บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1174 ใบหน้าของอะโฉ่ว
สนทนากับหงเย่พักหนึ่งแล้วก็ได้รู้ชาติกำเนิดของอะโฉ่ว
หยวนชิงหลิงตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ากู้จือสาวหมอผีที่ผู้คนยกย่อง น้องสาวของนางจะมีชีวิตที่กลับตาลปัตรเช่นนี้ มิน่าล่ะ ท่าทางนางถึงได้โหดเหี้ยมนัก ที่แท้ก็ลำบากมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าใครก็ใช้ชีวิตแบบมองในแง่ดีไม่ได้
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ถ้าท่านเกลี้ยกล่อมให้นางมาหาข้าได้ งั้นข้าก็ไม่ขัด”
“นางฟังคำสั่งกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” หงเย่มองนางพลางเอ่ย
“ได้ ช่วงนี้ข้าว่าง ท่านก็ให้นางมาเถอะ” หยวนชิงหลิงกล่าว ให้คนจัดน้ำชาของว่าง แล้วมองเขาพูด “ท่านมีแผนยังไง?”
มุมปากหงเย่ยกขึ้นเล็กน้อย “ทรงเป็นห่วงกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“แค่ถามเท่านั้น ในเมื่อเป็นสหาย ห่วงท่านก็เป็นเรื่องปกติ” หยวนชิงหลิงพยายามเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น ถึงจะบอกว่าตอนนี้เขาไม่มีประสงค์ร้ายแล้ว แต่ความคิดเขาก็ยากจะคาดเดา
หงเย่ยิ้มบาง “สหาย ดีจริง กระหม่อมจะอยู่ที่เมืองหลวงชั่วคราว รอทะเลสาบจิ้งของพระชายา”
“ท่านอยากลงทะเลสาบจิ้งไปที่ใดหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” เขาส่ายหน้า “แค่รู้สึกว่าชีวิตนี้มีเรื่องน่าเสียดายหลายเรื่อง มีความผิดบางอย่างที่ไม่อยากผิดซ้ำสอง ถ้าทะเลสาบจิ้งสามารถข้ามกาลเวลาได้ กระหม่อมก็อยากไปแก้ไข”
หยวนชิงหลิงชะงัก “แก้ไข? ท่านหมายถึง…ท่านแม่ของท่าน?”
หงเย่พยักหน้า “นี่เป็นเรื่องหนึ่งในนั้น กระหม่อมยังอยากกลับไปช่วงกระดูกมนุษย์หมาป่า”
ขณะที่เขาพูด เขามองตรงมาที่นาง “และกระหม่อมก็เชื่อว่าพระชายาจะบอกกระหม่อมได้ว่าพระชายามีวิธีไม่ให้มันตาย พระชายารอดมาได้ มันก็ควรรอดเช่นกัน ใช่เหตุผลนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางตรวจสอบควบคุมสถิติทั้งหมดในการทดลองของลิง ตอนนั้นดูว่าสำเร็จแล้ว นางถึงได้ทดลองกับร่างมนุษย์ หรือก็คือทดลองกับตัวนางเอง หลังจากนางตายแล้วจิตก็ควบคุมอีกร่างกายในอีกมิติเวลาหนึ่ง นี่ไม่ใช่ความบังเอิญแน่ บางทีสนามแม่เหล็กของทั้งสองมิติอาจมีจุดเชื่อมต่อกัน
จุดนี้พิสูจน์ได้จากที่ฟางหวูและลิงมาที่มิตินี้เหมือนกัน
แต่ที่นางมีชีวิตอยู่ต่อ ก็เพราะสมองของนางในยุคปัจจุบันยังไม่ตาย แต่ลิงไม่ใช่อย่างนั้น
