บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1156 คนอย่างท่านชายสี่เหลิ่ง
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานกระตุกขึ้นลงหลายที จ้องมองท่านชายสี่เหลิ่ง “ตอนนี้หยู่เหวินเห้าอยู่ที่ใด”
“นั่นก็ต้องดูว่าแม่ทัพใหญ่ต้องการจะทำอะไร สิ่งที่ท่านแม่ทัพต้องการ เขาจำเป็นต้องเฝ้าเอาไว้”ท่านชายสี่เหลิ่งพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานฮึหนึ่งเสียง “จริงหรือ เช่นนั้นก็เกรงว่าเขาคงจะคาดเดาได้ไม่แม่นยำ”
ท่านชายสี่เหลิ่งพูดว่า “เช่นนั้นให้ข้าลองเดาดู เป็นอย่างไร”
“ลองว่ามาซิ”ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานพูดเสียงเรียบ
ท่านชายสี่เหลิ่งถือน้ำชาเอาไว้จ้องมองไปที่เขา “ท่านแม่ทัพวางแผนการทั้งหมดอย่างลำบากยากเย็น สร้างอำนาจให้กับอ๋องอัน สร้างคะแนนนิยมของประชาชน ลักพาตัวลูกเมียของเขาเพื่อบีบบังคับให้เขาแย่งชิงบัลลังก์ ดูแล้วเหมือนจะเป็นการให้เขาแย่งชิงอำนาจ ที่ว่าการช่วงชิงอำนาจนั้นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เพราะว่าตัวอ๋องอันเองเป็นคนที่เต็มไปด้วยปัจจัยที่ไม่มั่นคงเลย ท่านแม่ทัพไม่มีทางควบคุมอ๋องอันได้ทั้งหมด นี่ย่อมไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริง ฉะนั้นเมื่อครู่ที่ข้าบอกว่า นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าของพวกท่านเท่านั้น แต่ว่าฉากบังหน้าที่พวกท่านได้วางเอาไว้ไม่ได้มีเพียงหนึ่ง เดิมทีอ๋องอันเป็นผู้บัญชาการค่ายทหารทางเหนือ ค่ายทหารทางเหนือเฝ้าคลังอาวุธ ข้างในนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมของเป่ยถัง ให้อ๋องอันชิงบัลลังก์ เคลื่อนกองทัพของค่ายทหารทางเหนือ เผยให้เห็นช่องว่างของคลังอาวุธ นี่เป็นฉากบังหน้าที่สอง ให้คนเข้าใจผิดว่าพวกท่านต้องการจะแย่งชิงอาวุธรถรบไป”
ดวงตาของซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานค่อยๆเคร่งขรึมลง แต่มุมปากยังคงโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็น “อย่างนั้นหรือ จินตนาการดีมาก ที่ท่านชายสี่เหลิ่งยังไม่บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของแม่ทัพใหญ่”
ท่านชายสี่เหลิ่งพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่รีบร้อนนี่นา มา ดื่มชากันก่อน”
ท่านชายสี่เหลิ่งยกกาน้ำชาขึ้นเทน้ำชาให้เขา พลางรินน้ำชาพลางพูดว่า “ศึกใหญ่ระหว่างเป่ยโม่กับเป่ยถังครั้งนี้ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องได้ชัยชนะในการศึกครั้งนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยเคลื่อนย้ายกองกำลังไปเผชิญหน้ากับแคว้นต้าโจว เช่นนั้นก็ต้องมั่นใจว่าก่อนที่กองทัพสนับสนุนจากแคว้นต้าโจวจะมาถึง ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย นี่ทำให้ข้าอดที่จะคิดถึงตอนที่ท่านแม่ทัพโจมตีแคว้นหลิวไม่ได้ ตอนนั้นท่านแม่ทัพใช้เวลาภายในสามวัน กองทัพใหญ่บุกประชิดพรมแดน บีบให้แคว้นหลิวต้องยอมจำนวนแบ่งดินแดนให้ ไม่มีแรงในการต่อต้านแม้แต่น้อย เพราะว่าก่อนที่ท่านแม่ทัพจะเข้าประชิดพรมแดน พระคลังหลวงของแคว้นหลิวถูกทำลาย เงินที่สำรองเอาไว้ถูกถ่ายเทออกไป ที่นำออกไปไม่ได้ก็จุดไฟเผาจนหมดสิ้น เดิมทีเงินสำรองสำหรับการทหารของแคว้นหลิวก็มีไม่มากอยู่แล้ว บวกกับฤดูเก็บเกี่ยวยังมาไม่ถึง ภาษีและเสบียงจากที่ต่างๆไม่สามารถเก็บรวบรวมได้ หลังจากท้องพระคลังว่างเปล่าแล้ว แม้แต่เงินเดือนของขุนนางยังไม่มีจ่าย ยังจะไปควักเอาเงินที่ไหนมาจ่ายให้ทหารไปทำศึกได้ การสู้รบ เป็นเรื่องที่เสียเงินมากที่สุด และยังเป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันคาดคิด แคว้นหลิวไร้ทางตอบโต้อย่างสิ้นเชิง ย่อมต้องพ่ายแพ้ยับเยินได้แต่แบ่งดินแดนยอมจำนน เรื่องการปล้นท้องพระคลังของแคว้นอื่นเช่นนี้ จะทำให้เสพติดได้ สันนิษฐานว่า ท่านแม่ทัพทำสำเร็จอย่างราบรื่นได้หนึ่งครั้ง ก็ต้องคิดว่าจะทำสำเร็จอีกเป็นครั้งที่สอง ใช่หรือไม่”
ใบหน้าของซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานเย็นชา “อย่างนั้นหรือ”
“นี่เป็นจุดประสงค์แรกของแม่ทัพใหญ่ ยังมีจุดประสงค์ที่สอง”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานจ้องมองเขา แสร้งยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นท่านลองพูดมาสิว่า จุดประสงค์ที่สองคืออะไร”
“จุดประสงค์ที่สอง ก็คือแผนการขั้นที่สองของแม่ทัพใหญ่ หลังจากจัดการกับเป่ยถังแล้ว ต้องไม่ปล่อยแคว้นต้าโจวไปแน่ เขาคงคิดจะลบล้างความอับอาย แต่ว่าอาวุธของแคว้นต้าโจวยอดเยี่ยม แม้เป่ยโม่จะร่วมมือกับแม่ทัพใหญ่ก็ยากจะโจมตีเพื่อยึดครองได้ และการต่อสู้กับต้าโจวก็มีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นการมีรถรบและอาวุธที่เหมือนกัน จึงจะทำให้เป่ยโม่ควบคุมโอกาสที่จะชนะไว้ได้ ”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานเอ่ยเสียงเย็นว่า “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะบอกเองมิใช่หรือว่าการขโมยอาวุธของค่ายทหารทางเหนือเป็นเพียงฉากบังหน้า ทำไมตอนนี้จึงกลายเป็นว่าพวกเราต้องการจะขโมยอาวุธไปเสียแล้ว”
ท่านชายสี่เหลิ่งเอ่ยอย่างสบายๆว่า “นี่ย่อมเป็นฉากบังหน้าฉากหนึ่ง ใครๆต่างก็รู้ว่าอาวุธในค่ายทหารทางเหนือมีการสำรองไว้ไม่มาก และมีบางส่วนได้ถูกอ๋องซุนส่งออกไปแล้ว ยังมีอีกบางส่วนที่ถูกจัดสรรไปยังกองกำลังที่ประจำจุดต่างๆ การขโมยอาวุธไม่มีความหมายเลยสักนิด จุดประสงค์ของพวกท่านคือต้องการจะได้แผนที่ทางการทหาร ขโมยเงินก้อนใหญ่ออกไปจากท้องพระคลัง แล้วก็เอาแผนที่ทางการทหารไป พวกท่านอยากจะได้อาวุธเท่าไหร่ก็สามารถทำได้ แผนการนี้ดีจริงๆ ไม่พูดไม่ได้ว่าความคิดนี้ใจกล้ามาก