บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1149 หยู่เหวินเห้าแปลงโฉมหน้า
หยู่เหวินเห้ารู้เป็นธรรมดา ไม่ต้องเอ่ยถึงประชาชน เพียงแค่ไม่ช่วยพระชายาอานและอานจือออกมา ก็ไม่สามารถลงมือกับหงเล่ได้ ไม่เช่นนั้น พวกนางแม่ลูกจะต้องตายในน้ำมือของสายสืบแน่นอน
เดิมทีเขาตั้งใจจะดำเนินการหลังจากที่ช่วยพระชายาอานแล้ว แต่ว่า อย่างไรก็ต้องเตรียมตัวไว้หลายอย่าง แผนนี้ไม่ได้ ก็ยังมีทางหนีทีไล่ที่สามารถไปได้
ในเมื่อการซุ่มโจมตีเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องทำตามแผนเดิมที่กำหนดไว้ มั่นใจว่าสามารถช่วยพระชายาอานออกมาได้ ค่อยวางแผนจัดงานเลี้ยงที่มีเลสนัยแอบแฝง ถึงอย่างไรก็จะต้องมีวิธีการบีบเขามาร่วมงานจนได้
เพราะว่า งานเลี้ยงที่มีเลสนัยแอบแฝงเป็นแบบซึ่งกันและกัน หงเล่ก็อยากควบคุมเขา ทำให้ท่านพี่สี่ลงมือบีบบังคับฮ่องเต้ให้สละราชบัลลังก์
ในเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมาย หยู่เหวินเห้าได้จัดการจนเส้นสายของเหตุการณ์ชัดเจนแล้ว
ท่านพี่สี่จะต้องลงมือแน่ หากว่าช่วยพระชายาอานออกมา ท่านพี่สี่จะหันกลับไปต่อกรกับหงเล่ แต่หากช่วยออกมาไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงฟังหงเล่เท่านั้น เพื่อภรรยาและลูกก็ยอมที่จะแบกชื่อเสียงแห่งความอัปยศในการประทุษร้ายต่อบิดาและฮ่องเต้
หงเล่เพื่อที่จะรับประกันว่าท่านพี่สี่จะทำตามแผนการของเขาอย่างราบรื่น ก็ต้องรับประกันว่าพระชายาอานจะไม่ถูกช่วยออกมาอย่างเด็ดขาด และจะยิ่งควบคุมเขาไว้ในวันที่ดำเนินการ
ช่างเถอะ ใช้แผนเดิมยังจะดีซะกว่าสินะ วิธีการอื่น มักจะมีจุดที่ไม่รอบคอบอยู่เสมอ
แม้วิธีการนี้ ก็ไม่ใช่วิธีการที่จะไม่เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย
เขาสะสางเรื่องราวทั้งเรื่องให้เป็นระเบียบชัดเจนรอบหนึ่ง ร่องรอยเบาะแสที่พอจะสืบได้ก็ไม่พลาดไปแม้แต่น้อย คำพูดประโยคนั้นที่ท่านพี่สี่กล่าว วนเวียนข้างหูอยู่ตลอด คนไร้ค่า ไม่ได้เรื่อง ที่พูดจะต้องเป็นจ้าวหงฟ่างเป็นแน่
เขามั่นใจว่าจ้าวหงฟ่างกักขังพระชายาอานและลูกหรือ?
หรือจะบอกว่าจ้าวหงฟ่างผู้นี้เพราะการล้างแค้นจะไม่ปล่อยพระชายาอานไป?
