บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1134 คนที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
พระชายาซุนมองนางอย่างนิ่งๆ ก่อนจะตาแดงก่ำ “เจ้าอย่าพูดแบบนี้เลย ในใจข้ามันเจ็บปวด”
“ทำไมกันแน่?” หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาซุนยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าจะรู้ได้อย่างไร?เพียงแต่มีวันหนึ่งท่านพี่รองพูดขึ้นมา จากนี้จะทำเหมือนที่ทำกับพวกเจ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว จะต้องรักษากฎเกณฑ์ในราชวัง ไม่อย่างนั้นเมื่อเจ้าห้าประจำบัลลังก์แล้ว เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในใจพวกข้า แล้วจะ……”
“จากนั้นจะทำลายความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์งั้นเหรอ?” หยวนชิงหลิงโกรธแล้วจริงๆ “เจ้าเจ็ดเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?คำพูดของท่านพี่รองนั้นทำให้จับจุดไม่ได้จริงๆ บอกว่าเขานั้นมีความคิดอะไรในใจก็หมายความว่าต้องการตำแหน่งราชวงศ์งั้นเหรอ?เขานี่อวดดีจริงๆ เลยนะ”
พระชายาซุนมองเขาอย่างตะลึง “คำพูดของเจ้า……มันเป็นเรื่องจริง ตอนแรกข้าเองก็คิดว่าเขาพูดไร้สาระไปหน่อย ชีวิตนี้นอกจากกินก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ไม่มีใครคิดว่าเขาจะต้องการตำแหน่งราชวงศ์เหรอ?วันนี้มาทำงานที่ศาสหงหรู น่าจะให้ลูกน้องทำงานแทน แล้วสุดท้ายตัวเองก็ไปมีความสุข มันเป็นเหมือนการว่างงานเลยด้วยซ้ำ”
“ทำไมจู่ๆ เขาถึงพูดแบบนั้น?” หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาซุนยังไม่ทันตอบ ก็ได้ยินว่าหยวนหย่งอี้กับอะซี่มาแล้ว เพียงไม่นาน แม่นมฝูเอ๋อพาพวกพี่น้องเข้ามา หยวนหย่งอี้ร้อนใจ เลยไม่ได้แต่งหน้าแต่งตาเลย บนเสื้อผ้ายังมีร่องรอยความสกปรกอยู่เลย
อะซี่พูดให้นางได้เข้าใจแล้ว นางรู้ว่าเจ้าเจ็ดพูดคำเหล่านั้นกับรัชทายาทแล้ว เลยโกรธในใจ จึงได้รีบเข้ามาหา เพิ่งจะนั่งลงยังไม่ทันได้ถามอะไร ก็พูดขึ้น “ช่วงนี้เจ้าเจ็ดทำผิดไปแล้ว ราวกับเป็นบ้าไป หลังจากที่ไปดื่มกับซื่อจื่อแล้ว จะได้หรือเสียก็ไม่ดีใจทั้งนั้น เลยบอกว่าจะพยายามเลี่ยงเล่เหลี่ยมของรัชทายาทสักหน่อย จากนี้ก็ทำอะไรอย่างระวังขึ้นหน่อย โดยไม่สนใจความสัมพันธ์พี่น้องแล้วด้วย”
หยวนหย่งอี้พูดแบบนี้ พระชายาซุนเองก็ร้องออกมา “เจ้าเจ็ดเองก็ดื่มกับซื่อจื่องั้นเหรอ?ช่วงนี้ท่านพี่รองของเจ้าดื่มกับซื่อจื่อตลอด เมื่อดื่มกลับมาก็แปลกๆ ไป ไม่รู้ว่าซื่อจื่อพูดอะไรกับพวกเขาบ้าง?”