“เป็นคนต้องมีจุดมุ่งหมาย มีทิศทาง พระยาชาคิดว่าถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หงเย่มองนาง ดวงตาเร่าร้อน “เพียงชั่ววูบ ก็เป็นความหวังของคนคนหนึ่ง พระชายาโปรดพิจารณาให้ละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะตอบคำถามเขาอย่างไร ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ท่านชาย ไขปริศนาของทะเลาสาบจิ้งก่อนเถอะ มีแต่ข้าต้องกลับไปถึงรู้วิธี”
หงเย่จึงยิ้มชื่น ราวกับยกภูเขาออกจากอก “ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรอฟังข่าวดีจากพระชายา”
เขาจากไป ขณะที่เดินฝีเท้าเบาสบาย ราวกับเปลื้องความหม่นหมองในตัวออกหมด ให้ตัวเองเผยตัวอยู่ใต้แสงสว่างที่แท้จริง
แต่หยวนชิงหลิงกลับหนักใจ ทะเลสาบจิ้งเป็นปริศนาที่ยากจะไข แต่สถานการณ์ของลิงลำบากยิ่งกว่า
วันถัดมาอะโฉ่วก็มาจริงๆ ฝืนใจอย่างหนัก แต่หงเย่มาเป็นเพื่อนนาง ไม่ยอมให้นางหนี อะโฉ่วเชื่อฟังหงเย่มาก ดังนั้นไม่ว่าจะไม่สมัครใจอย่างไรก็ยังมาจวนอ๋องฉู่
หยวนชิงหลิงรู้ว่าวันแรกย่อมทำให้นางพูดอะไรมากไม่ได้ เดิมนางก็มาด้วยอารมณ์ที่ขัดขืนอยู่แล้ว แต่ด้วยคำสั่งประกาศิตของหงเย่ นางก็ยังเข้าห้องไปถอดหน้ากากให้หยวนชิงหลิงดู
โฉมหน้าภายใต้หน้ากากนั้น ซีดขาวไร้เลือดฝาด แต่ไม่ว่าหน้าตาหรืออวัยวะก็งามจนน่าทึ่ง
หากนางยืนข้างหรงเยว่ ด้านสิริโฉมก็ไม่ด้อยไปกว่าหรงเยว่เลย แต่พอมือของนางดึงหน้ากากหนังมนุษย์แผ่นเล็กที่แก้มซ้ายออก เบาๆ กลับเห็นว่าพวงแก้มนั้นมีดวงไฟอยู่
ถ้าจะพูดให้ถูกนั่นเป็นประกายไฟ ประกายไฟที่ลดเลี้ยว แดงก่ำ โค้งได้พอเหมาะ หากไม่สังเกตดูยังคิดว่าเป็นดอกบัวตูมที่กำลังจะเบ่งบาน
ใจกลางประกายไฟมีสีดำขนาดเท่าถั่วเหลือง ราวกับเป็นเกสรสีดำ ไม่ส่งผลกับโฉมหน้านางเลย ในทางกลับกัน ยังมีความงามที่ดูลึกลับอีกบางส่วน
อะโฉ่วพูดชืดๆ “ที่หนานเจียง ใครก็ตามที่หน้ามีปานสีดำก็คือปีศาจร้ายมาเกิด ข้าน้อยเป็นปีศาจร้าย ตั้งแต่เล็กใครๆ ก็ว่าแบบนี้เพคะ”
นางสวมหน้ากากอย่างรวดเร็ว นางใช้หน้ากากสองชั้นกับปานนี้ แค่คิดก็รู้ได้ว่ามันเคยนำภัยพิบัติมาสู่นางมากแค่ไหน
“ทรงกลัวแล้วสิเพคะ?” อะโฉ่วมองหยวนชิงหลิงที่ชะงักงัน พูดอย่างเย็นชา ความคับแค้นและความโกรธค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากดวงตา
หยวนชิงหลิงมองนาง ส่ายหน้าเบาๆ “อะโฉ่ว ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้างดงามเพียงนี้”
“ท่าน…” แต่อะโฉ่วกลับโมโห “ทรงเยาะเย้ยข้าน้อยหรือเพคะ?”
