี๋เว่ยหมิงจะไม่ลงสนามด้วยตัวเองเชียวรึ? ในเมื่อโอกาสแบบนี้หายากมาก ถ้าพลาดไป ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสได้เจออีก”
“พูดแบบนี้ก็มีเหตุผล” กู้ซือถึงกับอึ้งไปเลย หันไปมองเหลิ่งจิ้งเหยียน ถามว่า “ใต้เท้าเหลิ่ง เจ้าคิดว่าเป็นใครรึ?”
“ไม่ใช่อ๋องอาน ก็ต้องเป็นหงเล่แน่ ตอนนี้เรายังไม่ควรไปกังวลเรื่องที่ว่าใครเป็นคนทำ ตอนนี้เรามาถกกันเป็นการส่วนตัวเพื่อหาผลสรุปกันดีกว่า ว่าสุดท้ายแล้วอ๋องอานมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่” เหลิ่งจิ้งเหยียนเปิดประเด็น
กู้ซือหันไปมองหยู่เหวินเห้า ที่จริงแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะเชื่อเรื่องที่อ๋องอานจะสามารถฝึกจิตฝึกใจ ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีได้อยู่แล้ว เขามักจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า คนคนนี้จะต้องสร้างปัญหาวุ่นวายอะไรขึ้นมาแน่
หยู่เหวินเห้านั่งลงบนเก้าอี้จมอยู่กับการครุ่นคิด
ณ.จวนอ๋องอาน
หลังจากที่อ๋องอานสะบัดแขนเสื้อจากไป ก็กลับไปที่ห้อง ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวขุ่นเคืองนั้นหายไปทันทีที่เขาผ่านเข้าประตูห้องมา เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนและผ่อนคลาย พระชายาอานก็ลุกขึ้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เห็นเขามาพร้อมใบหน้าซีดขาว ทั้งยังเต็มไปด้วยความกังวล ” กลับมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ? ข้ายังคิดว่าจะให้ในครัวเตรียมอาหารเช้าให้รัชทายาทอยู่พอดีเลย ”
อ๋องอานโอบนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนเบา ๆ “เขามีธุระที่ต้องรีบไปทำน่ะ แค่แวะมาทักทายสารทุกข์สุกดิบ กับถามว่าแม่หนูน้อยเป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายหรือไม่”
พระชายาอานยิ้มแย้ม “ รัชทายาทช่างใส่ใจยิ่งนัก ”
แน่นอนว่านางไม่เชื่อ แต่เพราะชินกับมันมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางจะแสร้งทำเป็นเชื่อทุกอย่าง และจะไม่ถามอะไรต่อทั้งนั้น
แม่นมก็อุ้มแม่หนูน้อยเข้ามาด้วย อ๋องอานอุ้มนางด้วยมือข้างเดียว มองดูลูกสาวที่เบิกตากว้าง ดวงตากลมโตกลอกไปมาอย่างไร้เดียงสา ดูน่ารักน่าชังอย่างบอกไม่ถูก เขาถอนหายใจ “แม่หนูน้อย ใคร ๆ ก็ว่ากันว่าเด็กแรกเกิดจะนอนทั้งวันทั้งคืน แต่ตอนกลางคืนทำไมเจ้าถึงไม่นอนล่ะ? ตอนกลางคืนไม่นอน ตอนเช้ามาก็ตื่นเสียจนเช้าขนาดนี้ ช่างเคี่ยวกรำพ่อแม่เจ้าเหลือเกินแล้ว”
แม้จะพูดคำพูดแบบนี้ แต่ดวงตากลับเปี่ยมด้วยความรักและปีติ ราวกับว่าความหงุดหงิดทั้งหมดเมื่อครู่ล้วนสงบลงไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย
พระชายาอานหัวเราะพลางพูดว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกหนวกหู ตอนกลางคืนไปนอนที่ห้องข้างก็ได้”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้!” อ๋องอานนั่งลง ใช้นิ้วที่หยาบกร้านลูบหน้าผากของเด็กน้อยเบา ๆ “ต่อให้หนวกหูกว่านี้ก็ต้องทนให้ไหวสิ บางทีผ่านไปอีกสักสองสามคืน ก็คงจะชินแล้วล่ะ”
พระชายาอานยืนขึ้นแล้วจ้องเขานิ่ง ๆ ดวงตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเศร้าโศกกังวล นั่งนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดกับแม่นมว่า “เจ้าพาแม่หนูน้อยออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านอ๋อง”
แม่นมค้อมกายคำนับ ยื่นมือออกไปจะอุ้มเด็ก แต่อ๋องอานกลับรู้สึกยากจะตัดใจ ยังคงหยอกล้อลูกสาวเล่นพลางพูดว่า “มีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ พวกเรามีเรื่องอะไรที่พูดต่อหน้าคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
พระชายาอานยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้แม่นมกับสาวใช้ออกไปก่อน ปิดประตู แล้วนั่งลงตรงหน้าอ๋องอาน มองเขาแล้วพูดว่า “เดิมที ข้าก็คิดว่าจะแกล้งทำเป็นสับสนไม่รู้อะไร เจ้าบอกว่ารัชทายาทแค่แวะมาถามไถ่ว่าแม่หนูน้อยเลี้ยงง่ายหรือไม่ คำพูดนี้ข้าไม่เชื่อหรอกนะ หลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมา ข้าสามารถแกล้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ได้ เพราะไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ใหญ่โตแค่ไหน ก็ทำได้แค่ส่งผลให้ข้าถูกตัดหัว แต่ตอนนี้ข้าทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ข้าต้องคิดเผื่อลูกสาว ไม่อยากให้นางต้องถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย ข้าไม่อาจปล่อยให้นางต้องเป็นเหมือนจวิ้นจู่ทั้งสองของฮูหยินเหยาได้”
อ๋องอานไม่เงยหน้า นิ้วมือยังคงแตะอยู่ที่แก้มของลูกสาว แต่ร่างกายนิ่งค้างไป สีหน้าท่าทางก็แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง
“ท่านอ๋อง บอกข้ามาเถอะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” พระชายาอานจับมือเขา ร้องไห้พลางพูดอ้อนวอนขอร้อง
อ๋องอานค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ได้เห็นดวงตาที่สดใสของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอาบนองไปด้วยน้ำตา หัวใจก็พลันหดเกร็งขึ้นมาทันที ยื่นนิ้วออกไปเช็ดน้ำตาให้นาง สายตาจับจ้องอยู่นาน ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วพูดเบา ๆ ว่า: “น้าเล็กตายแล้ว ”
พระชายาอานตกใจมาก ถามเสียงเบาว่า “มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? ใครฆ่าเขา?”
“เขาพาคนไปลอบสังหารเจ้าห้า!” อ๋องอานยิ้มอย่างฝืดฝืน
พระชายาอานมองดูเขาอย่างตื่นตระหนก “เขาลอบสังหารรัชทายาท? เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ไม่รู้สิ รัชทายาทเป็นคนพูดแบบนี้เอง”
“แล้วทำไมเจ้าไม่ถามล่ะ?” พระชายาอานถามอย่างร้อนใจ ตี๋จงเหลียงลอบสังหารรัชทายาท เช่นนั้นรัชทายาทจะเข้าใจเจ้าสี่ผิดหรือไม่ล่ะนี่?
แววตาจนใจของอ๋องอานปรากฏขึ้น “เหยียนเอ๋อ เรื่องนี้ข้าไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ทั้งไม่อาจไปตรวจสอบ หรือกระทั่งจะถามไถ่อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น”
สีหน้าของพระชายาอานค่อย ๆ พังทลายลง ใช่สิ ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้แล้วทั้งนั้น แค่การอยู่ในเมืองหลวงต่อได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกินแล้ว ต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าว พอตอนนี้ก็มาเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นอีก เขาคือคนที่ต้องแบกรับความน่าสงสัยที่สุดในหมู่คนทั้งหมด ถ้าออกไปถามอะไรวุ่นวาย จะมีคนมากมายเท่าไหร่ที่คิดว่าเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด หรืออาจมองว่าเขารอจังหวะที่จะชิงลงมืออยู่ก็เป็นได้
“แล้วรัชทายาทเชื่อเจ้าหรือไม่?” พระชายาอานใจคอสับสน ทั้งตื่นตระหนกอย่างมาก มองดูเขา แล้วก็มองดูลูกสลับกันไปมา
อ๋องอานหน้านิ่วคิ้วขมวดมุ่น ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าไม่รู้ เวลานี้ในใจเขาคิดอะไรอยู่ ข้าไม่อาจคาดเดาได้อีกต่อไปแล้ว”
เขาอุ้มลูกไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็จับมือของพระชายาอานไว้ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ต่อให้เขาจะไม่เชื่อ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรข้าในตอนนี้ได้หรอก เพราะก่อนที่น้าเล็กจะตาย เขาบอกแค่ว่าวันหนึ่งข้าจะฆ่ารัชทายาท ไม่ได้บอกว่าข้าเป็นคนสั่ง ทั้งไม่มีหลักฐาน เขาใส่ความข้าไม่ได้ อย่างมากสุดพวกเราก็แค่เก็บของ แล้วกลับไปที่จวนเจียงเป่ยกัน”
“แต่ตอนนี้เราจะไปได้อย่างไรล่ะ? ลูกก็ยังเล็กแค่นี้เอง” พระชายาอานจิตใจร้อนรนจนสับสนไปหมด สิ่งสำคัญที่สุดคือถ้าตอนนี้พวกเขาจากไป นับจากนี้ต่อให้มีปากงอกเต็มตัว ก็คงไม่อาจแก้ตัวได้อีกต่อไปแล้ว
มีความสับสนในแววตาของอ๋องอาน แต่เขายังคงสงบนิ่ง พูดปลอบนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าบอกว่าอย่างมากสุดก็กลับไปที่จวนเจียงเป่ย ตอนนี้ยังไม่เกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด บางทีหยู่เหวินเห้าอาจไม่สงสัยข้าก็ได้ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่มาถามเองโดยตรงแบบนี้หรอก บางทีเขาอาจจะรู้อยู่ในใจแล้ว ว่ามีคนต้องการจะโยนบาปใส่ข้า”
“เป็นใครกันที่ทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้?” พระชายาอานพูดอย่างโกรธเคือง
อ๋องอานมองนาง เมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปาก กลับรีบกลืนมันลงไป กอดนางไว้ในอ้อมแขน “จะใครก็ช่าง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราทั้งนั้น พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก”
ขณะที่โอบกอดภรรยากับลูกสาว ในดวงตาของเขาก็ฉายแววโกรธจัด กัดฟันกรอดจนสั่นเทิ้ม