บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1121 ร่วมยินดีทั่วหล้า
แม่นมไปรายงานต่อโสวฝู่ด้วยตัวเอง บอกว่าลงโทษฉู่หมิงหยางเรียบร้อยแล้ว
โสวฝู่นิ่งงันอยู่นานถึงเงยหน้าขึ้นเอ่ย “สั่งคนไปรายงานที่จวนอ๋องฉู่ บอกว่านางตายแล้ว”
“เจ้าค่ะ!” ครั้นแล้วแม่นมก็ออกไป
โสวฝู่ค่อยๆ นั่งลงที่เก้าอี้นอน ก่อนจะเริ่มแผนการนี้ก็คิดแล้วว่านางต้องเกิดปัญหาที่นี่แน่ บัดนี้เวลานี้ก็อยู่ในความคาดหมายจริงๆ
คนรับใช้นำเซียวเหยากงเข้ามา เขาช้อนตาขึ้นมามองทีหนึ่ง แล้วก็หลับตาลงอีก ถอนหายใจเบา
เซียวเหยากงไล่คนรับใช้ออกไป ปิดประตูแล้วนั่งอยู่ข้างเขา ยื่นสุราให้กาหนึ่ง “แผนการสำเร็จแล้ว องครักษ์ลับผีสืบได้ว่ามีคนเซียนเปยน่าสงสัยมาเมืองหลวง จากรูปพรรณสันฐานน่าจะเป็นหงเล่ ตอนนี้มีคนคุมเข้มดูคนเข้าออก เส้นทางหลินเซียวทางนี้ก็ถูกองค์รัชทายาทตัดไปแล้ว ถึงท่านจะฟื้นขึ้นมาก็หาเป็นไรไม่ ข่าวไม่เล็ดลอดออกไปหรอก”
โสวฝู่ลืมตาขึ้นแล้วรับสุรามา มองเขาแต่ไม่ดื่ม “เจ้าสิบแปด เจ้าก็มีความสุขไหม?”
อยู่ๆก็ถูกเรียกชื่อเล่น เสียวเหยากงก็ไม่ใส่ใจ เขานั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น เอียงศีรษะฉงนใจ “ตั้งแต่ปลดระวางจากตำแหน่งโสวฝู่ก็มีความสุข หลายปีมานี้ไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก ปลูกดอกไม้เลี้ยงสัตว์ทุกวัน อยู่ตัวคนเดียวจะไม่มีความสุขได้ยังไง?”
“ควรปลดระวางตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกยังไม่ถึงเวลา” โสวฝู่ฉู่ดื่มสุราอึกหนึ่ง สุราที่เผ็ดร้อนไหลลงลำคอ “ตั้งแต่ข้ายังเด็กก็ใช้ชีวิตอยู่ในเงาคนอื่นทุกวัน ตอนนั้นเพื่อแผนการเป็นใหญ่ ตระกูลฉู่ต้องการสละชีวิตข้า เป็นหอจัยซิงที่ช่วยข้า แต่ตอนนั้นพวกเราอยากอยู่รอดปลอดภัยเป็นเรื่องลำบากเพียงใด? ตั้งแต่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดกระทั่งไขว่คว้าผลงานในสนามรบ อันตรายทุกฝีก้าว หลายครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ไม่มีเวลาชื่นมื่น ไม่มีเวลาผ่อนคลายสักนิด กว่าจะเข้าที่เข้าทาง เจ้ากับข้าตรากตรำในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้เฒ่าชรา มานั่งที่นี่หวนรำลึก…”
เขาชายนัยน์ตาหนักอึ้งขึ้นมองเซียวเหยากง “เจ้าสิบแปด ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่เคยอยู่เพื่อตัวเองสักวัน”
เซียวเหยากงรู้ว่าเขาลำบาก ตบหลังมือเขาเบาๆ “สหาย หลายปีมานี้ที่เป่ยถังเป็นปึกแผ่น ท่านก็ลงแรงไปไม่น้อย ราชวงศ์ไม่ลืมท่านหรอก ไพร่ฟ้าใต้หล้าก็ไม่ลืมท่านเหมือนกัน”
“ชีวิตนี้ ชื่อเสียงดีเลวอย่างละครึ่ง!” โสวฝู่สรุปครึ่งชีวิตหลังของตัวเอง “ข้าทำงานเหี้ยมโหด ขาดการควบคุมคนในตระกูล กับตระกูลฉู่ไพร่ฟ้าโกรธแค้นไม่กล้าเอ่ย บางครั้งข้าก็กลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะย้อนรอยตระกูลฉู่ในตอนนั้นอีก”
“ยังไงท่านก็ไม่ใช่ฉู่หวน” เซียวเหยากงโต้แย้ง “อย่าเพ้อเจ้อ ระหว่างทั้งสองมีเนื้อแท้ที่ต่างกัน ฉู่หวนเพ้อฝันต้องการชิงแผ่นดิน แต่ท่านพยายามรักษามันด้วยชีวิต จะเทียบกับเขาได้ยังไง? ตอนนี้คนในตระกูลฉู่ไม่มีคนโอหังจองหองอีก แสดงว่าท่านจัดการได้ดี”
“แต่ตระกูลฉู่ข้าก็ไร้คนมีความสามารถเช่นกัน!” โสวฝู่ฉู่ปวดใจกับเรื่องนี้
เซียวเหยากงจึงเอ่ย “แล้วยังไง? จนถึงรุ่นของท่าน ตระกูลฉู่เป็นที่เกรงขามมาหลายสิบปี ก็ควรพักได้แล้ว ยังจำตอนนั้นที่ท่านสั่งสอนท่านกั๋วกงซูฉ่างได้หรือไม่? ตั้งแต่เขาเสียไปตระกูลซูสามรุ่นก็ไม่มีใครรับราชการ ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น จำต้องอาศัยชื่อเสียงเก่าของบรรพบุรุษ ท่านดูสิ จนถึงตอนนี้คนตระกูลซูก็ยังปกติดี ร่ำรวยเป็นที่หนึ่ง เหตุใดท่านไม่เอาอย่างซูกั๋วกงบ้างเล่า?”
โสวฝู่มองเขา “อีกนัยหนึ่ง เจ้าก็คิดว่าข้าควรถอนตัวออกงั้นหรือ?”
“ก่อนเรื่องนี้ท่านก็ค่อยๆ ถอนตัวออกแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาททรงแข็งแรงมีกำลัง องค์รัชทายาทก็เป็นการเป็นงานแล้ว ท่านน่าจะถอนตัวอยู่อย่างสงบมีความสุขได้แล้ว อยู่กับเสี่ยวสี่เถอะ แต่งนางเข้ามา”
นั่นเป็นเรื่องที่โสวฝู่ฉู่ใฝ่ฝัน แต่เขากลับส่ายหน้า “ไม่ แบบนี้ดีแล้ว”
“ทำไมล่ะ?” เซียวเหยากงฉงนใจ “เพราะฮูหยินของท่านหรือ? แต่เพราะตอนนั้นท่านต้องการช่วยคนทั้งตระกูลนางจึงตกลงกัน” โสวฝู่ส่ายหน้า ทันใดนั้นเขาอยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ชาตินี้ข้าก็คิดถึงอยู่อย่างนี้ หากแต่งนางมาจริง ก็ใกล้ที่จะต้องจากนางไป ความสุขนี้ให้มันอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าได้ถืออยู่ในมือเลย” เซียวเหยากงไม่เข้าใจจริงๆ “นี่ไม่เหมือนนิสัยท่านเลย หลายสิบปีมานี้ เรื่องที่ท่านอยากทำล้วนออกโรงเอง และทำไมตอนนี้ถึงกังวลลังเลอย่างกับอิสตรีเล่า?”
แล้วยังอมพะนำคลุมเครืออีก ไม่เข้าใจเสียจริง
“ใครก็มีจุดอ่อน!” โสวฝู่กล่าว เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ไป เข้าวัง พี่จี๋เอ๋อร์รออยู่ในวังนานแล้ว เราน่าจะดื่มชากันด้วยสักกา”
เซียวเหยากงหัวเราะขึ้น “ใช่ ควรเข้าไปดื่มสักจอก พูดคุยเรื่องวันวาน จริงสิ ซื่อจื่อยังอยู่ในจวนของท่านหรือเปล่า? เขาดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
โสวฝูฉู่ “ยังอยู่ในจวน เห็นว่าดีขึ้นมากแล้ว หรือจะเรียกให้เขาเข้าวังด้วยกันล่ะ?”