อ๋องผิงหนานงั้นเหรอ?หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วแน่น อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจออ๋องผิงหนาน ก็คิดว่าคนคนนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่ แม้จะทำท่าทีมีมารยาทแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกสนิทสนมเลยแม้แต่น้อย
ว่ากันว่า ที่ในที่ปิดลับนั้น อ๋องผิงหนานเองก็มีท่าทีแบบนี้ เรื่องส่วนมากนั้นซื่อจื่อเป็นคนจัดการ เขาเลยแสดงความสัมพันธ์อย่างแข็งแกร่งออกมา แต่หลังจากที่มาที่พระนครแล้ว แต่กลับไม่เห็นความคืบหน้าเท่าไหร่ เลยไปดื่มเหล้ากับเจ้าเจ็ดกับท่านพี่รองด้วยตัวเอง แม้จะไม่รู้ว่าพูดอะไรกับพวกเขา แต่เมื่อดื่มกลับมาแล้ว ท่าทีของทั้งสองก็เปลี่ยนไป มันทำให้อดสงสัยไม่ได้เลย
เหล่าสะใภ้พูดคุยกันเล็กน้อย เมื่อฟ้ามืดแล้ว หยวนชิงหลิงก็กลับไป
หลังจากที่กลับไปก็บอกหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าเลยมาเชิญพวกเขาทั้งสองมาที่จวน แถมยังเรียกอ๋องหวยมาด้วย เพราะไม่รู้ว่าอ๋องผิงหนานเคยไปหาอ๋องหวยหรือเปล่า หยู่เหวินเห้าคิดว่า ถ้าเกิดมีช่องว่างระหว่างพี่น้อง ก็ควรจะนั่งลงคุยกัน และอธิบายให้ชัดเจน
ทางอ๋องหวยนั้นมีหรงเยว่มาเป็นเพื่อนด้วย สองสามีภรรยานั้นมาถึงก่อน เลยถาม เมื่อพบว่าอ๋องผิงหนานเองก็เชิญอ๋องหวยด้วย หรงเยว่เลยตึงเครียด ดื่มเหล้านั้นดื่มได้ แต่ยังต้องสงสัยจวนอ๋อง หรงเยว่นั้นยิ่งหวาดระแวงในสามีมากกว่าอีก ร่างกายของสามีของนางนั้นไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ถ้าเกิดดื่มมากเกินไปมันจะไม่ดีต่อร่างกาย มีกฎของตระกลูนี้อยู่ อ๋องผิงหนานกลับไม่มา ดังนั้น อ๋องหวยเลยไม่เคยได้สัมผัสกับอ๋องผิงหนานตัวต่อตัวเลย
พี่น้องทั้งสี่นั้นดื่มอยู่ในเรือนด้านข้าง หยู่เหวินเห้าพูดตรงไปตรงมา เลยขอโทษอ๋องซุนก่อน “ท่านพี่รอง ครั้งก่อนที่ไปหาเจ้า เจ้าคงจะอยากให้ข้ากินข้าวด้วยก่อน แต่ในตอนนี้ในใจของข้าร้อนรนยิ่งนัก เลยไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเจ้า เจ้าอย่าโกรธข้าเลย ข้าดื่มให้เจ้าแก้วหนึ่ง แล้วปล่อยเรื่องนี้ไป ได้ไหม?”
อ๋องซุนค่อยๆ ถือถ้วยเหล้าขึ้นมา ก่อนจะจ้องอ๋องฉีตาเบิกโพลง ไอ้ปากมากนี่!
เขาดื่มเหล้านี้แล้ว แต่ยังมีความระแวงไม่น้อย
หยู่เหวินเห้ามองพวกเขาเล็กน้อย นอกจากน้องหกที่เป็นตัวเองแล้ว อีกสองคนก็เหมือนจะมีเรื่องอะไรในใจ หยู่เหวินเห้าเลยพูดขึ้นว่า “เอาละ มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรก็พูดมาเถอะ ท่านพี่รอง เจ้าเจ็ด ทำไมจู่ๆ พวกเจ้าถึงได้ตีตัวออกห่างจากข้า?”
“ไม่มีอะไร เจ้าอย่าไปฟังคำบ้าๆ ของเจ้าเจ็ด!” อ๋องซุนรีบอธิบาย จากนั้นก็หันกลับไปมอง “ทำไมอาหารยังไม่มาอีก?”
“คุยให้จบก่อนเดี๋ยวอาหารถึงจะมา คืนนี้ยายหยวนให้แม่นมสี่ทำอาหารเองเลยนะ เตรียมอาหารอร่อยๆ มากมายให้พวกเจ้า คุยกันเสร็จแล้วค่อยกิน ถ้ายังคุยไม่จบก็ดื่มต่อไป” หยู่เหวินเห้าพูด
อ๋องซุนวางแก้วเหล้าลง ก่อนจะมองเขา “ท่านพี่รองไม่ได้ออกห่างเจ้า เพียงแค่คิดว่าบางทีก็ต้องรักษากฎนี้เอาไว้ ไม่รักษากฎในวันนี้ หรือว่าจะรอให้เจ้าเข้ารับตำแหน่งก่อนค่อยรักษากฎงั้นเหรอ?”