หรือจะบอกว่า จ้าวหงฟ่างเป็นผู้ควบคุมสายลับในเมืองหลวง? แต่เห็นได้ชัดว่าอันนี้ไม่ใช่นี่
เพิ่งจะสะสางต้นสายปลายเหตุ เพราะจ้าวหงฟ่างผู้นี้ ก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยอีกแล้ว
เขาดึงข้อมูลของจ้าวหงฟ่างออกมา ค่อยๆดู
จ้าวหงฟ่างเข้ารับราชการทหารในปีรัชสมัยที่ยี่สิบห้าของไท่ซ่างหวง เพราะทำความดีความชอบได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หลังจากปราบปรามโจรก็ทำความดีความชอบอีก ลอยสูงขึ้นไปโดยตรง ได้รับตำแหน่งแม่ทัพขั้นที่ห้า
ในข้อมูลมีจอมพลแสดงความคิดเห็นต่อเขา ในนั้นเจ้าฮู่เคยบอกว่าแม้นิสัยของเขาจะฉุนเฉียว แต่กลับมีจิตใจที่ยึดมั่นในความเป็นธรรม เดิมทีการแสดงความคิดเห็นของแม่ทัพมากมายที่มีต่อเขาก็ไม่ได้แย่ ทำไมในวันที่ออกศึก ถึงได้ดื่มเหล้าโดยไม่บันยะบันยัง ทั้งยังจะพูดจาพล่อยๆก่อนทำสงครามอีก?
เพื่อตรวจสอบให้ชัดเจน เขาเรียกแม่ทัพหลู่หม่างมาครู่หนึ่งอีกครั้ง ให้แม่ทัพหลู่หม่างสอบถามพลทหารที่ไปมาหาสู่และค่อนข้างจะสนิทกับเขาในอดีต
แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่วันเวลาในกองทัพเรียบง่าย อีกทั้งเรื่องนี้ไม่สามารถให้อภัยจ้าวหงฟ่างได้จริงๆ ดังนั้นคนที่จำได้ก็มีอยู่มากมาย หลู่หม่างไปสอบถาม ก็สืบถามช่องทางออกมาได้เล็กน้อย
เขาบอกต่อหยู่เหวินเห้า บอกว่าเวลานั้นยังมีอีกผู้หนึ่งที่ไปดื่มเหล้าพร้อมกับจ้าวหงฟ่าง คนผู้นั้นตอนนี้คือแม่ทัพของกองทัพทางใต้ สมัครเป็นทหารพร้อมกับจ้าวหงฟ่าง ชื่อว่าฟางมู่อวี่
เวลานั้นฟางมู่อวี่เป็นเพียงแค่ทหารผู้หนึ่ง ยังไม่เคยทำความดีความชอบการทางทหาร และเพราะเขาป่วย เรื่องสงครามเหตุการณ์นั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วม ไม่ได้อยู่ในรายชื่อออกศึก
จากความทรงจำของคนที่คุ้นเคยกับพวกเขาในเวลานั้น บอกว่าตอนนั้นฟางมู่อวี่ทำเพื่อเลี้ยงส่งจ้าวหงฟ่าง อวยพรล่วงหน้าให้เขากลับมาด้วยชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ สร้างความดีความชอบในการทำศึก จึงเชิญเขาไปดื่มเหล้าด้วยกัน คืนนั้นพวกเขาคุยอะไร ไม่มีผู้ใดรู้ แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อกลับค่ายทหาร ฟางมู่อวี่ไม่ได้ดื่มจนเมา แต่จ้าวหงฟ่างดื่มจนเมาหัวปักหัวปำ ทำให้ขณะที่ระดมพลในวันรุ่งขึ้น เขายังไม่สร่างเมา กล่าวคำพูดที่ทำให้จิตใจของกองทัพสั่นคลอนออกมามากมาย ถูกอ๋องอานลงโทษ
หลังจากที่แม่ทัพหลู่หม่างอธิบายสถานการณ์ที่มองตามสภาพจริงจบ จึงกล่าวอีกว่า “ท่านยังจำเหล่าปั๋ยได้หรือไม่?”
“เหล่าปั๋ย? จำได้แน่นอน” หยู่เหวินเห้ากล่าว เหล่าปั๋ยเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เคยขึ้นสนามรบพร้อมกับเขาสองสามครั้ง จะจำไม่ได้ได้อย่างไร?
