บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1131 เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เมื่อลงหมากไปได้ราวๆ ครึ่งหนึ่งแล้ว มู่หรูกงกงก็เข้ามากล่าวว่า “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทอ๋องอานมาถึงแล้ว ให้เข้ามาในพระตำหนักเลยไหม?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนผลักหมากที่กำลังจะแพ้ออก ก่อนจะยื่นมือออกไปชี้หยู่เหวินเห้า “เจ้าเนี่ย ยอมข้าหน่อยไม่ได้เลยนะ”
หยู่เหวินเห้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยืนขึ้นมาประคอง ในเมื่อป่วยแล้ว ก็มักจะมีท่าทีเจ็บป่วย “ถ้าเกิดแพ้หมากนี้แล้ว เดี๋ยวก็ต้องมีตาใหม่อีก ทำไมต้องให้ยอมอ่อนข้อด้วยเล่า?เสด็จพ่อยอมอ่อนข้อให้ลูกแล้ว แต่จริงๆ มันไม่จำเป็นเลย ถ้าเกิดลูกแพ้แล้ว เดี๋ยวก็ต้องฝึกทักษะหมากรุกขั้นสูง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขาเล็กน้อย “มองเรื่องบางอย่างอย่างซื่อตรงเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่”
เขานอนอยู่บนเตียงมังกร ก่อนจะพูดกับมู่หรูกงกง “บอกให้เขาเข้ามาในตำหนักเถอะ”
หยู่เหวินเห้าถาม “ลูกต้องออกไปไหม?”
“ไม่ต้องหรอก อยู่ฟังว่าเขาจะพูดอะไรเถอะ” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูด
หยู่เหวินเห้ายืนตรงอยู่ข้างเตียง ในมือก็ถือถ้วยยาอยู่ มีท่าทีที่กำลังจะให้ดื่มยาอย่างเห็นได้ชัด
ขณะนี้อ๋องอานเข้ามาในพระตำหนัก จากที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เข้าเฝ้า การจะให้เสด็จพ่อยินดีที่จะพบเขา จะต้องยากมากแน่ๆ คงจะให้เขาคุกเข่าอยู่ข้างนอกยามสองยาม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเขาง่ายขนาดนี้
ในใจเขานั้นกลับไม่ซื่อเท่าไหร่ เสด็จพ่อบอกให้เขาคุกเข่า มันหมายความว่ายังมีความโกรธอยู่ในใจ โกรธแต่ก็ยังมีความเมตตาในใจ ในวันนี้แม้แต่ความโกรธก็ไม่มีท่าทีจะยินยอมแล้ว
เมื่อเข้ามาอยู่ในตำหนัก ก็เห็นหยู่เหวินเห้ายืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ เขารู้สึกพูดไม่ออกอยู่ในใจ พ่อลูกกตัญญู มันเป็นฉากแบบนี้นี่เอง
เขาอยากให้พ่อมอบความรักให้มาตลอด แต่ว่า จะบอกว่าความรักจากพ่อมันก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ เขาอยากได้ความรักจากจักรพรรดิต่างหาก แต่เมื่อมาถึงในวันนี้ เขาเองก็เป็นพ่อคนแล้ว ถึงได้คิดว่าตอนที่เสด็จพ่อป่วย ได้มาปรนนิบัติอยู่ข้างเตียง ก็ถือเป็นสิ่งที่ลูกชายควรทำ
เมื่อเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้แล้ว เขาก็คุกเข่าลง “ลูกทรพีคนนี้มาเข้าพบเสด็จพ่อ ขอให้เสด็จพ่อสุขภาพแข็งแรง อายุยืนนาน!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขา ประกายในแววตาก็หายไป สุดท้ายก็พูดออกมาเบาๆ “ลุกขึ้นมาเถอะ”
อ๋องอานกลับไม่ลุกขึ้นมา ถึงขนาดที่ไม่ได้เงยหัวขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะพูด “ที่ลูกมาวันนี้ ก็เพื่อขอให้เสด็จพ่อยอมให้ลูกกลับไปที่จวนเจียงเป่ย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพอจะเดาได้อยู่แล้ว เลยไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงแค่มองเขา “ถ้าเจ้าจะกลับก็กลับไปเถอะ จะออกไปเมื่อไหร่ ก็ให้คนมาบอกก็พอ”
“ลูกอยากจะออกเดินทางพรุ่งนี้!” อ๋องอานพูดเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วรีบมองฮ่องเต้หมิงหยวน พลางผลุบตาลงอีกครั้ง
ฮ่องเต้หมิงหยวนเงียบไปสักพัก ก่อนจะมองเขาอยู่สักพัก แล้วแววตาเย็นยะเยือกก็ทำให้ในใจของอ๋องอานปวดแปลบขึ้นมา ราวกับมีหมองมาบังบริเวณดวงตา ความเจ็บปวดนั้นมันดันขึ้นมาบริเวณจมูก
เสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนมีความเหนื่อยอ่อน “อือ ไปเถอะ”
อ๋องอานเอาหัวตัวเองโขกดัง “โป๊กๆ” ถึงเก้าครั้ง จนทำให้หัวแดงขึ้นมา เหมือนกับความแดงภายใต้ดวงตา “ลูกมันไม่ดี ลูก……ขอล่ำลาก่อนล่ะ!”
เขาลุกขึ้นมา ก่อนจะเอาก้มหัวถอยเดินออกไปถึงบริเวณทางออก ถึงจะรีบหันตัวเดินออกไป
ตอนที่หันตัวในตอนนั้นเอง ก็รีบมองฮ่องเต้หมิงหยวน แววตานั้นมันแดงเป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆ หลับตาลง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด “ไปก็ดีเหมือนกัน”
หยู่เหวินเห้าก่อนจะมองออกไปด้านนอกอย่างหนักใจ พลางพูด “ลูกเองก็ขอตัวก่อนล่ะ”
“ไปเถอะ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนยกมือขึ้น
หยู่เหวินเห้ายกมือขึ้นคำนับ ก่อนจะรีบออกไป
เมื่อเดินออกจากตำหนักไป เขาก็รีบตามไป แล้วขวางอ๋องอาน
อ๋องอานดวงตาแดงก่ำ พลางมองเขา “มีเรื่องอะไร?”
“จะไปจริงๆ เหรอ?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องอานพูดเสียดสี “ข้าไปแล้ว เจ้าไม่ดีใจเหรอ?แล้วก็จะไม่มีใครเอาเจ้ากับข้ามาเปรียบเทียบกันแล้ว แล้วก็จะไม่มีใครมารู้สึกขอบคุณกับการส่งยาของข้าแล้ว รอให้เรื่องนี้ค่อยๆ จางหายไป ชื่อเสียงเลื่องลือของเจ้าก็จะกลับมาอีกครั้ง แล้วก็จะมีคนมาชื่นชมความสามารถของรัชทายาทอย่างเจ้า”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นเบาๆ “นั่นมันก็ดี แต่ก็ต้องระวังให้ดีนะ ถ้าไปจวนเจียงเป่ย ระยะทางไกลมาก ท่านพี่สี่ลำบากเพราะครอบครัวแบบนั้น อย่าได้เกิดอะไรขึ้นระหว่างทางล่ะ”
อ๋องอานมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะดึงขอเสื้อของเขาเอาไว้ “หยู่เหวินเห้าเจ้าพูดอะไรน่ะ?เจ้ากล้ามาหาเรื่องข้าแบบนี้ได้อย่างไร”
หยู่เหวินเห้าดึงมือของเขาออก ก่อนจะจับแขนเสื้อ แววตามีความเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านพี่สี่เข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าแค่อยากจะกำชับสักหน่อย อย่าเข้าใจเป็นอื่นไป”
อ๋องอานมีสีหน้าคลั่ง ก่อนจะเตือนออกมาด้วยความโกรธ “หยู่เหวินเห้า เจ้าอย่ามาเล่นแง่อะไรกับข้าจะดีกว่า ถ้าเกิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง ข้าจะทำให้เจ้าต้องจบชีวิตไปด้วยกัน”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อหัวเราะจบ ก็หุบยิ้ม แล้วพูดด้วยอย่างล้ำลึก “งั้นเหรอ?งั้นข้าจะรอนะ”
เมื่อพูดจบ หยู่เหวินเห้าก็สาวเท้าเดินออกไป
อ๋องอานโกรธจนเส้นเลือดปูด ก่อนจะพูดพลางกัดฟันว่า “หยู่เหวินเห้า เจ้าอย่ามาแตะจุดเดือดของข้าเลยดีกว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงข้าจะกลับไปครองไม่ได้ แต่การฆ่าเจ้านั้นไม่ได้ยากเลย”
“รอดูเถอะ!” เสียงของหยู่เหวินเห้านั้นดังมาจากที่ห่างไกล แต่กลับมีความเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก
อ๋องอานกำมือ ด้วยความกลัวหรือโกรธก็ไม่รู้ ใบหน้านั้นมีเส้นเลือดปูด จนอยากจะฆ่าเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
เมื่อหยู่เหวินเห้ากลับไปที่จวนแล้ว ก็ได้ยินสวีอีพูดด้วยความไม่พอใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าทังหยางจะเป็นคนแบบนี้ ตอนแรกข้ายังสงสารที่ถูกไล่ออกไปแบบนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าเมื่อเขาออกไปด้านนอกแล้ว จะเอาจวนอ๋องไปพูดเสียหายๆ แถมยังด่าพระองค์เจ้า เขานี่ร้ายกาจจริงๆ เลย พระองค์ ให้ข้าไปสั่งสอนเขาสักหน่อยเถอะ”
แม่นมฉีฟังอยู่ข้างๆ ตอนที่จะบอกว่าไม่ต้องไปสนใจเขาแล้ว กลับได้ยินหยู่เหวินเห้า “โอเค เจ้าไปสั่งสอนเขาหน่อยเถอะ ให้เขาจำไปทั้งชีวิตเลย ว่าเก็บปากไว้ให้เงียบจะดีกว่า”
สวีอีหันตัวเดินจากไป
แม่นมฉีมองหยู่เหวินเห้า ก่อนจะถอนหายใจออกอย่างหนักใจ “พระองค์ แม้ใต้เท้าทังจะมีความใจร้ายใจดำไปบ้าง แต่อันที่จริงตอนนั้นท่านก็ไม่ควรโบยเขาแบบนั้น เขาอยู่กับท่านมาตั้งหลายปี ติดตามรับใช้เพื่อท่านมามากมายจะไม่มีความดีเลยเหรอ?เรื่องนั้น คนที่ผิดไม่ใช่เขา เขาเองก็ถูกทำให้หลงผิดเหมือนกัน ท่านจะไม่ยอมใจกว้างต่อเขาหน่อยเหรอ?”
แม่นมฉีกับทังหยางนั้นปรนนิบัติหยู่เหวินเห้าตอนที่จวนนี้สร้างขึ้นทั้งนั้น แล้วก็เป็นคนเก่าแก่ของจวน ทำเรื่องอะไรมากมายกับทังหยางเพื่อจวนอ๋อง แต่กลับจากเขาไปในตอนที่องค์รัชทายาทถูกฝ่าบาทลงโทษ มาในวันนี้เพราะเรื่องของแม่นางนั่น กลับไม่สนใจช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่มีให้กัน แม่นมฉีนั้นรู้สึกหนาวเหน็บภายในใจเป็นอย่างมาก
แม่นมสี่ยกถาดมา เมื่อได้ยินคำนี้ ก็พูดออกไป “แม่นมฉี พระองค์ทำแบบนี้ มันจะต้องมีเหตุผลของพระองค์แน่นอน เจ้าก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อไปแล้วล่ะ”
แม่นมฉีพูดด้วยความโศก “ไม่พูดได้อย่างไร?ใต้เท้าทังทำอย่างไรกับรัชทายาท คนในจวนนั้นต่างรู้ดี ข้าน้อยเองก็ได้รับความโอบอ้อมจากใต้เท้าทัง หลายปีมานี้ ใต้เท้าทังสงสารแม่หม้ายและหลานของพวกเรา มาในวันนี้ถ้าเกิดข้าน้อยไม่พูดอะไรเพื่อเขา แล้วจะมองหน้าเขาติดอีกได้อย่างไร?”
หยู่เหวินเห้าพูดเบาๆ “แม่นมฉี เจ้าสนใจเพียงเรื่องภายในก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นไม่ต้องสนใจ”
เมื่อพูดจบ ก็เดินเข้าไปในตำหนักเซี่ยวเยว่
แม่นมฉีน้ำตาตกด้วยความผิดหวัง มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?รัชทายาทเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไม่สนใจแม้แต่ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน รัชทายาทมีวันนี้ได้ ใต้เท้าทังก็มีส่วนช่วยด้วย
“เอาล่ะ ไม่ต้องห่วงทังหยางไป เขาก็มีชีวิตของเขาน่ะ”
แม่นมฉีถอนหายใจไปตามๆ กัน “เอาล่ะ ถึงอย่างไรเราก็เป็นคนปรนนิบัติรับใช้ ทำหน้าที่ตนเองให้ดี ส่วนเรื่องของนายนั้นจะพูดอะไรได้มากมายงั้นเหรอ?”
เมื่อพูดออกไป มันกลับเต็มไปด้วยความบ่นอุบ