ว่าแล้วนางก็หมุนตัวจากไป แม้มีหน้ากากคั่นกลางอยู่แต่ก็ปิดความโกรธไม่มิด
หยวนชิงหลิงยื่นมือไปดึงแขนเสื้อนางไว้ สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้เยาะเย้ยเจ้า และไม่ได้เอาใจเจ้าด้วย ข้าคิดว่าเจ้างามมากจริงๆ เปลวไฟเพิ่มความงามบนใบหน้าเจ้า ข้าไม่รู้ว่าทำไมคนหนานเจียงถึงคิดว่าการมีปานดำเป็นปีศาจมาเกิด แต่ถึงจะใช่ แล้วทำไมพวกเขาถึงมองแต่ปานสีดำ ไม่มองประกายไฟร้อนแรงของเจ้าเล่า? ดวงไฟนี้ พิฆาตปีศาจร้ายทั้งมวลได้”
อะโฉ่วยังมองนางแบบเย็นชาเหมือนเดิม “หรือเพคะ? ทรงกล้าตรัสว่าไม่กลัว? ทรงไม่กลัวว่าข้างในประกายไฟนี้ จู่ๆ จะมีปีศาจร้ายออกมากลืนกินพระชายาหรือเพคะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้น “ข้าไม่กลัว และข้าก็ไม่เชื่อปีศาจร้ายอะไรนั่นด้วย ไม่ว่าใครเห็นเจ้าก็ต้องตะลึงในความงามของเจ้าทั้งนั้น เจ้ามิควรชื่ออะโฉ่ว”
อะโฉ่วมองนาง ในการมองแฝงการพิจารณาและตัดสิน นางไม่เชื่อ นอกจากท่านชาย ทุกคนที่เคยเห็นโฉมหน้านางล้วนบอกว่านางเป็นปีศาจร้าย ตกใจหันหัวหนีหมด แม้แต่พ่อแม่ก็เกลียดนางเข้ากระดูก
นางไม่เชื่อหยวนชิงหลิงจึงสะบัดนางแล้วหันตัวเดินจากไป
เดิมหยวนชิงหลิงก็ไม่คิดว่าการสนทนาครั้งแรกจะได้ผลอะไรอยู่แล้ว นางไปก็ไปเถอะ หลังจากพูดคุยกับหงเย่นิดหน่อยแล้ว หงเย่ก็บอกว่าจะให้อะโฉ่วมารับใช้ในจวนอ๋อง อย่างไรเมื่อหมันเอ๋อไปแล้ว ข้างกายนางก็ขาดคน แต่หยวนชิงหลิงไม่ค่อยเห็นด้วย ทว่าหงเย่กลับกล่าว “บนโลกนี้นอกจากกระหม่อมนางก็ไม่มีญาติอื่นอีก บางทีต่อไปกระหม่อมอาจต้องจากไป อย่างไรก็ต้องหาที่พักพิงให้นาง หวังว่าตอนที่กระหม่อมยังอยู่ จะได้เห็นข้างกายนางมีคนอื่น ทรงวางพระทัยเถอะ กระหม่อมรับรองว่านางไม่ทำร้ายทุกคนในจวนอ๋องแน่”
เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นเขาพูดแบบนี้ ก็ไม่กล้าตัดสินใจทันที เพราะจวนอ๋องก็เคยมีสายลับมาก่อน จะโทษว่านางขี้ระแวงสงสัยไม่ได้ จึงบอกหงเย่แค่ว่าจะถามความเห็นของเจ้าห้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน
นางไม่อยากให้ใครมาแทนที่ตำแหน่งของหมันเอ๋อ หมันเอ๋อคือหมันเอ๋อ อะโฉ่วก็คืออะโฉ่ว ไม่มีวันที่อะโฉ่วจะแทนที่หมันเอ๋อได้
หลังจากเจ้าห้ากลับมาในตอนกลางคืน พอคุยกับเจ้าห้าแล้วเขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยทันที โดยหลักแล้วเพราะอะโฉ่วเคยใช้เวทหมอผีกับพวกเขา ถึงจะไม่มากและไม่ได้ทำร้ายจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่าต่อไปนางอาจมีประสงค์อื่นล่ะ? เพราะในจวนมีเด็กเยอะ และเขาต้องออกไปข้างนอกประจำ ไม่อยากให้คนที่มีภัยแฝงอยู่ในจวน
“ปฏิเสธเถอะ!” หยู่เหวินเห้าแทบไม่คิดก็กล่าวกับหยวนชิงหลิงไปทันที “ถ้าเจ้าไม่กล้าเอ่ยปาก ข้าจะพูดเอง!”