“เหล่าปั๋ยบอกข้า เวลานั้นเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับฟางมู่อวี่ บอกว่าฟางมู่อวี่เคยกล่าวให้ร้ายจ้าวหงฟ่างลับหลัง อิจฉาที่จ้าวหงฟ่างได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพ และพวกเขานั้นเข้าร่วมเป็นทหารด้วยกัน แต่กลับยังเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องสงครามครั้งนั้น เขาไม่มีหวังที่จะออกรบ ไม่มีวิถีทางที่จะสร้างคุณงามความดีได้แน่นอน เหล่าปั๋ยเคยได้ยินเขาบอกว่า วันเวลาที่ดีของจ้าวหงฟ่างก็ถึงจุดจบแล้ว เหล่าปั๋ยยังเคยถามเขาว่าหมายความว่าอะไร เขาก็หัวเราะแล้วบอกว่าครั้งนี้จ้าวหงฟ่างจะต้องทำคุณงามความดีได้แน่ ทำคุณงามความดีก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีก ถึงเวลาอาจจะต้องเข้าราชสำนักเป็นขุนนางแล้ว หลังจากนี้จะยุ่งวุ่นวายกับงานราชการงานด้านการทหารจำพวกนั้น ใช้ชีวิตว่างๆสบายๆที่ดีเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ในเวลานั้นเหล่าปั๋ยรู้สึกว่าคำอธิบายนี้ค่อนข้างจะฝืนใจ แต่คิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับ จ้าวหงฟ่างนั้นดีขนาดนี้ ตามหลักแล้วคงไม่ได้เล่นอะไรกลับกลอกลับหลัง อันที่จริงหลังจากที่จ้าวหงฟ่างเกิดเรื่อง เขาก็เคยสงสัยว่าฟางมู่อวี่ได้พูดอะไรกับจ้าวหงฟ่างที่ดื่มเหล้ากันในคืนนั้นหรือไม่? จ้าวหงฟ่างผู้นี้นิสัยตรงไปตรงมา มีอะไรก็พูดตรงๆ อันที่จริงชัยชนะในการทำสงครามครั้งนั้นของพวกเราเป็นความโชคดีโดยบังเอิญ หากว่าถกกันขึ้นมาจริงๆ คำที่จ้าวหงฟ่างพูดก็ไม่ผิด ใช้คนจำนวนน้อยต้านทานคนจำนวนมาก อันตรายจริงๆ แต่คำพูดนั้นก็ไม่ควรพูดก่อนการทำสงคราม ทำให้จิตใจของทหารสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าฟังคำพูดเหล่านี้ คิดแล้วคิดอีก “แม้ว่าฟางมู่อวี่จะใส่ร้ายเขา แต่ท่านพี่สี่ขับไล่เขาออกจากค่ายทหาร ทั้งยังตำแหน่งทางการทหาร ทุบตีด้วยไม้แล้วคุมขังไว้อีก คนที่เขาแค้นก็ยังเป็นท่านพี่สี่”
แม่ทัพหลู่หม่างถอนหายใจเบาๆ “นี่ก็ต้องดูว่าจ้าวหงฟ่างคิดอย่างไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงวันนั้นเขาก็พูดจากำเริบเสิบสานไร้มารยาท จวนจะขึ้นสนามรบอยู่แล้ว ยังจะพูดจาเช่นนั้นอีกได้อย่างไรกัน? หากว่าทำให้จิตใจของทหารสั่นคลอนแล้ว ต้องทำให้พี่น้องบาดเจ็บล้มตายมากมายเพียงใด? หากว่าข้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ชีวิตนี้ของข้าก็คงให้อภัยตัวเองไม่ได้ ยิ่งจะไม่โกรธแค้นอ๋องอานเพราะเหตุนี้ กระทั่งยังจะเกิดความรู้สึกละอายใจต่อเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าตะลึงทันที