บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1175 เจ้าห้าหน้าไม่อาย
หยวนชิงหลิงคิดแล้วจึงเอ่ย “ข้าพูดเองดีกว่า”
ในเมื่อหงเย่ขอต่อหน้านาง เช่นนั้นนางก็เป็นคนตอบเองจะเหมาะสมที่สุด
นางเรียกตัวหงเย่ บอกหงเย่เรื่องการตัดสินใจนี้ หงเย่พลันขมวดคิ้ว “ตรัสไปตรัสมา พระชายาก็มีอคติกับนางเหมือนกับคนอื่น”
หยวนชิงหลังกล่าวอย่างสงบ “ที่จริงข้ากับอะโฉ่วก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า ข้าไม่อคติกับนางก็ไม่หมายถึงข้าต้องเอานางกลับจวน หากท่านกลัวว่าวันหนึ่งต้องจากไป ดูแลนางไม่ได้ ถึงตอนนั้นจวนอ๋องฉู่ก็จะดูแลแทนท่าน ถึงข้าจะคิดว่านางไม่จำเป็นต้องมีคนดูแลก็ใช้ชีวิตได้ดี ไม่มีใครกล้ารังแกนางก็ตาม แต่เห็นแก่ท่านชาย เราจะพยายามดูแลนางให้ดี”
เมื่อหงเย่ฟังจบ นิ่งไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้นเรียบๆ “ได้!”
เมื่อหงเย่ไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็คิดว่าเขาน่าจะโกรธ เพราะนางไม่เคยรับปากเรื่องที่หงเย่ขอสักครั้ง
ที่จริงนางก็อึดอัดใจเหมือนกัน
วันนี้อะโฉ่วคงไม่มาแล้ว ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงไปหาคุณย่า วันนี้นางออกตรวจจึงไปช่วยงาน
ช่วงนี้หยวนชิงหลิงก็กำลังศึกษาแพทย์แผนจีนอยู่เหมือนกัน แพทย์แผนจีนล้ำลึก เรียนมากอีกสักแขนงก็ไม่เลว
รอจนผู้ป่วยไปหมดแล้ว นางก็ช่วยคุณย่าเก็บข้าวของ เมื่อคุณย่าเห็นสีหน้าคับอกคับใจจึงเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือ?”
หยวนชิงหลิงดึงคุณย่านั่งลง เล่าเรื่องที่หงเย่ขอร้อง และบอกเรื่องเปลวไฟบนหน้าอะโฉ่วกับทุกอย่างที่อะโฉ่วเจอมา สุดท้ายก็พูด “ที่จริงเรื่องน่าอนาถที่นางเจอตอนเด็กๆ ตามหลักแล้วข้าไม่ควรปฏิเสธคำขอของหงเย่ แต่คนล้วนเห็นแก่ตัว เวทหมอผีเหล่านั้นที่อะโฉ่วรู้ ข้าทำอะไรไม่ได้สักนิด ก็เลยระแวงนางอยู่ตลอด ”
เมื่อคุณย่าฟังจบกลับมองนางพลางถาม “แก้มซ้ายมีเปลวไฟ ตรงกลางเปลวไฟมีจุดสีดำใช่หรือเปล่า?”
“ใช่! ท่านทราบได้ยังไง?” หยวนชิงหลิงตะลึง
“ข้าเคยเห็น” คุณย่าพูด “ข้ายังรักษาหายมาแล้วด้วย”
“รักษาหาย?” หยวนชิงหลิงประหลาดใจมาก “เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไรหรือ?”
“ประมาณห้าปีก่อนเจอผู้ป่วยคนหนึ่ง เป็นผู้ป่วยจากโรงพยาบาลดี้ยีแห่งเมืองเซียงซีย้ายมารักษาแพทย์แผนจีน เป็นวัยรุ่นอายุห้าสิบกว่าๆ บนตัวก็มีปานแบบนี้หลายจุดเหมือนกัน”
หยวนชิงหลิงมองนาง เอาเถอะ วัยรุ่นอายุห้าสิบกว่า
“คนเซียงซี?”
“ใช่ ตอนนั้นวิธีตรวจอะไรของโรงพยาบาลดี้ยี นางก็ทำมาหมด แล้วยังถึงกับเคยเจาะสูบองค์ประกอบมาตรวจ แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรของโรค แต่ลองยิงเลเซอร์ หายไปไม่นานก็กลับมาอีก ข้าก็ลองมาหลายวิธีเหมือนกัน ตอนหลังก็เลยรักษาการสะสมของต่อมเม็ดสีของนาง ผ่านไปสองสามเดือนก็หายไปแล้ว แถมตอนหลังก็ไม่กลับมาอีก เจ้าลองไปถามนางดู ถ้ายอมก็มาที่นี่ได้ ข้าจะลองรักษานางดู”
หยวนชิงหลิงคิดว่าอะโฉ่วต้องอยากกำจัดปานแผ่นนี้ที่นางคิดว่าเป็นปีศาจมาเกิดแน่ ดังนั้นจึงให้คนไปหาหงเย่ บอกเขาเรื่องนี้ทันที
ย่าหยวนดึงมือของหยวนชิงหลิง ขมวดคิ้วพูด “เกี่ยวกับเรื่องปาน ตอนหลังข้าได้รู้จากนักวิจัยของเซียงซีหลายคน ที่จริงตรานี้ไม่ธรรมดาเลย เขาบอกว่าศึกษาพบว่าตรานี้ เป็นตราของราชวงศ์ในแคว้นเล็กโบราณหนึ่ง”
“ตราของราชวงศ์? แคว้นเล็กอะไรหรือ?”
ย่าหยวนเสียใจเล็กน้อย “เสียดายที่ข้าจำไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นที่แปลก ไม่มีจริง ก็เลยไม่ได้ตั้งใจฟัง”
ทว่าหยวนชิงหลิงกลับจดจำไว้ในใจ รอกลับไปแล้วจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าห้า
แน่นอนว่าด้วยมิติเวลาที่แตกต่าง ราชวงศ์แคว้นเล็กอะไรนี้อาจไม่มีอยู่จริง
เมื่อเจ้าห้าได้ฟังและคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ไปหาเหลิ่งจิ้งเหยียน เขารู้เรื่องตรา ภาพยันต์อะไรเทือกนี้ที่สุด
ตอนนี้หนานเจียงกำลังมีความวุ่นวายภายใน ถึงยังอยู่ในการควบคุมของเจ้าเก้ากับแม่ทัพใหญ่ฮู่ แต่จะควบคุมสถานการณ์ในเวลาอันสั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
อีกอย่างหากพูดจากความหมายที่แท้จริง หากจะยึดเจียงเป่ยให้ได้ก็เกรงแต่จะเป็นสงครามยืดเยื้อ สามปีห้าปีไม่ได้ เจ็ดแปดปีไม่สำเร็จ แม้ตอนนี้ยังไม่ส่งผลถึงราชสำนัก แต่หากยื้อเวลาออกไปทางราชสำนักก็ยังต้องสนับสนุน
หลังจากเหลิ่งจิ้งเหยียนเปิดหนังสือจำนวนมากแล้ว สุดท้ายก็ยืนยัน ที่จริงนี่เป็นตราเปลวไฟนี้เป็นตราของหมอผีสวรรค์เจียงเป่ย
เขาวาดภาพแล้วยื่นให้หยู่เหวินเห้าดู แต่พอหยู่เหวินเห้าเห็นแล้วกลับขมวดคิ้วขึ้นอีก “ไม่ถูกนี่ เจ้าหยวนบอกว่าตรงที่อยู่ตรงกลางนี่เป็นสีดำ แต่ที่เจ้าเน้นนั่นเป็นสีแดง อีกอย่าง หมอผีสวรรค์เป็นดอกบัว แต่ของนางเป็นเปลวเพลิง เปลวเพลิงดวงหนึ่ง”
เหลิ่งจิ้งเหยียนส่ายหน้า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ นี่เพราะถูกดัดแปลง กระหม่อมค้นหนังสือหลายเล่ม นี่ยังถึงขนาดเป็นความลับของเจียงเป่ย ตราของหมอผีสวรรค์จะมีมาแต่กำเนิด ห้าร้อยปียังไม่รู้ว่าจะมีหมอผีสวรรค์สักคนไหม หมอผีสวรรค์สูงส่งไร้ใดเทียม หมอผีกับสาวหมอผีต้องเชื่อฟังนาง แต่ตอนที่หมอผีสวรรค์ถือกำเนิด จะมีหมอผีบางคนใช้วิธีบางอย่างดัดแปลงตรานี้ อย่างเช่นใช้เวทหมอผีทำให้เป็นเหมือนอย่างกับที่อยู่บนหน้าอะโฉ่ว ทรงลองทอดพระเนตรเถอะ…”
เขายื่นหนังสือโบราณให้หยู่เหวินเห้าดู หนังสือโบราณมีรูปภาพ เป็นที่เขาบรรยายอย่างนั้น น่าจะเหมือนกับตราบนใบหน้าของอะโฉ่ว “นี่เป็นแบบที่ใช้เวทหมอผีดัดแปลงแล้ว อีกอย่างถึงจะเปลี่ยนไปแล้วก็ยังขจัดได้ ตรงนี้มีบันทึกไว้ เคยมีหมอผีสวรรค์คนหนึ่งถูกดัดแปลงมาแล้ว แล้วสุดท้ายหมอผีสวรรค์คนนั้นยังตายอย่างอนาถด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าอ่านดูแล้วก็มีบันทึกท่อนนี้อยู่จริงๆ
เช่นนี้ก็เป็นไปได้มากว่าอะโฉ่วอาจเป็นหมอผีสวรรค์ของเจียงเป่ย?
