บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1178 ข้าแต่ง
พอหยวนหย่งอี้กับหยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเจ้าห้าเดินสาวเท้าเข้ามา ใบหน้าเจือความไม่พอใจ
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเอ่ย “ทำไมกลับมาเอาเวลานี้ล่ะ?”
“กลับมาไม่พอดีหรือยังไง? ถ้าไม่กลับมาเวลานี้ก็ไม่ได้ยินเจ้าพูดความจริงจากใจแล้วสิ” หยู่เหวินเห้ายกมือทำเป็นตบไปฉาดหนึ่ง ส่วนหยวนชิงหลิงก็หันหน้าออกข้างไปแบบให้ความร่วมมือดีมาก ทำท่าตกใจเจ็บปวด จากนั้นก็ก้มหน้าเอ่ย “ข้าผิดไปแล้ว!”
ทั้งสองหัวเราะกันขึ้น หยู่เหวินเห้าหอมหน้าผากนางทีหนึ่ง ดวงตามีความโอ๋และเฮี้ยบ “ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีก”
ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองทำให้หยวนหย่งอี้ตกใจ ยังคิดว่าองค์รัชทายาทจะตบพี่หยวนจริงๆ แต่พอเห็นตอนท้ายแล้วก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ พวกเขาเป็นสามีภรรยากันหลายปีแล้ว แต่ยังมีมุกตลกและอรรถรสขนาดนี้ นางอิจฉามาก เจ้าเจ็ดตาตอไม้แข็งทื่อ เมื่อก่อนยังพอมีอรรถรสบ้าง ตอนนี้ในใจมีแต่ลูกสาว กลับจวนปุ๊บก็ไปหาหัวแก้วหัวแหวนของเขาก่อน แถมยังพูดลอยๆ กับนางหลายครั้ง ไม่รู้ว่าถ้าในบ้านมีลูกสาวสองคนเป็นยังไงนะ ทำนางโมโหเสียไม่มี
หยู่เหวินเห้านั่งลงพูดคุยกับพวกนางด้วยพักหนึ่ง ได้ยินว่าพูดเรื่องแต่งงานของเหลิ่งจิ้งเหยียน เขาจึงหัวเราะขึ้น “ไม่ต้องลำบากหรอก จิ้งเหยียนไม่คิดจะแต่งงาน”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “แต่ฮูหยินเหลิ่งบอกว่าเขารับปากเอง ถ้าคนที่แต่งเป็นแม่นางเจ็ด เขาก็ยินดี”
“ส่วนมากคงเป็นการพูดปัด ข้าไม่เคยได้ยินเขาบอกว่าชอบแม่นางเจ็ด แล้วข้ายังสงสัยว่าเขาคงเจอแม่นางเจ็ดไม่กี่ครั้งด้วยซ้ำ” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
เมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินดังนั้นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ เหลิ่งจิ้งเหยียนผู้นี้ เย็น สงบ สมชื่อจริงๆ ราวกับไม่สนใจแสงสีโลกีย์แดนมนุษย์ วันที่ท่านชายสี่มาหา ทำท่าชอบเจ้าห้า นางยังคิดจะจับท่านชายสี่กับเหลิ่งจิ้งเหยียนอยู่ด้วยกัน ถ้าพวกเขาอยู่ด้วยกันต้องมีความสุขมากแน่ เจ้าไม่สนข้า ข้าก็ไม่สนเจ้า
“ไม่งั้น เจ้าลองไปถามใต้เท้าเหลิ่งดู?” หยวนชิงหลิงเอ่ย ถามแล้วถ้าแค่พูดปัดไปอย่างนั้น เช่นนั้นนางก็จะไม่ไปตระกูลหยวน แต่หากมีความคิดเช่นนั้นจริงล่ะ? ด้วยความสัมพันธ์กับเจ้าห้าที่สนิทสนมขนาดนี้ ก็ต้องช่วยเขาหน่อยไม่ใช่หรือ?
ก็ได้ นางเริ่มเปลี่ยนอาชีพมาเป็นแม่สื่อแล้ว
“งั้นก็ได้ ถ้าเจ้ายืนยันอย่างนั้น ถึงข้าจะรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่จิ้งเหยียนจะแต่งงานมีน้อย” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
แต่หยวนหย่งอี้กลับกังวล ถึงใต้เท้าเหลิ่งจะคิดอย่างนั้นจริง ก็ไม่แน่ว่าท่านอาเจ็ดจะยอม นิสัยของนางดื้อรั้นเกินไป
หลายปีมานี้ ไม้อ่อนไม้แข็ง วิธีไหนท่านย่าก็ทำมาหมดแล้ว นางก็ยังมีท่าทีเดิม ไม่แต่ง
คืนวันนั้นหยู่เหวินเห้าเชื้อเชิญเหลิ่งจิ้งเหยียนมาดื่มสุราที่จวนอ๋อง แล้วยังเรียกกู้ซือมาเป็นเพื่อนด้วย
กู้ซือเป็นผู้ชายที่มีความสุข ตอนนี้เขามีลูกสองคนแล้ว คิดถึงครอบครัวมาก เดิมไม่ค่อยอยากมา บอกว่าจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินเช้าหน่อย แต่หยู่เหวินเห้าบอกว่านี่เป็นคำสั่งพี่เมีย กู้ซือคิดไปพักหนึ่ง พี่เมียของเขาเป็นใคร สุดท้ายแล้วจึงสะดุ้ง มาแบบระริกระรี้
การสนทนาเป็นโต๊ะสุรามักเปิดอกกันได้ง่าย หลังจากดื่มไปสองสามจอก หยู่เหวินเห้าก็เอ่ยกับเขา “วันนี้แม่เจ้ามา บอกจะให้เจ้าหยวนคุยเรื่องแต่งงานให้เจ้า”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นอย่างไม่รู้ร้อน “หรือพ่ะย่ะค่ะ? เช่นนั้นก็ลำบากพระชายารัชทายาทแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้กู้ซือกับหยู่เหวินเห้าต้องตะลึง มองเขาเป็นตาเดียว ประหลาดใจเหลือหลาย เขายอมแต่งงานจริงหรือนี่?
“ท่านไม่ใช่บอกว่าไม่อยากแต่งงานหรือ?” กู้ซือถาม
“ความคิดคนมักเปลี่ยน เห็นพวกท่านอยู่กันเป็นคู่มีความสุขขนาดนั้น ข้าก็อยากแต่งบ้าง อยู่คนเดียวนานเกินไป รู้สึกโดดเดี่ยว” เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ย
“เจ้าไม่ใช่เพลิดเพลินกันความโดดเดี่ยวหรือ?” หยู่เหวินเห้ามองเขาด้วยความฉงนใจ “ทัดทานการเร่งเร้าของที่บ้านไม่ได้ล่ะมัง? เจ้าชอบแม่นางเจ็ดตระกูลหยวนจริงหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ย
เมื่อเห็นเขาพูดคำนี้ออกมาแบบสีหน้าไร้อารมณ์แล้ว หยู่เหวินเห้ากับกู้ซือต่างรู้สึกพิลึก
“งั้น…งั้นก็ให้เจ้าหยวนไปถามดู? ถามได้แล้ว เจ้าจะแต่งจริงใช่ไหม? อย่ามากลับคำทีหลังนะ เจ้าหยวนจะทำตัวลำบาก” ถึงหยู่เหวินเห้าจะประหลาดใจ แต่คำพูดที่เขาพูดเมื่อครู่ก็มีความจริงบางส่วนจริงๆ ข้างตัวเขาล้วนเป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้ว เขาโสดอยู่คนเดียวต้องทรมานแน่
“แต่งพ่ะย่ะค่ะ!” คำพูดนี้ของเขา เพิ่งความมั่นใจไปอีกหลายระดับชั้น
มีคำพูดนี้ หลังจากหยู่เหวินเห้าดื่มสุราเสร็จก็กลับไปบอกหยวนชิงหลิง ให้นางไปจัดการทางตระกูลหยวนก่อน
สองสามวันนี้เขาต้องไปค่ายทางเหนือตัวตนเอง คงอยู่สักสองสามวันถึงจะกลับ ดังนั้นหยู่เหวินเห้าจึงส่งคนไปบอกเหลิ่งจิ้งเหยียน ว่าหากเรื่องภาพเปลวไฟมีความคืบหน้าก็ไปหาหงเย่ ปรึกษาหารือกับหงเย่ก่อน