หยู่เหวินเห้ามีน้ำโห “กฎอะไรกัน?ขึ้นนั่งบัลลังก์อะไรงั้นเหรอ?วันนี้เสด็จพ่อแข็งแรงดี ข้าน่าจะตายก่อนเขาด้วยซ้ำ”
“เจ้าพูดบ้าอะไรกัน?” อ๋องซุนตบลงเต็มแรง ก่อนจะจ้องเขา “ไม่รู้จักโชคร้ายงั้นเหรอ?พูดอะไรบ้าๆ”
หยู่เหวินเห้าหลบได้ “ไม่ใช่งั้นเหรอ?พี่จะตายก่อนเสด็จพ่อไม่ใช่เหรอ?ทำไมพวกเจ้าโกรธข้าขนาดนี้ ข้าโกรธอยู่ทุกวัน จะอยู่นานได้อย่างไร?”
เมื่อพูดออกไปในลมหายใจเดียวแล้ว เหล่าพี่น้องก็ทำได้เพียงคุยกันดีๆ แล้ว
หยู่เหวินเห้าเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้อ๋องผิงหนานเชิญพวกเขาออกมาดื่มแยกกัน แถมมีสองสามครั้งที่ดื่มวันเดียวกันด้วย ก็คือการเชิญอ๋องซุนก่อน พอเย็นหน่อยก็ดื่มกับเจ้าเจ็ดอีก คำที่พูดนั้นก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ ในวันนี้ตัวเองมีคนที่รัชทายาทจัดมาในจวนอ๋อง สิ่งที่พวกเขาคุยกันในจวนต้องถูกรายงานต่อหน้ารัชทายาทอีกด้วย
นอกจากนี้ที่อ๋องผิงหนานยกตัวอย่างการแก่งแย่งตำแหน่งกัน มีเพียงแค่ตอนเริ่มแรก ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากพระมหากษัตริย์และรัฐมนตรี เพื่อให้คนได้อธิบายความสงสัย แล้วก็ให้พวกเขาอย่าได้เอาแต่ใจมาก เรื่องสำคัญก็สามารถจัดการให้ลูกน้องไปทำได้ ส่วนตัวเองก็ทำเรื่องที่ไม่สำคัญใดๆ ดังนั้นอ๋องฉีที่ถือว่ามีความสามารถค่อนข้างเก่งกาจในกรมการพระนคร จู่ๆ ในวันนี้ได้แต่ดูแลเรื่องเล็กๆ และต้องทิ้งงานไปเพื่อตี๋จงเหลียงไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
หยู่เหวินเห้าได้ฟังแล้วก็โกรธ “เขาพูดแบบนี้ พวกเจ้าก็เชื่อแล้วเหรอ?”
อ๋องฉีพูดเบาๆ “ดื่มเหล้ามากไปแล้ว บวกกับสิ่งที่คุยกันไปหลายครั้งก่อน ทำให้เกิดความกังวลและกลัวในใจ ในวันนี้ไม่เทียบเท่ากับตอนที่มีตัวคนเดียวเลย นี่ไม่ใช่ว่ามีพระชายา มีพี่สาวแล้วด้วยเหรอ เลยต้องคิดเผื่อพวกนางด้วยสักหน่อย”
อ๋องซุนคิดแบบเดียวกัน เขาก็ไม่มีเจตนาจะเป็นจักรพรรดิ แม้ว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้มีความตึงเครียด เพียงแค่ผ่านๆ ไปในแต่ละวันเท่านั้นก็พอ
“นอกจากที่พูดกับพวกเจ้าแล้ว ยังได้พูดอะไรกับพวกเจ้าอีกไหม?ได้ร้องขอให้พวกเจ้าทำอะไรหรือเปล่า?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องซุนกับอ๋องฉีพูดขึ้นพร้อมๆ กัน “ออกจากราชการสิ!”
หยู่เหวินเห้ากับอ๋องหวยสบตากัน ด้วยแววตาประหลาดใจ
ออกจากราชการงั้นเหรอ?
หยู่เหวินเห้าคิดไม่ตก อ๋องผิงหนานนั้นสงสัยอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาจะให้พวกเขาสองคนออกจากราชการทำไม เจ้าเจ็ดเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมของกรมการพระนคร เมื่อออกจากราชการ ก็ต้องเอาคนจากกรมการพระนครขึ้นมาแทน ไม่ก็จัดคนจากกรมข้าราชการพลเรือนมาแทน
เมื่อกรมการพระนครส่งเสริมคน เขาจะเป็นคนตัดสินใจ ส่วนทางกรมข้าราชการพลเรือน จะมีกลอุบายอะไรได้เหรอ?
ขนาดศาสหงหรู เพราะต้องดูแลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทางการทหาร และเรื่องใหญ่ๆ มากมายในประเทศ……
หยู่เหวินเห้าคิดว่าเรื่องมันค่อยๆชัดเจนขึ้น ใจเขาพองโตขึ้นในทันที ก่อนจะจัดให้คนออกไป