แต่กู้จือพี่สาวของนางกลับเป็นสาวหมอผีของเจียงเป่ย เหตุใดครอบครัวนี้จึงมีแต่คนเก่งนะ?
“ลองถามหงเย่ดูเถอะพ่ะย่ะค่ะ หงเย่อยู่เจียงเป่ยค่อนข้างนาน ทั้งเขายังรับอะโฉ่วไว้ บางทีเขาอาจรู้เรื่องของอะโฉ่วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดเสนอความเห็น
“สองสามวันก่อนข้าเพิ่งลงไม้ลงมือกับเขามา!” หยู่เหวินเห้านึกเสียใจ รู้อย่างนี้ก็ไม่ต่อยเจ้านั่นแล้ว
เหลิ่งจิ้งเหยียนกวาดตามองเขา แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “สถานการณ์วุ่นวายในตอนนี้ เป็นเพราะหมอผีต้องการยึดครองหนานเจียง ความแค้นระหว่างหนานเจียงกับเจียงเป่ยก็เป็นพวกเขาปลุกปั่นขึ้นด้วย ถ้าอะโฉ่วเป็นหมอผีสวรรค์ แล้วให้คนพาอะโฉ่วกลับเจียงเป่ย ด้วยความเคารพของคนเจียงเป่ยที่มีต่อนาง ต้องหย่าศึกได้แน่ องค์รัชทายาท ประชาชนเป็นผู้บริสุทธิ์นะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าฝืนยิ้ม “ฉะนั้น อย่าได้ล่วงเกินคนพวกนั้นที่มีหมากอยู่ในมือ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรต้องใช้พวกเขา”
ครู่หนึ่งแล้วเขาก็เอ่ยขึ้นอีก “ไม่สิ ถ้าตราของอะโฉ่วถูกดัดแปลง แล้วนางจะกลับคืนเป็นเหมือนเดิมได้ยังไง? ยังจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไหม? ถ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ งั้นนางกลับไปก็ไม่มีประโยชน์ ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนก็ชะงักงันเหมือนกัน เออ…นี่ก็ไม่รู้จริงๆ
“ช่างเถอะ อย่าเพิ่งสนใจเลย เจ้าค้นหาหนังสือโบราณต่อเถอะ ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ ข้าไปซื้อเหล้าก่อน ดื่มเหล้าข้าแล้ว เขาจะยืนมองอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ อีกอย่างอะโฉ่วก็เป็นคนของเขา เรื่องที่เขาขอเจ้าหยวนก็มีตั้งเยอะ” พอหยู่เหวินเห้าพูดจบก็จากไปทันที
เขาซื้อเหล้าไหหนึ่ง แล้วตรงดิ่งไปบ้านหงเย่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ลงไม้ลงมือกันแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้พบหน้ากันอีก
เวลาที่หยู่เหวินเห้าจะขอร้องคนอื่นก็ไร้ยางอาย ยิ้มอะแหล่งแฉ่งเข้าไปกอดคอด้วย หลังจากผลักกันไปมาพักหนึ่งแล้ว สุดท้ายหงเย่ก็ทัดทานความหน้าด้านของเขาไม่ไหว จึงเข้าไปดื่มเหล้ากับเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์