“ก็ดี!” เซียวเหยากงเอ่ย
จวนฉู่ไปแจ้งข่าวที่จวนอ๋องฉู่ บอกว่าพระชายาองค์ชายใหญ่สิ้นแล้ว
หยู่เหวินเห้าไม่อยู่ อะซี่จึงบอกเรื่องนี้กับหยวนชิงหลิง เมื่อหยวนชิงหลิงได้ฟังแล้วก็ให้อะซี่ไล่คนผู้นั้นกลับไป หากทางโสวฝู่อธิบายเรื่องฉู่หมิงหยางได้ ก็จะทำให้ข้างนอกสงบ
เมื่อไล่อีกฝ่ายไปแล้ว อะซี่ก็นั่งกับนาง สบตากันทีหนึ่ง ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “ฉู่หมิงหยางตายแล้วจริงหรือ?”
“ใช่มั้ง ตระกูลฉู่คงไม่ถึงกับปกป้องนางหรอก” หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ดีใจเช่นกัน
หมันเอ๋อเดินเข้ามาจากด้านนอก นางได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน สีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
“หมันเอ๋อ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” เมื่ออะซี่เห็นนางเหม่อลอยก็ถาม
หมันเอ๋อนั่งลง ส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร แค่รู้สึกว่าคุณหนูรองไม่น่ามาถึงขั้นนี้เลย”
“เรื่องช้าเร็วเท่านั้น ถึงนางไม่วุ่นวายก็ต้องตายอยู่ดี” อะซี่รู้สึกสะใจ ไม่ใช่เพราะฉู่หมิงหยางชั่วช้าสามานย์อะไรมาก แต่เพราะนางเห็นแก่ตัวจนเทพเมินผีเกลียด เห็นแก่ตัวเฉยๆ ยังพอทำเนา แต่ยังกำเริบเสิบสานรังแกคนอื่นอีก
อย่างไรหมันเอ๋อก็รับใช้นางมา ต้องสำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน เหตุนี้จึงไม่อาจสะใจอย่างอะซี่ได้ กระทั่งยังเศร้าใจกับนางอยู่บ้าง
ดังนั้นอะซี่จึงเอ่ย “เจ้าจะเสียใจกับนางไม่ได้นะ ถึงนางเคยเป็นนายเจ้ามาก่อน แต่นางไม่ดีกับเจ้า ด่าทอทุบตี แถมยังไล่เจ้าออกไปจนเกือบอดตาย เจ้าจะจำแต่ที่ดีไม่จำที่ร้ายไม่ได้นะ เราไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก”
หมันเอ๋อมองอะซี่ แล้วมองหยวนชิงหลิงอีก พูดเสียงเบา “ข้าไม่ได้เสียใจกับนาง ข้าแค่รู้สึกว่ากะทันหันเท่านั้น”
“เรื่องนี้จะบอกฮูหยินเหยาสักหน่อยไหม?” อะซี่ถามหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ไม่ต้องเจาะจงบอกฮูหยินเหยาหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ฉู่หมิงหยางจะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับนาง”
“ก็จริง!” อะซี่พยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะพลางเอ่ยอีก “แต่ข้าไปบอกสักหน่อยเถอะ เรื่องน่าดีใจขนาดนี้ ฮูหยินเหยารู้แล้วต้องดีใจแน่ วันนั้นฉู่หมิงหยางเคยทำร้ายฮูหยินเหยา เรื่องตุ๊กตานั่นยังจำได้ไหม? นางชั่ว นั่นที่ช่วยหยู่เหวินจุนจะทำร้ายฮูหยินเหยา โชคดีที่ฮูหยินเหยาฉลาดปราดเปรื่องถึงไม่ถูกนางทำร้ายเอา”
เมื่ออะซี่พูดจบก็ออกไปอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
สำหรับอะซี่แล้ว คนเลวตายไปคนหนึ่ง ควรเป็นเรื่องที่คนใต้หล้าต้องร่วมฉลองด้วยกัน
หยวนชิงหลิงหัวเราะและไม่ได้ห้าม มองหมันเอ๋อ รู้ว่านางยังเศร้าใจอยู่บ้างจึงเอ่ย “หมันเอ๋อ อะซี่พูดถูก เจ้าไม่ต้องเสียใจกับนางหรอก ความดีน้อยนิดที่นางทำกับเจ้าหักล้างกับเศษเสี้ยวเรื่องร้ายที่นางทำกับเจ้าไม่ได้หรอก ทำอะไรในใจต้องมีความพอดี”
หมันเอ๋อพยักหน้า นางรู้ว่าที่พระชายารัชทายาทพูดเช่นนี้เพราะกลัวว่าต่อไปนางกลับหนานเจียงทำงานแล้วจะใจอ่อน