ความคิดนี้ของหลู่หม่าง อันที่จริงเพียงแค่เป็นทหารที่มีจิตใจจงรักภักดีล้วนคิดเช่นนี้ เป็นความจริงที่ตัวเองละเมิดวินัยของทหารก่อน และนี่ก็ไม่ใช่ความผิดเล็กๆ หากว่าคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาจริงๆ อาจจะยังสามารถพิจารณาโทษประหารได้อีกด้วย สังหารก่อนออกศึก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขากล่าวคำพูดเช่นนั้น สังหารเขาสร้างคุณงามความดี ยิ่งสามารถปลุกเร้าจิตใจของทหารได้
แน่นอนอยู่แล้ว นี่ก็ต้องดูว่าจ้าวหงฟ่างเป็นคนอย่างไร เขาจะมองเรื่องนี้อย่างไร
สายตาตกลงไปบนข้อมูลของจ้าวหงฟ่างอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ หากว่าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น จากการแสดงความคิดเห็นต่อเขาของแม่ทัพทุกท่าน รวมทั้งความดีความชอบทางการทหารที่เขาเคยสร้าง มีความเป็นไปได้มากที่คนผู้นี้จะกลายเป็นแม่ทัพใหญ่
ไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาเรียกสวีอีเข้ามา กล่าวว่า “เชิญคนที่เชี่ยวชาญในการแปลงโฉมหน้าของสำนักเหลิงหลังมารอบหนึ่ง ข้าต้องการพบจ้าวหงฟ่างผู้นี้สักหน่อย”
ท่านพี่สี่บอกเขาแก่ขา อาจจะไม่ง่ายดายเพียงนี้ ทีแรกมักจะคิดว่าจ้าวหงฟ่างผู้นี้เป็นสายลับอยู่ตลอด ไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาคิด
สำนักเหลิ่งหลังเชี่ยวชาญในการแปลงโฉมปลอมตัว ส่งคนเข้ามาสองคน ไม่เกินประมาณครึ่งชั่วยาม หยู่เหวินเห้ามองดูตัวเองในกระจก ตัวเองก็ล้วนจำไม่ได้แล้ว
เส้นผมขาวโพลน บนหน้าผากมีรอยย่นยักคิ้วสองสามรอย แก้มสองข้างมีฝ้าของคนแก่เล็กน้อย ด้านหลังยัดสิ่งของแล้ว บังคับให้เขาจำเป็นต้องงอตัวงอเอวเล็กน้อยขณะที่เดิน ริมฝีปากไม่รู้ว่าทาสิ่งของอะไร ดูแล้วใหญ่กว่าเดิมทีมาก อีกทั้งมุมปากห้อยลง มองมาแวบหนึ่งก็คือคนผู้หนึ่งที่ลักษณะแก่ชราอย่างแท้จริง
“องค์ชาย ท่านแก่แล้วก็จะเป็นเช่นนี้ ไม่น่าดูยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีมองดูอยู่ด้านข้างเป็นเวลานาน กล่าวด้วยความตกตะลึง
องค์ชายแก่แล้วน่าเกลียดจริงๆ
หยู่เหวินเห้ามองดูเขาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง “ปากหมาพูดสิ่งดีๆออกมาไม่ได้”
สวีอีหัวเราะฮิฮิและกล่าว “ใครแก่ชราก็ไม่น่าดูพ่ะย่ะค่ะ แต่วิชาการแปลงโฉมนี้ชั่งยอดเยี่ยมนัก ข้าน้อยมองไม่ออกสักนิดพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ามองตัวเองในกระจกอีกแวบหนึ่ง เขาแก่แล้วจะเป็นเช่นนี้จริงๆหรือ? เช่นนั้นยายหยวนจะต้องรังเกียจเขามากเพียงใดกัน!