การกระทำที่ไร้ยางอายโดยการปล้นบ้านผู้อื่นถึงหน้าประตูเช่นนี้ มีเพียงแม่ทัพใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำได้ คนทั่วไปไม่มีความกล้าและประสบการณ์เช่นนี้ และไม่อวดดีบังอาจเช่นนี้ ”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ ก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “หยู่เหวินเห้ามีคนที่มีความสามารถจริงๆ ถึงกับสามารถคิดไปถึงขั้นนี้ได้”
ท่านชายสี่เหลิ่งพูดยิ้มๆว่า “นี่นับประสาอะไร จะเทียบกับความร้ายกาจของพวกท่านได้อย่างไร แม้แต่แม่ทัพใหญ่หงเล่ พวกท่านก็ตบตานับครั้งไม่ถ้วน ประเดี๋ยวก็เป็นซื่อจื่อท่านเอง ประเดี๋ยวก็เป็นตี๋เว่ยหมิง แต่ว่านะ เป็นตี๋เว่ยหมิงจริงๆนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่ตี๋เว่ยหมิงที่อาศัยอยู่ในพระที่นั่ง”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานจ้องมองเขา “วันนั้นหงเย่เคยเห็นข้ากับตา เขาเองก็บอกอย่างมั่นใจว่าข้าก็คือแม่ทัพใหญ่ ทำไมพวกท่านไม่เชื่อ”
“ท่านชายหงเย่รู้ว่าพวกท่านยังมีคนคอยแอบฟังอยู่ ฉะนั้นจึงได้จงใจพูดเช่นนี้ เขามองเห็นจุดบกพร่องตั้งแต่แวบแรกแล้ว”
“จุดบกพร่อง”ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานมีแววสงสัยอยู่บ้าง “ข้าขอถามว่ากิริยาท่าทางของข้าที่คล้ายกันมากขนาดนี้ จะมีจุดบกพร่องตรงไหน”
“ใช่แล้ว อารมณ์ของแม่ทัพหงเล่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ป่าเถื่อนจนเป็นนิสัย แต่ตามที่ท่านชายหงเย่บอก ในขณะที่เขากราดเกรี้ยวที่สุด จะไม่แสดงสีหน้าอะไรทั้งสิ้น แม้แต่แววตาก็ไม่เปลี่ยนไปเลย ซื่อจื่อเรียนรู้เกินขอบเขตไปแล้ว ตอนที่แม่ทัพใหญ่เห็นท่านชายหงเย่ บนใบหน้ามีเพียงความเรียบเฉย ไม่มีสีหน้าอย่างอื่น ส่วนตี๋เว่ยหมิง ตี๋จงเหลียงลอบสังหารรัชทายาทเพียงเพราะเงินจริงหรือ ถ้าหากไม่ใช่ความต้องการของตี๋เว่ยหมิง แม้ว่าตี๋จงเหลียงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องมากเพียงใด ก็คงไม่เสี่ยงเอาชีวิตของคนทั้งครอบครัวที่จะต้องถูกประหารไปลอบสังหารรัชทายาท หลังจากตี๋จงเหลียงพ่ายแพ้ไป ตี๋เว่ยหมิงย่อมต้องเดินเข้าสู่เส้นทางที่ถูกพวกเราสงสัยอย่างแน่นอน บวกกับอ๋องฉีก็เป็นคนซื่อบื้อ เอาแต่ไปรบเร้าให้ตี๋เว่ยหมิงออกหน้าเพื่อไปเก็บศพ ทำให้ตี๋เว่ยหมิงจำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหว แน่นอนว่า เขาเองก็จงใจต้องสร้างความสงสัยให้เกิดขึ้น ให้รัชทายาทส่งคนมาจับตาดูเขาเอาไว้ แต่ที่จริงหลังจากที่เขาเก็บศพกลับไปแล้ว เขาก็ได้ไปจากจวนแล้ว ที่อยู่ข้างในเป็นตี๋เว่ยหมิงตัวจริง รัชทายาทจะจับตามองเขาต่อไปก็ไร้ประโยชน์ แต่เขาไหนเลยจะรู้ว่ารัชทายาทได้มองเขาออกตั้งนานแล้ว ตอนนี้รัชทายาทได้เร่งเดินทางไปยับยั้งเขาแล้ว”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานสีหน้าดำคล้ำ ไม่อาจจะไม่ยอมรับ แต่ยังคงเอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะเร่งเดินทางไปยังท้องพระคลังด้วยตนเองก็ไร้ประโยชน์ แม่ทัพใหญ่ลงมือเอง ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำไม่สำเร็จ”