วันที่หยู่เหวินเห้าเก็บสัมภาระไปค่ายทางเหนือ หยวนชิงหลิงก็ไปตระกูลหยวน
พอฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนได้ฟังคำพูดนาง ก็ดีใจจนจะคลั่ง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สั่งการไปทันที ให้แม่นางเจ็ดกลับเมืองหลวงด่วน แน่นอนว่าไม่บอกว่าเป็นเรื่องแต่งงาน แต่อ้างเรื่องวันเกิดของนางเอง บอกแม่นางเจ็ดว่าอย่าได้ชักช้า
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนกุมมือหยวนชิงหลิง น้ำตาแทบไหลเป็นทาง “หากลูกสาวคนเล็กของตระกูลหม่อมฉันออกเรือนจริงๆ หม่อมฉันก็ติดหนี้น้ำใจพระยาชารัชทายาทแล้วเพคะ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเอ่ย “ฮูหยินใหญ่กล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าแค่ถามดูเท่านั้น
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนถอนหายใจเอ่ย “การตรัสถามนี้ ถือเป็นการช่วยชีวิตของหม่อมฉัน หากต้องประชันสมอง ประชันความกล้า ประชันความแข็งกับนางอีก หม่อมฉันต้องอยู่ได้อีกไม่กี่ปีแน่เพคะ”
ทุกคนพากันหัวเราะ หัวเราะกันจนปวดใจ เรื่องแต่งงานของแม่นางเจ็ด เป็นเรื่องใหญ่ที่ฮูหยินใหญ่ค้างคาใจมานาน
พอกลับจากตระกูลหยวน ก็เห็นรถม้าของจวนอ๋องหวยจอดอยู่ปากประตู หรงเยว่กำลังให้คนขนของเข้าข้างใน
“หรงเยว่ ทำไมให้ของข้าเยอะแยะขนาดนี้ล่ะ?” หยวนชิงหลิงลงจากรถม้าแล้วก็เอ่ยถาม
หรงเยว่เงยหน้าขึ้นมองนาง “ไม่ได้ให้ท่าน เป็นของข้าเอง ข้าจะพักอยู่ที่นี่สักเจ็ดแปดวัน”
“ทำไมหรือ? ทำเลาะกับน้องหก?” พอหยวนชิงหลิงได้ฟังก็รีบถาม
หรงเยว่ส่ายหน้า “ข้าจะทำใจทะเลาะกับเขาลงหรือ? แต่วิธีของจิ้งเหอจวิ้นจู่ ข้ายังอยากลองอีกสักครั้ง เดิมคิดจะกลับสำนักเหลิ่งหลังหรือไม่ก็ไปจวนเหลิ่ง แต่ท่านชายสี่เอาแต่ซักถาม พี่น้องในสำนักก็หัวเราะเยาะข้า คิดไปคิดมา ก็เลยมาอยู่กับท่านที่นี่ อย่าบอกเจ้าหกล่ะ เขาคิดว่าข้ากลับไปทำธุระที่จื๋อลี่”
หยวนชิงหลิงจูงมือนางเข้าไป เอ่ย “ได้ เจ้าอย่าใจร้อน ช่วงนี้ก็พักอยู่ที่นี่ให้สบายเถอะ”
“ก็ต้องสบายอยู่แล้ว ข้ายังจะลวดมาเอาความเป็นมงคลสักหน่อย ตอนนี้อะซี่ก็ตั้งท้องแล้ว ให้อะซี่แบ่งวาสนาให้ข้าหน่อย” หรงเยว่หัวเราะพลางเอ่ย
“ครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่” ตอนนี้หยวนชิงหลิงก็ได้แต่ให้กำลังใจนาง
“นี่เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าครั้งนี้ยังไม่ท้องอีก ข้าก็ยอมแพ้แก่ชะตา หาเด็กมาเลี้ยงสักคน รับเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ก็ถือเป็นของตัวเองแล้ว” หรงเยว่เอ่ย
ว่าแล้วนางก็หันไปสั่งให้เอาของขนไปที่เรื่อนฟางเฟย ในจวนตำแหน่งที่ฮวงจุ้ยดีที่สุดก็คือตรงนี้ นางยังให้คนตรวจดูก่อนด้วยแน่ะ