บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1154 มาแล้ว
หยู่เหวินเห้าพักอยู่ที่พระที่นั่งเป็นเวลาหนึ่งคืน ฟ้ายังไม่สางก็ตื่นขึ้นมาแล้ว หยวนชิงหลิงสวมเสื้อคลุมให้กับเขา มวยผมใส่รัดเกล้า มองดูชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลากลายเป็นคนที่มีรูปลักษณ์เป็นผู้ใหญ่เช่นตอนนี้ หัวใจของนางยินดีปนเจ็บแปลบ มองนิ่งๆโง่ๆอยู่ชั่วครู่ นางพูดว่า “ท่านไปทำอย่าได้กังวลเลย ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราแม่ลูก”
หยู่เหวินเห้าประทับลงไปที่ริมฝีปากของนาง ใบหน้าของนาง หน้าผากของนาง “หลังจากนี้สี่วัน ข้าจะมารับเจ้ากลับบ้าน”
“ได้ ข้าจะรอท่าน”นางยิ้มสดใส สายตาเต็มไปด้วยกำลังใจ แต่ในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เพราะว่าพวกเขาได้เดินผ่านอุปสรรคต่างๆมาด้วยกันตั้งมากมาย แต่ว่าครั้งนี้ กลับไม่สามารถไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้
หยู่เหวินเห้ากอดนางไว้แน่นๆครู่หนึ่ง จ้องมองนิ่งๆชั่วครู่ สะบัดชายเสื้อก้าวใหญ่ๆจากไป
หยวนชิงหลิงใช้สายตามองส่งเขาเดินจากไป ลานด้านนอกมืดสนิท มีแสงจากโคมไฟสาดส่องตลอดทาง ราวกับจุดประกายเป็นทางช้างเผือกสายหนึ่ง มองส่งเขาที่ปลายแขนเสื้อที่ปลิวสะบัดเดินจากไปไกล
เมื่อไปถึงข้างนอก สวีอีได้มารวมตัวกับเขา จากไปพร้อมกัน
หยวนชิงหลิงมองเห็นอะซี่ยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าลานบ้าน ใช้สายตาส่งสวีอีจากไป ภายใต้แสงที่สาดส่องจากโคมไฟ ในดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อขึ้นมา
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป “อะซี่”
อะซี่รีบยื่นมือออกไปเช็ดที่ตาชั่วครู่ “พี่หยวน”
“ทำไม ไม่วางใจสวีอีหรือ”หยวนชิงหลิงดึงมือของนางและพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
อะซี่สีหน้าซีดลงเล็กน้อย “ไม่วางใจ ไม่เคยไม่วางใจเช่นนี้มาก่อน”
นางเงยหน้าขึ้นมองหยวนชิงหลิง ในดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน “พี่หยวน ท่านว่าทำไมบนโลกใบนี้จึงมีคนคนหนึ่ง ที่พวกเรามองเห็นเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในตัวเขาได้มากขนาดนี้”
“ความหวาดกลัวมาจากจิตใจของคน พวกเขาคิดไปเองว่าหงเล่ร้ายกาจมาก ทำให้ตนเองรู้สึกกลัว รัชทายาทบอกว่า หงเล่เป็นคน คนต้องมีจุดอ่อน สามารถจับจุดอ่อนของเขาได้ก็สามารถโจมตีให้พังยับเยินได้”หยวนชิงหลิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ”อะซี่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“ไม่ง่าย ฉะนั้นพวกเขาจึงต้องพยายาม ”หยวนชิงหลิงดึงมือของนางเอาไว้ค่อยๆเดินกลับไปยังห้อง “พวกเราต้องมีความเชื่อมั่นในพวกเขา พวกเขาเป็นคนที่เคยผ่านสนามรบมาแล้ว เจอกับภัยพิบัติกี่ครั้งสุดท้ายก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยมิใช่หรือ วางใจเถอะ”
อะซี่ตื่นเต้นจนฝ่ามือมีเหงื่อผุดออกมา นางไม่วางใจนี่นา ไม่เคยรู้สึกไม่วางใจเช่นนี้มาก่อน
ได้ยินคำพูดของพี่หยวน นางรู้สึกพี่หยวนอาจจะพูดถูกต้อง ที่ว่าหงเล่ดูแล้วร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ นั่นเพราะทุกคนต่างก็บอกว่าเขาร้ายกาจ แต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้ร้ายกาจจริงๆก็ได้
อีกอย่าง องค์รัชทายาทเองก็ร้ายกาจมาก ต้องรบชนะหงเล่ได้แน่ เพราะว่า ในดวงตาของพี่หยวนไม่เห็นว่าจะมีความกังวลแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านางเองก็เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา
หยวนชิงหลิงนั้นย่อมเป็นกังวลอย่างแน่นอน แต่เมื่อได้ปลอบใจอะซี่แล้ว หัวใจกลับรู้สึกสงบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
มีความเชื่อมั่นใจตัวเจ้าห้าและท่าทีที่มองโลกในแง่ดี นางทำตามขั้นตอนคืออยู่ในพระที่นั่ง สมควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น
หลังจากหยู่เหวินเห้าไปจากพระที่นั่งแล้ว กลับไปยังราชสำนักและทำการโยกย้ายคนอีกครั้งหนึ่ง ปลดขุนนางใหญ่ที่ดูแลท้องพระคลังออก พระคลังหลวงทั้งหมดให้กองคลังเป็นผู้ควบคุมดูแล แต่งตั้งให้เหลิ่งจิ้งเหยียนเป็นเลขานุการกรมคลัง อ๋องหวยเป็นขุนนางกำกับดูแลท้องพระคลังภายใน
พระคลังหลวงแบ่งเป็นพระคลังภายในกับพระคลังภายนอก พระคลังภายนอกมีหน้าที่สำคัญในการจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับราชสำนักไปจนถึงกองทัพและช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติต่างๆ พระคลังภายในนอกจากดูแลค่าใช้จ่ายภายในราชวังแล้ว ยังมีเงินที่กำหนดเอาไว้ก้อนหนึ่ง ใช้สำหรับรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ได้มีการเปลี่ยนทหารเฝ้าคลังอาวุธของค่ายทหารทางเหนือ โดยมีแม่ทัพหลู่หม่างกับจอหงวนฝ่ายบู๊ลู่หยวนเป็นคนรับช่วงต่อดูแล
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่ารัชทายาทมีจุดประสงค์อะไรที่ทำเช่นนี้ เพราะว่าตอนนี้อยู่ในช่วงที่สถานการณ์คับขัน สมควรจะวางความสนใจไปที่ราชวังไม่ใช่พื้นที่อื่น โดยเฉพาะการโยกย้ายปรับเปลี่ยนขุนนาง ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากกรมข้าราชการพลเรือน ที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องที่ไม่มีความสำคัญทั้งหมดนี้ล้วนไม่จำเป็นต้องมาทำในช่วงเวลาเช่นนี้
แม้แต่อ๋องชินลุ่ยยังคิดว่า การโยกย้ายปรับเปลี่ยนครั้งนี้ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เหลิ่งจิ้งเหยียนเป็นหัวหน้าของกั๋วจื่อเจียน เป็นคนที่เต็มไปด้วยความรู้ในตำรา กลับให้เขาไปคุมการเงิน ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่ อ๋องหวยไม่เคยรับตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก บารมียังมีไม่พอ จะควบคุมพระคลังภายในได้อย่างไร
หยู่เหวินเห้าเอ่ยอธิบายว่า “นี่เป็นเพียงการเตรียมการไว้สำหรับภายหลังเท่านั้น ไม่สำคัญมากก็จริง แต่ถือโอกาสที่ว่างอยู่จัดการเสียก่อน”
อ๋องชินลุ่ยถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายคนอายุน้อย ก็ตื่นเต้นนั่นเอง
ฤดูใบไม้ร่วงมาถึง วันแรมขึ้นห้าค่ำ
งานเลี้ยงกับซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานถูกจัดขึ้นที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหล กำหนดเวลาคือยามเที่ยงสามเค่อ (11.45น.)
ยามเที่ยงสามเค่อ (11.45น.) เป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่กลางท้องฟ้า ทุกคนต่างก็เลือกฤกษ์ที่เป็นสิริมงคล
เริ่มตั้งแต่เช้า ที่จวนอ๋องฉู่จัดวางกองทัพไว้อย่างแน่นหนา ที่ประตูเมืองมีการตั้งด่านตั้งแต่เมื่อวาน เข้าออกล้วนต้องตรวจอย่างเข้มงวด
กรมการพระนครได้มีการส่งกองทัพลาดตระเวนไปทั่วทั้งเมืองหลวง แค่เพียงพบเจอบุคคลน่าสงสัย ให้จับตัวเอาไว้ก่อน
ท้ายยามเฉิน(07.00น.-09.00น.) กู้ซือวางกำลังป้องกัน มอบหมายให้กำลังทหารรักษาพระองค์ส่วนใหญ่ไปเฝ้าประตูตำหนักต่างๆในวัง
นอกจากการจัดวางกำลังของกู้ซือจะทำอยู่ภายใต้การจับตามองของทุกคน การเคลื่อนย้ายคนที่เหลือทั้งหมด ล้วนราวกับไร้แรงกระเพื่อม
ส่วนอ๋องเว่ย อ๋องฉี ท่านชายสี่เหลิ่งต่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับกันค่ายทหารทางเหนือก็เกิดการเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆอยู่ตลอด อ๋องอันเคยอยู่ที่ค่ายทหารทางเหนือระยะหนึ่ง และนายทหารชั้นสูงมากมายของค่ายทหารทางเหนือต่างก็เคยติดตามตี๋เว่ยหมิงมาก่อน ตอนนี้แม้จะส่งแม่ทัพหลู่หม่างกับลู่หยวนไปในกองทัพ แต่กลับถูกส่งไปยังคลังอาวุธ ไม่สามารถถามถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายพลได้เลย นี่ทำให้คนที่เห็นแล้วอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้
ตอนนี้กองทัพใหญ่ของค่ายทหารทางเหนือถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนที่อยู่เฝ้าเมืองหลวงมีห้าหมื่นนาย ที่อ๋องซุนได้ทำการส่งกองทัพไปยังหนานเจียงกับปราบโจรโดยตัดสินใจด้วยตนเอง จำนวนคนรวมกันแล้วก็อยู่ที่ห้าหกหมื่นคน หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้ในเมืองหลวงนอกจากพลลาดตระเวนและทหารรักษาพระองค์ ทหารของแต่ละกรมแต่ละจวนอ๋องแล้ว ก็เหลือทหารอยู่เพียงห้าหกหมื่นนายเท่านั้น
และแน่นอน ในนี้ยังมีพลังสายหนึ่งที่ซุ่มซ่อนอยู่ในพื้นที่ สำนักเหลิ่งหลังกับสำนักเหมยแดง
กองกำลังของหยู่เหวินเห้าเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นที่เปิดเผยหรือว่าแฝงตัวอยู่ ที่จริงล้วนสามารถยกนิ้วมือขึ้นมานับได้
แต่คนของหงเล่กลับคำนวณไม่ออก ในทหารรักษาพระองค์มีคนของเขาหรือไม่ ไม่รู้ ในบรรดาประชาชนมีคนของเขาอยู่เท่าไหร่ ไม่รู้ ขุนนางในราชสำนักมีคนของเขาอยู่เท่าไหร่ ไม่รู้ บรรดาชาวยุทธที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เป็นคนของเขาทั้งหมดหรือไม่ ก็ไม่รู้
แม้จะเป็นเช่นนี้ หยู่เหวินเห้าก็ยังคงพาองครักษ์ลับผีเพียงไม่กี่นายไปตามนัดหมาย แน่นอน ยังมีทหารจวนของจวนอ๋องฉู่ ขบวนใหญ่ จำนวนนับร้อยคนได้มาถึงโรงเตี๊ยมเยว่ไหล
ทหารจวนได้แบ่งเป็นสองแถวที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหล เฝ้าประตูใหญ่เอาไว้ องครักษ์ลับผีไม่กี่นายตามหยู่เหวินเห้าขึ้นไปที่ชั้นสอง
หงเล่ยังไม่มา สองมือของหยู่เหวินเห้าวางไว้บนขอบระเบียง มองหลังคาหลิวหลีโค้งงอนจากที่ไกลๆ แสงอาทิตย์ยามเที่ยงแรงกล้าเหลือเกิน แผ่นหลังคาหลิวหลีไม่สามารถจ้องมองตรงๆได้ แสงสีทองนั้นสะท้อนแสงกลับมา เป็นการแผดเผาที่เจ็บปวดจริงๆ
บนถนนชิงหลวน คนสัญจรไปมา นี่เป็นหนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง สิ่งของที่ขายล้วนเป็นของคุณภาพสูง ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จึงแต่งองค์ทรงเครื่องกันมา เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อย เห็นมีคนมากมายเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกของโรงเตี๊ยมเยว่ไหล ต่างก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง เดินเลี่ยงผ่านไป ไม่กล้าเข้าใกล้
องครักษ์ลับผีกำลังตรวจค้นทุกพื้นที่ในโรงเตี๊ยม ว่ามีการวางกำลังแอบซุ่มหรือไม่ ไม่นานก็กลับมารายงาน “รัชทายาท ได้ทำการตรวจค้นแล้ว ไม่มีการดักซุ่ม ”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็รอต่อไป”
เขาสะบัดชายเสื้อนั่งลง เสี่ยวเอ้อยกน้ำชามาให้ด้วยขาที่สั่นเทา เหตุการณ์ใหญ่ในวันนี้ ช่างน่าตกใจจริงๆ
หลังจากหยู่เหวินเห้าดื่มชาไปหนึ่งแก้ว ก็ได้ยินองครักษ์ลับผีพูดขึ้นว่า “รัชทายาท ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานมาแล้ว”