ท่านชายสี่เหลิ่งกำแก้วเอาไว้ สายตาเผยให้เห็นแววแห่งความซื่อสัตย์และจงรักภักดี “ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ”
เขายกมือขึ้น สั่งการลงไป พูดว่า “รายงานรัชทายาท รีบเดินทางไปท้องพระคลัง”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานลมหายใจสะดุด “ท่านเจ้าเล่ห์จริงๆ”
ท่านชายสี่เหลิ่งเผยรอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้ “ดื่มชา ดื่มชา พวกเรายินดีต้อนรับการจำนน ปฏิบัติอย่างดีต่อเชลยศึก”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานอดไม่ได้ที่อยากจะฉีกใบหน้ายิ้มแย้มของเขาซะ
“อย่าโมโหซิ พวกเรารู้เรื่องทั้งหมด มีเพียงเรื่องเดียวคือไม่รู้ว่าหงเล่ไปที่ใด เพราะว่าตอนที่พวกเราคิดออก แม่ทัพใหญ่ก็ไปจากที่พำนักตั้งนานแล้ว คนแก่อย่างเขาเป็นตัวละครในฉากก่อนจบการแสดง แน่นอนว่าต้องไปทำงานที่สำคัญที่สุด ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ ไร้หนทางจะสอบถามคนอื่นได้ ทำได้เพียงไต่ถามจากปากของซื่อจื่อเท่านั้น”
“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถควบคุมข้าได้อย่างนั้นหรือ”ทันใดนั้นซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานก็พลิกคว่ำโต๊ะ เอ่ยขึ้นมาอย่างโมโห
ท่านชายสี่เหลิ่งลุกขึ้นยืนอย่างผ่อนคลาย ราวเทพบุตรเดินดิน รอยยิ้มอบอุ่นที่ราวกับแฝงไปด้วยความสง่างาม“ย่อมสามารถทำได้ ในช่วงเวลาที่ใต้เท้าทังแทรกซึมเข้าไป ได้ทำการวางยายาอ่อนแรงให้กับเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ข้างกายท่านกับเหล่าสายลับอีกพวกหนึ่งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แน่นอน ในจำนวนคนเหล่านี้ก็รวมถึงตัวท่านด้วย เพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกวัน ไร้สีไร้กลิ่น ถึงเวลาเที่ยงของวันนี้ ภายใต้แสงอาทิตย์แรงกล้าที่ส่องลงมา พิษก็จะออกฤทธิ์ แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ไม่สามารถใช้กำลังภายในได้เท่านั้น ที่ใต้เท้าทังทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ ข้านั้นไม่รู้ เขาสมควรจะทำตามอุบายที่วางเอาไว้ตามปกติ ไปสืบหาข่าวคราว แต่ไม่ใช่การไปวางยาพิษ เขาทำเกินไปแล้ว เป็นการทำให้ข่าวปลอมที่พวกท่านส่งออกไปตั้งหลายครั้งต้องเสียเปล่า เขาไม่กลับไปรายงานเลยแม้แต่คำเดียว เอาแต่สนใจเรื่องวางยาพิษ ”
ท่านชายสี่เหลิ่งพูดจบ ก็กระโดดลงไปด้านล่าง “ข้าจะไปสัมผัสเสียหน่อยว่า แม่ทัพใหญ่ที่แท้ร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว”